วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอนุบาล

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอนุบาล ๑


อยากนำมาแบ่งปันกัน เพื่อเราจะได้มีลูกหลานไทยที่ฉลาดๆมากๆ แล้วช่วยกันพัฒนาประเทศไทยกันน่ะค่ะ ซลสมอง ของเด็กสามารถแยกรับเสียงภาษาต่างๆได้ตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 8-12 เดือนแรก เด็กจะแยกแยะเสียงต่างๆได้ดีแล้ว การเรียนรู้จะไปได้ดี จนถึงอายุ 7 ปี หลังจากนั้นจะกระตุ้นได้ยากขึ้น การอ่านหนังสือเป็นการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาที่ดี เด็กควรได้รับฟังบทเพลงภาษาท้องถิ่นและดนตรีต่างวัฒนธรรมได้ตั้งแต่ขวบปีแรก ดังนั้นการเปิดเพลงภาษาที่หลากหลายและสนทนาให้เด็กฟัง ตั้งแต่วัยเด็กเป็นสิ่งที่ดี ที่ผู้ดูแลเด็กควรทำอย่างสม่ำ   เสมอ การกระตุ้นภาษาที่ต่างกันในวัยเด็ก คือที่มาของความเหลื่อมล้ำในพัฒนาการทางภาษา อารมณ์และจิตใจของเด็ก


๑. ทำไมสมองจึงฉลาดขึ้น? :
จุดเริ่มต้นของความเฉลียวฉลานคือการกระตุ้นสมองให้ทำงาน โดยธรรมชาติคือการลงมือทำสิ่งต่างๆ

งานที่สมองถนัดที่สุดก็คือ "การเรียนรู้" (learning) ระบบในสมองก็ออกแบบมาเพื่อทำการเรียนรู้ จุดเริ่มต้นของความเฉลียวฉลาดก็คือ การกระตุ้นให้สมองทำงาน โดยธรรมดาที่สุด ก็คือ ลงมือทำกิจวัตรต่างๆ เพราะเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว ก็แปลว่าสมองกำลังทำงาน และการทำงานของร่างกายก็ย้อนกลับขึ้นไปพัฒนาสมองอีกทีหนึ่ง

หลักการสำคัญที่จะทำให้สมองฉลาดขึ้น คือ...

๑.สมองของเราฉลาดขึ้นโดยการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับโลก

เซลสมองจะมีเดนไดรท์ (แขนของเซล) งอก แตกแขนง เมื่อผ่านเหตุการณ์แปลกใหม่ และเมื่อฝึกฝนซ้ำๆ เป็นสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ยังยืนยันว่า ยิ่งเราสร้างวงจรในสมองมากเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันถ้าสมองไม่เข้าไปมีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั่งเคยมีแต่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อมา กลุ่มเซลที่เคยทำงานแน่นแฟ้นก็จะคลายลง จนกระทั่งสลายตัวไป ความรู้นั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่ในสมองของเราอีก

๒.สมองจะฉลาดขึ้น ถ้าได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับอายุและช่วงวัย

หลักการสำคัญ คือ
- เด็กทารกและเด็กเล็ก : เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างวงจรควบคุมการรับรู้สัมผัสและการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ สมองเด็กจะมีความ "ไว" เป็นพิเศษในการตอบรับต่อการพัฒนาอายตนะทั้งหมด
- เด็กวัยประถมปลายเป็นต้นไป : สมองส่วนสัมผัสและเคลื่อนไหว "พร้อม" ระดับหนึ่ง หลังจากนี้จะได้ทำการพัฒนาจินตนาการและความคิดต่างๆ โดยอาศัยการสัมผัส จับต้อง มองเห็น จากของจริงที่เป็นรูปธรรม และใช้ศักยภาพในการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ ทำการสำรวจ เก็บสะสม รวบรวมข้อมูล และประสบการณ์รอบตัวต่างๆ
- เด็กวัยรุ่น : เป็นช่วงที่สมองมีความพร้อมมาก แต่ยังไม่มากเท่าผู้ใหญ่ ช่วงวัยรุ่นนี้เด็กต้องการใช้ สมอง และร่างกายทดลองปฏิบัติการ ทำการเรียนรู้อย่างจริงจัง ก่อรูปความคิดนามธรรมต่างๆ สร้างวิธีคิดหรือทฤษฎีที่ตนเองจะอธิบายโลกได้ เข้าใจโลกได้ บางครั้งความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากจนอาจถึงระดับ "เสี่ยง" เด็กวัยนี้ยังต้องการใช้ร่างกายเข้าร่วมในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ครูผู้สอนจะเน้นเฉพาะการบรรยายอย่างเดียวไม่ได้

พรพิไล เลิศวิชา : ครูเก่งเด็กฉลาด,สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.2552
See More

๒.
สมองจำเป็นต้องใช้พลังงาน : สมองมีขนาดเล็กกว่าร่างกายมาก แต่สมองต้องการพลังงาน ถึง20 % ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน

