วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต,

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
ของอรสุดา เจริญรัถ*

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน
แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์,
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

คณะกรรมการควบคุม รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์
ผศ.ดร.สุรุวุฒิ ปัดไธสง
ผศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

ความสำคัญของปัญหา
ในอดีตพบว่าสังคมชนบทไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย เศรษฐกิจพื้นฐานเป็นการผลิตเพื่อยังชีพสำหรับบริโภคใช้สอยในครัวเรือนและใน ชุมชน มิใช่เพื่อการแลกเปลี่ยน การดำรงชีพเป็นลักษณะการพึ่งพิงธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ทำให้ชาวชนบทมีความใกล้ชิดผูกพันและตระหนักในสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงออกในรูปของความเชื่อ และพิธีกรรมที่เอื้อต่อการรักษาความสมดุลของทรัพยากร
ธรรมชาติความสัมพันธ์หลักในชุมชนเป็นความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและความสัมพันธ์ทางสายเลือด
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2537)
การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชนบทไทยเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เข้าสู่กระบวนการ พัฒนาที่มุ่งเน้นความทันสมัยตามแบบตะวันตก นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดเป็นต้น นักวิเคราะห์วาทกรรมพยายามสะท้อนและเชื่อมโยงให้เห็นว่า เริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อประเทศตะวันตกได้ใช้อำนาจในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ การให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการเงินกู้ หรือคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดวาทกรรมเพื่อสร้างความหมายต่อสิ่งใหม่
ที่เป็นคู่ตรงข้ามคือ “การพัฒนา” และ “ความด้อยพัฒนา” ให้เกิดขึ้น (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. 2540. หน้า 87)
การใช้อำนาจของประเทศตะวันตกกำหนดวาทกรรมการพัฒนาในลักษณะดังกล่าวนี้ นับว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้หลุดพ้น
จากสภาพความด้อยพัฒนาไปสู่การพัฒนา วาทกรรมดังกล่าวจึงได้สร้างกฎเกณฑ์อีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้ความหมายแก่ “สังคมที่พัฒนา” ว่า คือสังคมที่มีความทันสมัยตามแบบสังคมตะวันตกซึ่งจะไปถึงได้
ด้วยวิธีการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ดังนั้นทุกสังคมจะสามารถหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนาไปสู่ความเจริญได้ด้วยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้เป็นแบบตะวันตก (Black. 1960. pp. 1-7) ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิต โลกทัศน์ ระบบความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนในชนบทผันแปรไปจากเดิม
แนวทางการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่า ถูกต้องและเหมาะสมว่าแท้จริงแล้ว แนวทางการพัฒนาเช่นนี้ยังคงถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยต่อไปอีก หรือไม่ (เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. 2542. หน้า 2) แม้ในแวดวงการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการและปัญญาชน ก็พบว่า เกิดกลุ่มแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ “ต่อต้านทฤษฎีการทำให้ทันสมัย” ซึ่งแท้จริงแล้วชุมชนชนบทไทยสามารถปรับตัวโดยสร้างระบบการบริหารจัดการภาย ใต้บริบทที่มีความขัดแย้งและกดดันเพื่อหาทางเลือก
ที่ดีที่สุดให้แก่ สมาชิกชุมชน ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขพึ่งพาตนเอง และรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ประเด็นที่ผู้วิจัยเห็นว่า มีความสำคัญมากที่สุด คือ ชุมชนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างเต็มที่เพื่อรักษา “อำนาจและสิทธิ” ของตนในการตัดสินใจกำหนดทางเลือกการพัฒนา
รวมทั้งรักษา ความสามารถในการควบคุม และการจัดการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของความพอเพียงในชุมชน บทพิสูจน์เหล่านี้มีผลทำให้ฐานคิดในการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยทำให้เกิดความตระหนักว่า ชุมชนมิได้มีแต่ความว่างเปล่าและมีแต่ด้านที่เป็นปัญหา แต่ชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคล้วนมีภูมิปัญญา มีศักยภาพ มีพลังสร้างสรรค์ และมีทางเลือกของตนเองอย่างอิสระที่จะแก้ปัญหาของชุมชน การพัฒนาไม่ว่าจะเป็นใน
แง่เป้าหมายหรือกระบวนการจึงควรเป็นการกำหนด ตัดสินใจและดำเนินการจากชุมชนซึ่งเป็นผู้รับผลจากการพัฒนา โดยกำหนดให้ชุมชนเป็นตัวตั้งรวมทั้งมีความหลากหลายและครอบคลุมในหลายมิติ (เสรี พงศ์พิศ. 2531. ; กาญจนา แก้วเทพ. 2538)
คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ การช่วงชิงอำนาจหรือการคืนสถานภาพความเป็นตัวของตัวเองให้แก่สังคมไทยในการ สร้างวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการของสังคมไทยเองนั้นจะเกิดขึ้นได้ อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์วาทกรรม เช่น ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2540. หน้า 128) แสดงความเห็นว่าคงมิใช่ด้วยวิธีการประณามวาทกรรมการพัฒนาที่เป็นอยู่คือ ความทันสมัยว่าเป็นระบบครอบงำที่ชั่วร้ายและต้องทำลายล้างลงด้วยวิธีการ ปฏิวัติที่รุนแรงหรือด้วยวิธีการแย่งชิงอำนาจรัฐอย่างในวิธีคิดแบบเก่า แต่สิ่งสำคัญก็คือจะต้องต่อสู้ และปะทะด้วยการสร้างวาทกรรมชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมเอกลักษณ์หรือตัวตน และความหมายชนิดใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบของการการพัฒนาแบบเดิมอีกต่อ ไปขึ้นมาทดแทน
อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากเท่าที่สังคมยังคงมีความสัมพันธ์ในลักษณะของการพึ่ง พิงของชนบทที่มีต่อภาคเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแนวโน้มว่า
วาทกรรม แห่งความพอเพียงทางเศรษฐกิจนี้จะพยายามช่วงชิงการยำ (Hegemony) การให้ความหมายและกำหนดกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมหลักแห่งความทันสมัยเพื่อ ช่วงชิงอำนาจการกำหนดกระบวนทัศน์รวมทั้งการกำหนดแนวทางการพัฒนาให้กลับสู่ สังคมไทย แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันกลับ พบว่ายังคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนต่างๆ ของปรากฎการณ์ รวมทั้งเป็นฐานอำนาจในการสร้างและสนับสนุนวาทกรรมใหม่ได้อย่างเพียงพอที่จะ สามารถปะทะกับวาทกรรมเดิมอันจะทำให้เกิดการให้ความหมายและทางเลือกใหม่ต่อ การพัฒนาซึ่งจะเป็นการคืนอำนาจให้แก่สังคมไทยและสังคมชนบทอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า มีความจำเป็นมากที่จะต้องศึกษาวิจัยเพื่อสร้างความรู้อย่างเร่งด่วน
เพื่อ รองรับและสนับสนุนการเกิดขึ้นของวาทกรรมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบันซึ่งสังคมไทยต้องประสบกับปัญหาการพัฒนาหลาย ด้าน ซึ่งมีผลทำให้เกิดคำถาม เกิดความสงสัยและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายต่อวาทกรรมการพัฒนาเดิมที่มุ่งเน้นการไปสู่ความทันสมัยแต่เพียงอย่าง เดียว
การเกิดขึ้นของวาทกรรมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงนั้น แม้จะดูเหมือนว่าสังคมไทยได้เข้าใกล้
จุด เปลี่ยนผ่านของวาทกรรมการพัฒนาซึ่งจะมีผลสืบเนื่องเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยน แปลงกระบวนทัศน์และแนวทางการพัฒนาทั้งหมด อันจะเป็นความหวังใหม่ในการคืนอำนาจให้แก่สังคมและชนบทไทยก็ตาม
แต่เมื่อพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า หากการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของวาทกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด
มีขั้นตอนและความสลับซับซ้อนของบรรดาเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นำไปสู่การก่อตัว การเกิดของวาทกรรม
และ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม รวมถึงผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำจากภาคปฏิบัติการจริงของวาท กรรมการพัฒนาชุดนั้นด้วยแล้ว องค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรากฎอยู่
ในสังคมไทยขณะนี้จึงยังมีอยู่น้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะรองรับและสนับสนุนการต่อสู้ช่วงชิงการนำใน
การสร้างความหมาย และกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมเดิมที่มุ่งไปสู่ความทันสมัย ซึ่งมีความได้
เปรียบในแง่ของการพัฒนาองค์ความรู้อย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้การสร้างความรู้
ที่ จะนำไปสู่การอธิบายและการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นในฐานะที่เป็นการสร้างความรู้สำหรับอธิบาย ทำความเข้าใจและให้ความหมายรวมทั้งนำไปสู่การสร้างทางเลือกสำหรับการพัฒนา ของสังคมไทยต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะเป็นปรากฎการณ์ทาง สังคมอย่างหนึ่งว่า มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และปรับตัวไปอย่างท่ามกลางความเป็นพลวัตของบริบททางสังคม ที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมประเพณีเข้าสู่สังคมทันสมัย

