Grounded Theory
ท่านอาจารย์สุทธิดา ได้ให้ความหมายไว้ว่า "Grounded Theory"
เป็นแนวทางการวิจัยหรือวิทยาการวิจัย (Research Methodology)
ที่มีเป้าหมาย เพื่อสร้างข้อสรุปเชิงทฤษฎีขึ้นจากปรากฏการณ์ทางสังคม
ตามความหมายของชุมชน อันเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่นำมาสู่การวิเคราะห์
สังเคราะห์ เพื่อให้ทราบลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม"Grounded Theory" เป็น Methododlogy อีกวิธีหนึ่ง บนพื้นฐานของความจริงจากปรากฏการณ์ทางสังคม เพื่อบรรยายลักษณะทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้น
ในฐานะของนักศึกษาพัฒนบูรณาการศาสตร์ที่จะต้องไปทำวิจัยร่วมกับชาวบ้าน ร่วมกับชุมชน จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า เราต้องการอะไรจากความรู้ เราต้องการอะไรจากงานวิจัย เช่น
- เพื่ออธิบาย ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น
- เพื่อทำนาย ว่าถ้าเกิดสถานการณ์นี้จะเกิดอะะไรต่อไปในอนาคต
- เพื่อทำความเข้าใจ ว่าทำอย่างไร ทำแบบไหน เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
จากประเด็นคำถามนี้ จึงต้องใช้ Methododlogy ที่ เหมาะสมบนพื้นฐานของความจริงอะไร หรือบนพื้นฐานของคำถามอะไร อยากรู้อะไร และจะใช้กระบวนการหาความรู้อย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ ซึ่งถ้าใช้กระบวนการหาความรู้ ( Methododlogy ) ผิดวิธีการวิจัยจะไม่สำเร็จได้ดังที่ตั้งใจไว้
เมื่อตอบคำถามที่กล่าวมาได้ เราก็จะสามารถตั้งคำถามหลักที่เราอยากรู้ในเรื่องที่เราจะทำวิจัยคืออะไร และจะตอบคำถามอะไร
จากแนวทางที่อาจารย์สุทธิดาสอนมาได้ทำให้นักศึกษาหลาย คนเริ่มตั้งคำถามที่ตรงกับใจตัวเองให้กระชับและชัดเจนมากขึ้นในระดับหนึ่ง เช่น การตั้งคำถามที่ว่า
เลี้ยงโคอย่างไรให้สมบูรณ์ในฤดูแล้ง
ซึ่งจะต้องหาความรู้ใน 2 ประเด็น คือ
1. การเลี้ยงโคในฤดูแล้งของชาวบ้านเป็นอย่างไร เป็นการรวบรวมและบรรยายถึงความรู้เดิมที่ชาวบ้านมีเป็นความรู้ที่ประสบความ สำเร็จ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีในชุมชนรวมกับข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุน
2. ชาวบ้านควรเลี้ยงโคอย่างไรในฤดูแล้งจึงจะดี เป็นการนำเอาความรู้ที่ประสบควมสำเร็จมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับชาวบ้านและ ชุมชน ภายใต้บริาทและเงื่อนไขของแต่ละคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ
หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นการนำเอาความรู้ที่ชาวบ้านมีมาจัดการให้เป็นระบบภายใต้เงื่อนไขและบริบทของชาวบ้านและชุมชน
เป็นแนวทางการวิจัย หรือวิทยาการวิจัย ( Research Methodology ) ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างข้อสรุปเชิงทฤษฏีขึ้นจากปรากฏการณ์ทางสังคมตามความ หมายของชุมชนอันเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่นำมาสู่การวิเคราะห์สังเคราะห์เพื่อให้ทราบลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม
ในการทำวิจัยเราต้องการแสวงหาความรู้อาจจะทำได้ 2 ทางคือ
1.Developing therory through induction
พยายามสร้างทฤษฏี ความเข้าใจของเรา (จากข้อมูลที่เห็น) การสร้างความรู้จากที่เราเห็น จากข้อมูลที่เราสัมผัสได้ หรือจากการที่เราได้ลงไปหาข้อมูลจากชุมชน
2. Developing therory through deduction
สร้างความรู้จากการพิสูจน์ทฤษฏีจากคนอื่นหรือจากที่มีอยู่แล้ว
ก็เหมือนกับลำดับแรกที่เราพยายามสร้างความรู้ที่เราเห็น ยกตัวอย่างเช่น ตาบอดคลำช้าง ซึ่งต่างคนก็บอกคนละแบบ คนละมุมตามที่ตนเองได้จับได้คลำ ซึ้งถ้าคนปกติที่ตาไม่บอดก็มองต่างมุมว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพื่อที่จะให้รู้ความจริงได้นั้นเราต้องมาพิสูจน์เองลงมือหาข้อมูลที่จะ มาสนับสนุนหรือหาข้อโต้แย้งจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ความจริงที่มันเป็นอยู่คืออะไร จึงเข้ากับสุภาษิตที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" เห็นแล้วยังไม่พอต้องมาถามกับตัวเองอีกว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้น มีสาเหตุอะไรที่ทำให้มันต้องเกิดขึ้นเช่นนี้
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นางสาว พิไล อุปัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น