พลังงานสำคัญที่สมองได้รับนั้น มีที่มาสำคัญคือ มาจากเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง เลือดจะนำกลูโคส โปรตีน และสารอื่นๆ รวมทั้งออกซิเจนขึ้นไปเลี้ยงสมอง
- สมองต้องการอาหารและน้ำ : เช่นเดียวกับร่างกาย วันหนึ่งสมองต้องการน้ำประมาณ 8-12 แก้ว หากขาดน้ำสมองจะเหนื่อยล้า...
- สมองต้องการออกซิเจน : สมองใช้ออกซิเจน 20% ของปริมาณออกซิเจนทั้งหมดที่ร่างกายรับเข้าไป ถ้าสมองขาดออกซิเจน สมองจะไม่ทำงาน ร่างกายจะเป็นอัมพาต และถึงแก่ชีวิต
- สมองต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่างๆ : อาหารที่ถือว่าบำรุงสมอง คือ กรดอะมิโน จำพวกไทโรซีน (tyrosine) และเฟนนิลอะลานีน (phenylalanine) ซึ่งมาจากอาหารโปรตีนสูง ได้แก่ เป็ด ไก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และอาหารทะเล ซึ่งมีไอโอดีน ที่ร่างกายใช้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ หากฮอร์โมนไทรอยด์ไม่พอ สมองจะทำงานช้าและเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง
- สมองต้องการเสียง (sound) : เป็นที่มาของพลังงานที่สำคัญของสมองเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เสียงเพลง ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานกล (ที่หูส่วนกลาง) แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าป้อนเข้าสู่สมอง ดังนั้น เด็กๆ ควรจะได้ฟังเพลงเป็นอาหารสมองด้วยอีกทาง ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เปิดดนตรีเบาๆ เวลาเด็กอนุบาลนอน หรือในบางชั่วโมงขณะเรียนหนังสือ

ที่มา : พรพิไล เลิศวิชา. ครูเก่งเด็กฉลาด,สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.2552


๓. อารมณ์สำคัญต่อสมองหรือไม่
: สมองจะเก็บเฉพาะข้อมูลและที่ดึงดูดความสนใจ มีความหมาย มีความสำคัญ ดังนั้นอารมณ์จึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เราจำหรือลืมไป
ข้อมูลที่ดึงดูดอารมณ์ หรือความสนใจของสมองจนทำให้สมองสามารถบันทึกข้อมูลนั้นไว้ได้ดี มีลักษณะที่สำคัญ คือ
๑.ข้อมูลนั้นมีความแปลกใหม่
๒.ข้อมูลนั้นมีความเข้มข้นจัดจ้าน
๓.ข้อมูลนั้นมีการเคลื่อนไห
๔.ข้อมูลนั้นมีความหมาย...
๕.ข้อมูลนั้นกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก

ดังนั้นในการออกแบบแผนการสอน สื่อการสอน เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจเรียนรู้ และสมองจำข้อมูลได้ดี คุณครูจึงควรคำนึงถึงหลักการทั้ง ๕ ข้อข้างต้นเป็นสำคัญ

๔. อ่านให้หนูฟังหน่อย :
ถ้าจะให้สมองของเด็กอนุบาลพัฒนา ต้องพัฒนาสมองส่วนควบคุมภาษาพัฒนาให้ดีเสียก่อน โดยการอ่านหนังสือให้เด็กฟังและพูดคุยกับเด็ก


๕. EQดี มาจากสมองแบบไหน : การพัฒนาศักยภาพทางอารมณ์เป็นการพัฒนาทางภาพรวม สิ่งสำคัญคือให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหวและใช้ประสาทสัมผัส ซื่งเป็นการพัฒนาการสำคัญของสมองเด็กปฐมวัย
ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเด็ก มีดังต่อไปนี้

1. เด็กได้เล่นมากแค่ไหน?
2. เด็กได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ ในการฟัง พูด อ่าน เขียน มากแค่ไหน และเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร
3. เด็กมีของเล่นมากพอหรือเปล่...
4. มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวหรือเปล่า
5. เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนหรือเปล่า
6. เด็กได้รับความรัก ความเอ็นดู ความชื่นชมบ้างหรือเปล่า
7. ในบ้านมีการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติหรือเปล่า
8. มีกิจกรรมอะไรที่เป็นการลับสมอง เช่น เล่นทายปริศนา หรือเกมต่างๆ บ้างหรือไม่ ได้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันที่บ้าน ในชุมชน และในโรงเรียนหรือเปล่า
9. ในชีวิตของเด็ก เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์หรือ เปล่า ว่าทุกอย่างมีข้อจำกัด ต้องมีการควบคุม และต้องมีวินัย (ทั้งการตามใจจนเกินไป และเข้มงวดจนเกินไป ก็ล้วนแต่มีผลเสียต่อความมั่นคงทางอารมณ์และบุคลิกภาพ)

สิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกระตุ้น และเปลี่ยนแปลงเด็กอยู่ทุกวัน ปัจจัยทั้ง 9 ประการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีผลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็กในแต่ละวันที่ผ่านไป