ปัญหาการวิจัย
1. การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทสังคมแบบประเพณี (Traditional Society) ก่อนยุคเศรษฐกิจทุนนิยมการค้ามีเงื่อนไข ปัจจัยอย่างไร
2. เศรษฐกิจพอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างสังคมแบบประเพณี ไปสู่สังคมทันสมัย (Modern Society) อย่างไร

ขอบเขตการศึกษา
เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ ต้องการศึกษาถึงปรากฎการณ์การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททาง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมประเพณี มาเป็นสังคมทันสมัย โดยกำหนดนิยามความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการจัดสรรผลผลิต โดยมุ่งศึกษาและทำความเข้าใจว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงไปของสังคมซึ่งเป็น บริบทที่แวดล้อมอยู่นั้น ประชาชนในชนบทมีทัศนะและให้ความหมายกับการเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัว ของกิจกรรมหลัก 4 ประการดังกล่าวนี้อย่างไร และด้วยเหตุที่การอธิบายและให้ความหมายดังกล่าวเป็นทัศนะที่เกิดขึ้นจากมุม มองของราษฎรในชนบทเอง ดังนั้นการวิจัยนี้จึงใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพในการสร้างองค์ความรู้ที่มา จากทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นการศึกษาปรากฎการณ์สังคมจากมุมมองและการให้ความหมายของ คนที่อยู่ในปรากฎการณ์ ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาสร้างมโนทัศน์ และหาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ต่าง ๆ ให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีสำหรับการอธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้น

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงกระบวนการในการสร้างเอกลักษณ์ การให้ความหมาย
การสร้างชุดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวาทกรรมการพัฒนาที่นำไปสู่คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น
2. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงการเกิด การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบ ความสัมพันธ์ทางสังคมของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททางสังคมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ผลของการวิจัยทำให้เกิดความรู้ที่จะสนับสนุนและอธิบายวาทกรรมใหม่ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

วิธีการดำเนินการวิจัย
เนื่อง จากการศึกษาวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์นั้น ต้องการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์สังคมที่มีความซับซ้อน หลากหลายและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจถึงวิธีการที่บุคคลให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเชื่อมโยงไปถึงคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีคิดและการกระทำของบุคคล ย่อมทำให้สามารถเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้งและสมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามผู้วิจัยพบว่าความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น การใช้วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีจากฐานราก (Grounded Theory) จึงเป็นสิ่งจำเป็นของการศึกษาวิธีวิทยาแบบนี้มีความเชื่อพื้นฐานว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ จะต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลให้ความหมาย (Meaning) ต่อสิ่งนั้นเสียก่อน ทั้งนี้เพราะความเข้าใจต่อการให้ความหมายของคนจะทำให้สามารถอธิบายถึงความ คิดและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้ (นภาภรณ์ หะวานนท์. 2539. หน้า 102)

สนาม
ก่อนการตัดสินใจเลือกสนามผู้วิจัยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับนักวิชาการอื่น ๆ และเดินทางไปดูพื้นที่จริงในจังหวัดต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าพื้นที่ใดมีความสอดคล้อง และเหมาะสมที่จะเลือกเป็นสนามในการศึกษามากที่สุด ในที่สุดผู้วิจัยเจาะจงเลือกพื้นที่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสนามในการศึกษา เนื่องจากพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับคุณลักษณะ ของเศรษฐกิจพอเพียงตามคำนิยามและขอบเขตที่กำหนดไว้มากที่สุด

การเข้าสู่สนาม
หลังจากเลือกพื้นที่แล้ว ผู้วิจัยได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ก่อนเข้าสู่สนามจริง โดยได้มีการทดลองสัมภาษณ์ตามแนวคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบ สำหรับการสร้างแนวคำถามการสัมภาณ์นั้น ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และปัญหา เป็นแนวคำถามปลายเปิด เพื่อให้การเข้าสู่สนามมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้วิจัยได้วางแผนและเตรียมการ โดยทำการศึกษาข้อมูลทางกายภาพและประวัติชุมชน ร่วมทั้งสภาพบริบทต่างๆ ก่อน และได้นำคณะผู้เก็บข้อมูลอันประกอบด้วยนักวิชาการที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ การศึกษาวิจัยชุมชน จำนวน 2 คน และผู้ช่วยนักวิจัย จำนวน 3 คน ซึ่งทุกคนได้ทำการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นการวิจัย กรอบความคิดในการศึกษารวมทั้งแนวคำถามล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้วเข้าไปสำรวจ พื้นที่ก่อน โดยภายหลังเมื่อกลับออกมาก็ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการ สัมภาษณ์ การแบ่งหน้าที่รวมทั้งการประสานงานในการเก็บข้อมูลก่อนเข้าสู่สนามจริง ซึ่งมีระยะเวลาห่างจากการเข้าไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์

การเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลัก
ในการศึกษานี้ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักโดยใช้วิธีการเลือกเชิงทฤษฎี ซึ่งจะกำหนดลักษณะ
ของผู้ให้สัมภาษณ์ไว้กว้าง ๆ ตามกรอบแนวคิดที่สร้างขึ้น เช่น ผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรชุมชน
ผู้นำทางด้านศาสนาและพิธีกรรม ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนกลุ่มสตรีและแม่บ้าน เจ้าหน้าที่
ของ รัฐ ผู้อาวุโส เด็กและเยาวชน โดยคำนึงถึงความหลากหลายของการให้ความหมายตามลักษณะที่แตกต่างกันของกลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักเหล่านี้ โดยไม่เจาะจงว่าจะเก็บข้อมูลจากใคร ลักษณะใดหรือต้องการข้อมูลจำนวนมากเท่าใด ความไวต่อทฤษฎีและมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักรายแรกจะเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็น ถึงผู้ให้สัมภาษณ์รายอื่น ๆ

การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสมบูรณ์ของมโนทัศน์และทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลเป็นเงื่อนไขที่ สำคัญมาก ดังนั้นในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นการสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) ด้วยวิธีการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับทฤษฎีในลักษณะที่นำข้อมูลที่ มีอยู่เป็นจำนวนมากน้มาแยกส่วน หรือจัดหมวดหมู่ตามคุณสมบัติ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการตีความ (Interpretation) เพื่อสร้างมโนทัศน์ขึ้นมาจากข้อมูลแล้วดำเนินการเชื่อมโยงมโนทัศน์ในรูปความ สัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ โดยคำนึงถึงเงื่อนไข และบริบทที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา ทั้งนี้ทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจะสามารถสะท้อนความจริงและมีลักษณะเป็นนามธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างอำนาจในการอธิบายปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ ด้วยเหตุนี้กระบวนการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงต้องดำเนินไปควบคู่กับ การเก็บข้อมูลพร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น (Triangulation) ด้วย

ผลการศึกษา
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้โครงสร้างสังคมแบบประเพณี
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพบว่า หมู่บ้านพอเพียง (ชื่อสมมุติ) ในยุคก่อนปี 2518 เมื่อยังไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้านจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่จากอิทธิพลภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามานั้น กล่าวได้ว่าโครงสร้างสังคมของหมู่บ้านนี้มีลักษณะแบบสังคมประเพณีอย่างเต็ม ที่ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของวิถีการผลิต พบว่าเป็นไปเพื่อการยังชีพด้วยการอาศัยการเกษตรกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการปัจจัย 4 ให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขพอสมควรตามอัตภาพ อีกทั้งหมู่บ้านนี้มีโครงสร้างสังคมที่มีความซับซ้อนน้อย หน่วยสังคมต่าง ๆ ทำหลายหน้าที่ ทำให้มีความสามารถในการบูรณาการสูง และการมีระบบคุณค่าและความเชื่อต่าง ๆ ในสิ่งเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่พบในสังคมประเพณีทั้งสิ้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้สังคมประเพณีของหมู่บ้านนี้มีเงื่อนไขหลัก 2 ประการ คือ
1. การมีวิถีการผลิตแบบยังชีพของหมู่บ้านซึ่งการผลิตเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคของตนเองเป็นหลัก
2. ศักยภาพของหมู่บ้านที่ยังคงสามารถดำรง รักษา “อำนาจ” ในการดูแลจัดการทรัพยากรต่าง ๆและกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของตนเองไว้
นอก จากนั้นยังพบว่ามีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนให้หมู่บ้านเกิดเศรษฐกิจพอเพียงและดำรงอยู่ได้ในโครงสร้างสังคม ประเพณีของหมู่บ้าน ดังนี้
1. การปลอดจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอกและระบบการค้าแบบเงินตรา
2. สภาพของป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ
3. เทคโนโลยีที่มีขนาดเหมาะสมและไม่ซับซ้อนจนเกินไป
4. จำนวนประชากรที่เหมาะสม