๖. ขณะที่เล่นสิ่งที่สมองทำคือ

-ก่อรูปท่วงท่าหรืออิริยาบทถัดไป ของปฎิบัติการที่จะทำไว้ในสมอง
-ก่อรูปหรือคาดการณ์ผลที่จะเกิดจากปฎิบัติการนั้นไว้ในสมอง
-เมื่อลงมือทำตามที่คาดคิดไว้แล้ว ก็รอรับรู้ว่าผลที่จะเกิดขึ้นของการปฎิบัติการว่าเป็นไปตามที่สมองคิดไว้หรือไม่
-รับรู้ผลที่เกิดขึ้น แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผลที่คาดการณ์ไว้
-สมองจัดการปรับแต่งปฎิบัติการให้ตรงกับความเป็นจริงยิ่งขึ้นต่อไป
ดังนั้น การเล่นจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้นั่นเอง

๗.บุคคลิกภาพและนิสัยใจคอต้องฝึกตั้งแต่เด็ก อย่าคิดว่า รอให้โตเสียก่อน
การปลูกฝังไม่ใช่เพียงการสอนด้วยคำพูดและการให้เหตุผล ที่สำคัญต้องให้เด็กได้ประสบการณ์จริงจากชีวิตจริง รู้จักร้อนเป็น หนาวเป็น เหนื่อยเป็น หิวเป็น ไม่ใช่รู้จักแต่ความสุข แต่ต้องรู้จักความทุกข์ของตัวเองและคนอื่น ไม่ควรประคับประคองหรือทำแทนเด็กหมดทุกอย่าง สมองจะเรียนรู้สิ่งใดได้ดี ต้องรู้จักเอาร่างกายลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง

๘. ควรยกระดับวิธีคิด วิธีพูดวิธีใช้เหตุผลของเด็กให้โตขึ้นและก้าวหน้าขึ้นตามวัย
วิธีที่หนึ่งคือ สนทนา(dialogue)กับเด็กจริง อย่าคุยพอผ่านๆไปควรใช้ตรรกะของความเป็นจริงและชีวิตมาพูดคุยกับเด็กโดยสมำ ่เสมอ แสดงให้เห็นโลกหลายด้าน ภาษาที่ใช้เป็นสิ่งหนึ่งทีจะช่วยยกระดับความคิด หรือวิธีคิดของเด็ก ควรเลือกใช้คำพูด คำศัพท์ คำอุปมาอุปมัย ยกอุทาหรณ์สุภาษิต เพื่อยกระดับ ความสามารถในการคิดของด็ก เช่น อย่าเขียนเสือให้วัวกลัว คนล้มอย่าข้าม วัวหายล้อมคอก เสียน้อยเสียมาก เสียมากเสียง่าย เหล่านี้ควรพูดเป็นประจำเพื่อปลูกฝังวิธีคิดของเด็กตั้งแต่ยังเล็ก

๙. ภาพยนต์เป็นสี่อที่เป็นแรงจูงใจ และสร้างวิธีคิดให้เด็กซึมซับได้ดีวิธีหนึ่ง
ควรหาภาพยนต์ดีๆทั้งของไทยและสากล ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรนั่งดูอยู่ด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นครอบครัว ทั้งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รู้จักความคิดของคนในครอบครัวซึ่งกันและกัน โดยผ่านตัวละครและช่วยกระตุ้นพัฒนาการความคิด นอกจากภาพยนต์ชีวิตแล้ว ควรดูสารคดี ตั้งแต่ยังเด็ก อย่าสอนให้เด็กดูแต่ละครเจ้าชายเจ้าหญิง หรือภาพยนต์เบาสมอง ควรมีภาพยนต์ดีๆอยู่ในมือ ไม่ใช่จัดหาไปตามกระแสโฆษณา

๑๐.อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นประจำ เราควรจะอ่านหนังสืออะไรให้เด็กฟังบ้าง? ควรเริ่มจากหนังสือภาพที่มีตัวอักษรน้อยๆ จนถึงไม่มีภาพ กระจายประเภคของหนังสือที่อ่านให้กว้างขวาง เช่นหนังสือประเภควรรณกรรมเด็ก สารคดีที่สอดคล้องกับวัยของเด็ก แม้นมีศัพย์ยากปนบ้างก็ไม่เป็นไรอย่ากังวล ถ้าหนังสือน่าสนใจ เด็กจะอยากฟังและจะสนใจเรียนรู้คำศัพท์ยากโดยวิธีลัดคือเทียบเคียงถอดความ เข้าใจ จากกระบวนความตามเรื่องที่ได้ฟัง ยิ่งอ่านมากเด็กยิ่งมีคลังคำศัพท์( word bank) อยู่ในสมองและพัฒนาการด้านการคิดจะดีขึ้น การอ่านให้ฟังควรทำไปจนถึงชั้นประถมปลาย เพียงแต่ลดความถี่ลง หนังสือบางเล่มอ่านให้ฟังเพียงบทเดียว เด็กสนใจก็จะตามอ่านต่อเอง
หวัง ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับทุกๆท่านน่ะค่ะ  เด็กจะเติบโตแบบมีคุณภาพ เป็นคนดีมีความสามารถ ก็ขึ้นกับผู้ใหญ่รอบตัวเด็กช่วยกันพัฒนาเด็กๆเหล่านี้น่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก  Brain based learning  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น