มโนทัศน์ ต่าง ๆ ทั้งหมดจากการวิเคราะห์ข้อมูล เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงใน โครงสร้างสังคมแบบประเพณีก็คือ การที่ชุมชนมีอำนาจในการควบคุมและดูแลทรัพยากรของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังพบว่า การมีจำนวนประชากรที่เหมาะสม การมีสภาพป่า
ที่อุดม สมบูรณ์ การผูกพันกันในลักษณะเครือญาติ รวมทั้งการมีวิถีการผลิตที่เป็นไปเพื่อการยังชีพและการบริโภคในครอบครัวโดย ปราศจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอก ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนที่สำคัญเช่นกัน
การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงบริบทจากสังคมประเพณีมาสู่สังคมทันสมัย
การศึกษานี้พบว่า เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากสังคมประเพณีมาสู่สังคม ทันสมัย ก็คือ การมีอิทธิพลภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นการมีถนน สัมปทานป่า การค้าขายแบบทุนนิยม และการศึกษาสมัยใหม่ ไฟฟ้ารวมทั้งสื่อต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้การจัดระเบียบทางสังคมตั้งแต่โลกทัศน์ ระบบคุณค่าและบรรทัดฐานของชุมชนที่ปรากฎอยู่ในรูปจารีตประเพณี ความเชื่อต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิม
ในด้านการผลิต พบว่า การจัดการปัจจัยการผลิตและการจัดการในการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยบรรทัดฐานของชุมชนที่เคยควบคุมให้สมาชิกจัดการปัจจัยการผลิตบนพื้นฐานของ ความสมดุลกับธรรมชาติและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในชุมชนต้องเปลี่ยนเป็น บรรทัดฐานของเงินตราและปัจเจกชนเข้ามาแทนที่
ในด้านการบริโภค พบว่า อิทธิพลจากภายนอกที่เข้ามา ทำให้ทัศนคติและพฤติกรรมในการบริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะการเลียนแบบ และการพึ่งพาผลผลิตต่าง ๆ จากภายนอกมากขึ้น มีผลทำให้การบริโภคและการผลิตไม่ได้ดำรงอยู่ในอำนาจและการควบคุมของครอบครัว และชุมชนอีกต่อไป แต่ต้องไปสัมพันธ์กับตลาดภายนอกที่ตนเสียเปรียบเนื่องจากมีอำนาจต่อรองที่ ด้อยกว่า จึงทำให้เกิดความไม่เพียงพอในการบริโภคขึ้น
การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคเกิดขึ้น ซึ่งชุมชนมีความจำเป็นต้องมีการปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป มโนทัศน์ที่ได้จากการศึกษาพบว่า กระบวนการปรับตัวของชุมชนดังกล่าวตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ประการ คือการปรับตัวโดยพยายามรักษาความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภค และการปรับตัวด้วยการพยายามสร้างกระบวนการต่อรองและการจัดการรูปแบบต่าง ๆ
กระบวนการปรับตัวด้านการผลิต ที่ปรับตัวเข้าสู่การมีสองวิถีการผลิตร่วมกัน ทั้งวิถีการผลิตแบบยังชีพ และการค้าซึ่งทำให้บรรทัดฐานเดิมที่เคยควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยว ข้องกับการผลิตเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ เช่น มีการรวมกลุ่มกันทำการเพาะปลูกในลักาณะเกษตรเชิงอนุรักษ์ การตั้งกลุ่มทอผ้า กลุ่มออมทรัพย์และธนาคารข้าว เพื่อธำรงรักษาการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความ สมดุลกับธรรมชาติและพึ่งพาอาศัยแบ่งปันกันในชุมชนไว้ภายใต้รูปแบบการรวม กลุ่มทำกิจกรรมการเพาะปลูกเชิงอนุรักษ์แทน
กระบวนการปรับตัวด้านการบริโภค ที่พยายามดรงวิถีการผลิตเพื่อการบริโภคและการยึดมั่นในจารีตประเพณีเดิมที่ เกี่ยวกับการบริโภค ในขณะเดียวกันก็สร้างระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น การวิสาสะกันในกลุ่มสมาชิก บทบาทการเข้ามาควบคุมสื่อของครอบครัว ต่างก็เป็นกระบวนการปรับตัวที่
เข้ามาควบคุมให้การบริโภคเป็นไปอย่างเหมาะสมภายใต้เงื่อนไขของความสมดุลกับการผลิตทั้งสิ้น
การปรับตัวด้านการแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลผลิต ที่พยายามสร้างอำนาจต่อรองและความสัมพันธ์
ที่เท่าเทียมกันผ่านการรวมตัวกันเป็นกลุ่มต่าง ๆ แสดงถึงการพยายามปรับตัวเข้าสู่ความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคไว้

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
ของอรสุดา เจริญรัถ*

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน
แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์,
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

คณะกรรมการควบคุม รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์
ผศ.ดร.สุรุวุฒิ ปัดไธสง
ผศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

ความสำคัญของปัญหา
ในอดีตพบว่าสังคมชนบทไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย เศรษฐกิจพื้นฐานเป็นการผลิตเพื่อยังชีพสำหรับบริโภคใช้สอยในครัวเรือนและใน ชุมชน มิใช่เพื่อการแลกเปลี่ยน การดำรงชีพเป็นลักษณะการพึ่งพิงธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ทำให้ชาวชนบทมีความใกล้ชิดผูกพันและตระหนักในสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงออกในรูปของความเชื่อ และพิธีกรรมที่เอื้อต่อการรักษาความสมดุลของทรัพยากร
ธรรมชาติความสัมพันธ์หลักในชุมชนเป็นความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและความสัมพันธ์ทางสายเลือด
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2537)
การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชนบทไทยเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เข้าสู่กระบวนการ พัฒนาที่มุ่งเน้นความทันสมัยตามแบบตะวันตก นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดเป็นต้น นักวิเคราะห์วาทกรรมพยายามสะท้อนและเชื่อมโยงให้เห็นว่า เริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อประเทศตะวันตกได้ใช้อำนาจในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ การให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการเงินกู้ หรือคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดวาทกรรมเพื่อสร้างความหมายต่อสิ่งใหม่
ที่เป็นคู่ตรงข้ามคือ “การพัฒนา” และ “ความด้อยพัฒนา” ให้เกิดขึ้น (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. 2540. หน้า 87)
การใช้อำนาจของประเทศตะวันตกกำหนดวาทกรรมการพัฒนาในลักษณะดังกล่าวนี้ นับว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้หลุดพ้น
จากสภาพความด้อยพัฒนาไปสู่การพัฒนา วาทกรรมดังกล่าวจึงได้สร้างกฎเกณฑ์อีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้ความหมายแก่ “สังคมที่พัฒนา” ว่า คือสังคมที่มีความทันสมัยตามแบบสังคมตะวันตกซึ่งจะไปถึงได้
ด้วยวิธีการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ดังนั้นทุกสังคมจะสามารถหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนาไปสู่ความเจริญได้ด้วยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้เป็นแบบตะวันตก (Black. 1960. pp. 1-7) ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิต โลกทัศน์ ระบบความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนในชนบทผันแปรไปจากเดิม
แนวทางการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่า ถูกต้องและเหมาะสมว่าแท้จริงแล้ว แนวทางการพัฒนาเช่นนี้ยังคงถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยต่อไปอีก หรือไม่ (เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. 2542. หน้า 2) แม้ในแวดวงการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการและปัญญาชน ก็พบว่า เกิดกลุ่มแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ “ต่อต้านทฤษฎีการทำให้ทันสมัย” ซึ่งแท้จริงแล้วชุมชนชนบทไทยสามารถปรับตัวโดยสร้างระบบการบริหารจัดการภาย ใต้บริบทที่มีความขัดแย้งและกดดันเพื่อหาทางเลือก
ที่ดีที่สุดให้แก่ สมาชิกชุมชน ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขพึ่งพาตนเอง และรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ประเด็นที่ผู้วิจัยเห็นว่า มีความสำคัญมากที่สุด คือ ชุมชนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างเต็มที่เพื่อรักษา “อำนาจและสิทธิ” ของตนในการตัดสินใจกำหนดทางเลือกการพัฒนา
รวมทั้งรักษา ความสามารถในการควบคุม และการจัดการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของความพอเพียงในชุมชน บทพิสูจน์เหล่านี้มีผลทำให้ฐานคิดในการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยทำให้เกิดความตระหนักว่า ชุมชนมิได้มีแต่ความว่างเปล่าและมีแต่ด้านที่เป็นปัญหา แต่ชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคล้วนมีภูมิปัญญา มีศักยภาพ มีพลังสร้างสรรค์ และมีทางเลือกของตนเองอย่างอิสระที่จะแก้ปัญหาของชุมชน การพัฒนาไม่ว่าจะเป็นใน
แง่เป้าหมายหรือกระบวนการจึงควรเป็นการกำหนด ตัดสินใจและดำเนินการจากชุมชนซึ่งเป็นผู้รับผลจากการพัฒนา โดยกำหนดให้ชุมชนเป็นตัวตั้งรวมทั้งมีความหลากหลายและครอบคลุมในหลายมิติ (เสรี พงศ์พิศ. 2531. ; กาญจนา แก้วเทพ. 2538)
คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ การช่วงชิงอำนาจหรือการคืนสถานภาพความเป็นตัวของตัวเองให้แก่สังคมไทยในการ สร้างวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการของสังคมไทยเองนั้นจะเกิดขึ้นได้ อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์วาทกรรม เช่น ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2540. หน้า 128) แสดงความเห็นว่าคงมิใช่ด้วยวิธีการประณามวาทกรรมการพัฒนาที่เป็นอยู่คือ ความทันสมัยว่าเป็นระบบครอบงำที่ชั่วร้ายและต้องทำลายล้างลงด้วยวิธีการ ปฏิวัติที่รุนแรงหรือด้วยวิธีการแย่งชิงอำนาจรัฐอย่างในวิธีคิดแบบเก่า แต่สิ่งสำคัญก็คือจะต้องต่อสู้ และปะทะด้วยการสร้างวาทกรรมชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมเอกลักษณ์หรือตัวตน และความหมายชนิดใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบของการการพัฒนาแบบเดิมอีกต่อ ไปขึ้นมาทดแทน
อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากเท่าที่สังคมยังคงมีความสัมพันธ์ในลักษณะของการพึ่ง พิงของชนบทที่มีต่อภาคเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแนวโน้มว่า
วาทกรรม แห่งความพอเพียงทางเศรษฐกิจนี้จะพยายามช่วงชิงการยำ (Hegemony) การให้ความหมายและกำหนดกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมหลักแห่งความทันสมัยเพื่อ ช่วงชิงอำนาจการกำหนดกระบวนทัศน์รวมทั้งการกำหนดแนวทางการพัฒนาให้กลับสู่ สังคมไทย แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันกลับ พบว่ายังคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนต่างๆ ของปรากฎการณ์ รวมทั้งเป็นฐานอำนาจในการสร้างและสนับสนุนวาทกรรมใหม่ได้อย่างเพียงพอที่จะ สามารถปะทะกับวาทกรรมเดิมอันจะทำให้เกิดการให้ความหมายและทางเลือกใหม่ต่อ การพัฒนาซึ่งจะเป็นการคืนอำนาจให้แก่สังคมไทยและสังคมชนบทอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า มีความจำเป็นมากที่จะต้องศึกษาวิจัยเพื่อสร้างความรู้อย่างเร่งด่วน
เพื่อ รองรับและสนับสนุนการเกิดขึ้นของวาทกรรมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบันซึ่งสังคมไทยต้องประสบกับปัญหาการพัฒนาหลาย ด้าน ซึ่งมีผลทำให้เกิดคำถาม เกิดความสงสัยและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายต่อวาทกรรมการพัฒนาเดิมที่มุ่งเน้นการไปสู่ความทันสมัยแต่เพียงอย่าง เดียว
การเกิดขึ้นของวาทกรรมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงนั้น แม้จะดูเหมือนว่าสังคมไทยได้เข้าใกล้
จุด เปลี่ยนผ่านของวาทกรรมการพัฒนาซึ่งจะมีผลสืบเนื่องเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยน แปลงกระบวนทัศน์และแนวทางการพัฒนาทั้งหมด อันจะเป็นความหวังใหม่ในการคืนอำนาจให้แก่สังคมและชนบทไทยก็ตาม
แต่เมื่อพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า หากการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของวาทกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด
มีขั้นตอนและความสลับซับซ้อนของบรรดาเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นำไปสู่การก่อตัว การเกิดของวาทกรรม
และ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม รวมถึงผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำจากภาคปฏิบัติการจริงของวาท กรรมการพัฒนาชุดนั้นด้วยแล้ว องค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรากฎอยู่
ในสังคมไทยขณะนี้จึงยังมีอยู่น้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะรองรับและสนับสนุนการต่อสู้ช่วงชิงการนำใน
การสร้างความหมาย และกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมเดิมที่มุ่งไปสู่ความทันสมัย ซึ่งมีความได้
เปรียบในแง่ของการพัฒนาองค์ความรู้อย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้การสร้างความรู้
ที่ จะนำไปสู่การอธิบายและการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นในฐานะที่เป็นการสร้างความรู้สำหรับอธิบาย ทำความเข้าใจและให้ความหมายรวมทั้งนำไปสู่การสร้างทางเลือกสำหรับการพัฒนา ของสังคมไทยต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะเป็นปรากฎการณ์ทาง สังคมอย่างหนึ่งว่า มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และปรับตัวไปอย่างท่ามกลางความเป็นพลวัตของบริบททางสังคม ที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมประเพณีเข้าสู่สังคมทันสมัย

ปัญหาการวิจัย
1. การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทสังคมแบบประเพณี (Traditional Society) ก่อนยุคเศรษฐกิจทุนนิยมการค้ามีเงื่อนไข ปัจจัยอย่างไร
2. เศรษฐกิจพอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างสังคมแบบประเพณี ไปสู่สังคมทันสมัย (Modern Society) อย่างไร

ขอบเขตการศึกษา
เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ ต้องการศึกษาถึงปรากฎการณ์การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททาง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมประเพณี มาเป็นสังคมทันสมัย โดยกำหนดนิยามความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการจัดสรรผลผลิต โดยมุ่งศึกษาและทำความเข้าใจว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงไปของสังคมซึ่งเป็น บริบทที่แวดล้อมอยู่นั้น ประชาชนในชนบทมีทัศนะและให้ความหมายกับการเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัว ของกิจกรรมหลัก 4 ประการดังกล่าวนี้อย่างไร และด้วยเหตุที่การอธิบายและให้ความหมายดังกล่าวเป็นทัศนะที่เกิดขึ้นจากมุม มองของราษฎรในชนบทเอง ดังนั้นการวิจัยนี้จึงใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพในการสร้างองค์ความรู้ที่มา จากทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นการศึกษาปรากฎการณ์สังคมจากมุมมองและการให้ความหมายของ คนที่อยู่ในปรากฎการณ์ ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาสร้างมโนทัศน์ และหาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ต่าง ๆ ให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีสำหรับการอธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้น

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงกระบวนการในการสร้างเอกลักษณ์ การให้ความหมาย
การสร้างชุดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวาทกรรมการพัฒนาที่นำไปสู่คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น
2. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงการเกิด การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบ ความสัมพันธ์ทางสังคมของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททางสังคมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ผลของการวิจัยทำให้เกิดความรู้ที่จะสนับสนุนและอธิบายวาทกรรมใหม่ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

วิธีการดำเนินการวิจัย
เนื่อง จากการศึกษาวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์นั้น ต้องการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์สังคมที่มีความซับซ้อน หลากหลายและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจถึงวิธีการที่บุคคลให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเชื่อมโยงไปถึงคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีคิดและการกระทำของบุคคล ย่อมทำให้สามารถเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้งและสมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามผู้วิจัยพบว่าความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น การใช้วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีจากฐานราก (Grounded Theory) จึงเป็นสิ่งจำเป็นของการศึกษาวิธีวิทยาแบบนี้มีความเชื่อพื้นฐานว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ จะต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลให้ความหมาย (Meaning) ต่อสิ่งนั้นเสียก่อน ทั้งนี้เพราะความเข้าใจต่อการให้ความหมายของคนจะทำให้สามารถอธิบายถึงความ คิดและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้ (นภาภรณ์ หะวานนท์. 2539. หน้า 102)

สนาม
ก่อนการตัดสินใจเลือกสนามผู้วิจัยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับนักวิชาการอื่น ๆ และเดินทางไปดูพื้นที่จริงในจังหวัดต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าพื้นที่ใดมีความสอดคล้อง และเหมาะสมที่จะเลือกเป็นสนามในการศึกษามากที่สุด ในที่สุดผู้วิจัยเจาะจงเลือกพื้นที่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสนามในการศึกษา เนื่องจากพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับคุณลักษณะ ของเศรษฐกิจพอเพียงตามคำนิยามและขอบเขตที่กำหนดไว้มากที่สุด

การเข้าสู่สนาม
หลังจากเลือกพื้นที่แล้ว ผู้วิจัยได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ก่อนเข้าสู่สนามจริง โดยได้มีการทดลองสัมภาษณ์ตามแนวคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบ สำหรับการสร้างแนวคำถามการสัมภาณ์นั้น ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และปัญหา เป็นแนวคำถามปลายเปิด เพื่อให้การเข้าสู่สนามมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้วิจัยได้วางแผนและเตรียมการ โดยทำการศึกษาข้อมูลทางกายภาพและประวัติชุมชน ร่วมทั้งสภาพบริบทต่างๆ ก่อน และได้นำคณะผู้เก็บข้อมูลอันประกอบด้วยนักวิชาการที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ การศึกษาวิจัยชุมชน จำนวน 2 คน และผู้ช่วยนักวิจัย จำนวน 3 คน ซึ่งทุกคนได้ทำการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นการวิจัย กรอบความคิดในการศึกษารวมทั้งแนวคำถามล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้วเข้าไปสำรวจ พื้นที่ก่อน โดยภายหลังเมื่อกลับออกมาก็ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการ สัมภาษณ์ การแบ่งหน้าที่รวมทั้งการประสานงานในการเก็บข้อมูลก่อนเข้าสู่สนามจริง ซึ่งมีระยะเวลาห่างจากการเข้าไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์

การเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลัก
ในการศึกษานี้ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักโดยใช้วิธีการเลือกเชิงทฤษฎี ซึ่งจะกำหนดลักษณะ
ของผู้ให้สัมภาษณ์ไว้กว้าง ๆ ตามกรอบแนวคิดที่สร้างขึ้น เช่น ผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรชุมชน
ผู้นำทางด้านศาสนาและพิธีกรรม ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนกลุ่มสตรีและแม่บ้าน เจ้าหน้าที่
ของ รัฐ ผู้อาวุโส เด็กและเยาวชน โดยคำนึงถึงความหลากหลายของการให้ความหมายตามลักษณะที่แตกต่างกันของกลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักเหล่านี้ โดยไม่เจาะจงว่าจะเก็บข้อมูลจากใคร ลักษณะใดหรือต้องการข้อมูลจำนวนมากเท่าใด ความไวต่อทฤษฎีและมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักรายแรกจะเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็น ถึงผู้ให้สัมภาษณ์รายอื่น ๆ

การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสมบูรณ์ของมโนทัศน์และทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลเป็นเงื่อนไขที่ สำคัญมาก ดังนั้นในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นการสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) ด้วยวิธีการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับทฤษฎีในลักษณะที่นำข้อมูลที่ มีอยู่เป็นจำนวนมากน้มาแยกส่วน หรือจัดหมวดหมู่ตามคุณสมบัติ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการตีความ (Interpretation) เพื่อสร้างมโนทัศน์ขึ้นมาจากข้อมูลแล้วดำเนินการเชื่อมโยงมโนทัศน์ในรูปความ สัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ โดยคำนึงถึงเงื่อนไข และบริบทที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา ทั้งนี้ทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจะสามารถสะท้อนความจริงและมีลักษณะเป็นนามธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างอำนาจในการอธิบายปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ ด้วยเหตุนี้กระบวนการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงต้องดำเนินไปควบคู่กับ การเก็บข้อมูลพร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น (Triangulation) ด้วย

ผลการศึกษา
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้โครงสร้างสังคมแบบประเพณี
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพบว่า หมู่บ้านพอเพียง (ชื่อสมมุติ) ในยุคก่อนปี 2518 เมื่อยังไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้านจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่จากอิทธิพลภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามานั้น กล่าวได้ว่าโครงสร้างสังคมของหมู่บ้านนี้มีลักษณะแบบสังคมประเพณีอย่างเต็ม ที่ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของวิถีการผลิต พบว่าเป็นไปเพื่อการยังชีพด้วยการอาศัยการเกษตรกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการปัจจัย 4 ให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขพอสมควรตามอัตภาพ อีกทั้งหมู่บ้านนี้มีโครงสร้างสังคมที่มีความซับซ้อนน้อย หน่วยสังคมต่าง ๆ ทำหลายหน้าที่ ทำให้มีความสามารถในการบูรณาการสูง และการมีระบบคุณค่าและความเชื่อต่าง ๆ ในสิ่งเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่พบในสังคมประเพณีทั้งสิ้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้สังคมประเพณีของหมู่บ้านนี้มีเงื่อนไขหลัก 2 ประการ คือ
1. การมีวิถีการผลิตแบบยังชีพของหมู่บ้านซึ่งการผลิตเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคของตนเองเป็นหลัก
2. ศักยภาพของหมู่บ้านที่ยังคงสามารถดำรง รักษา “อำนาจ” ในการดูแลจัดการทรัพยากรต่าง ๆและกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของตนเองไว้
นอก จากนั้นยังพบว่ามีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนให้หมู่บ้านเกิดเศรษฐกิจพอเพียงและดำรงอยู่ได้ในโครงสร้างสังคม ประเพณีของหมู่บ้าน ดังนี้
1. การปลอดจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอกและระบบการค้าแบบเงินตรา
2. สภาพของป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ
3. เทคโนโลยีที่มีขนาดเหมาะสมและไม่ซับซ้อนจนเกินไป
4. จำนวนประชากรที่เหมาะสม

มโนทัศน์ ต่าง ๆ ทั้งหมดจากการวิเคราะห์ข้อมูล เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงใน โครงสร้างสังคมแบบประเพณีก็คือ การที่ชุมชนมีอำนาจในการควบคุมและดูแลทรัพยากรของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังพบว่า การมีจำนวนประชากรที่เหมาะสม การมีสภาพป่า
ที่อุดม สมบูรณ์ การผูกพันกันในลักษณะเครือญาติ รวมทั้งการมีวิถีการผลิตที่เป็นไปเพื่อการยังชีพและการบริโภคในครอบครัวโดย ปราศจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอก ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนที่สำคัญเช่นกัน
การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงบริบทจากสังคมประเพณีมาสู่สังคมทันสมัย
การศึกษานี้พบว่า เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากสังคมประเพณีมาสู่สังคม ทันสมัย ก็คือ การมีอิทธิพลภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นการมีถนน สัมปทานป่า การค้าขายแบบทุนนิยม และการศึกษาสมัยใหม่ ไฟฟ้ารวมทั้งสื่อต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้การจัดระเบียบทางสังคมตั้งแต่โลกทัศน์ ระบบคุณค่าและบรรทัดฐานของชุมชนที่ปรากฎอยู่ในรูปจารีตประเพณี ความเชื่อต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิม
ในด้านการผลิต พบว่า การจัดการปัจจัยการผลิตและการจัดการในการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยบรรทัดฐานของชุมชนที่เคยควบคุมให้สมาชิกจัดการปัจจัยการผลิตบนพื้นฐานของ ความสมดุลกับธรรมชาติและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในชุมชนต้องเปลี่ยนเป็น บรรทัดฐานของเงินตราและปัจเจกชนเข้ามาแทนที่
ในด้านการบริโภค พบว่า อิทธิพลจากภายนอกที่เข้ามา ทำให้ทัศนคติและพฤติกรรมในการบริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะการเลียนแบบ และการพึ่งพาผลผลิตต่าง ๆ จากภายนอกมากขึ้น มีผลทำให้การบริโภคและการผลิตไม่ได้ดำรงอยู่ในอำนาจและการควบคุมของครอบครัว และชุมชนอีกต่อไป แต่ต้องไปสัมพันธ์กับตลาดภายนอกที่ตนเสียเปรียบเนื่องจากมีอำนาจต่อรองที่ ด้อยกว่า จึงทำให้เกิดความไม่เพียงพอในการบริโภคขึ้น
การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคเกิดขึ้น ซึ่งชุมชนมีความจำเป็นต้องมีการปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป มโนทัศน์ที่ได้จากการศึกษาพบว่า กระบวนการปรับตัวของชุมชนดังกล่าวตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ประการ คือการปรับตัวโดยพยายามรักษาความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภค และการปรับตัวด้วยการพยายามสร้างกระบวนการต่อรองและการจัดการรูปแบบต่าง ๆ
กระบวนการปรับตัวด้านการผลิต ที่ปรับตัวเข้าสู่การมีสองวิถีการผลิตร่วมกัน ทั้งวิถีการผลิตแบบยังชีพ และการค้าซึ่งทำให้บรรทัดฐานเดิมที่เคยควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยว ข้องกับการผลิตเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ เช่น มีการรวมกลุ่มกันทำการเพาะปลูกในลักาณะเกษตรเชิงอนุรักษ์ การตั้งกลุ่มทอผ้า กลุ่มออมทรัพย์และธนาคารข้าว เพื่อธำรงรักษาการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความ สมดุลกับธรรมชาติและพึ่งพาอาศัยแบ่งปันกันในชุมชนไว้ภายใต้รูปแบบการรวม กลุ่มทำกิจกรรมการเพาะปลูกเชิงอนุรักษ์แทน
กระบวนการปรับตัวด้านการบริโภค ที่พยายามดรงวิถีการผลิตเพื่อการบริโภคและการยึดมั่นในจารีตประเพณีเดิมที่ เกี่ยวกับการบริโภค ในขณะเดียวกันก็สร้างระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น การวิสาสะกันในกลุ่มสมาชิก บทบาทการเข้ามาควบคุมสื่อของครอบครัว ต่างก็เป็นกระบวนการปรับตัวที่
เข้ามาควบคุมให้การบริโภคเป็นไปอย่างเหมาะสมภายใต้เงื่อนไขของความสมดุลกับการผลิตทั้งสิ้น
การปรับตัวด้านการแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลผลิต ที่พยายามสร้างอำนาจต่อรองและความสัมพันธ์
ที่เท่าเทียมกันผ่านการรวมตัวกันเป็นกลุ่มต่าง ๆ แสดงถึงการพยายามปรับตัวเข้าสู่ความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น