วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?


Baby girl in the blue suitcase on white background. Ready to travel ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
สถิติกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 8 แสนคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 30 มีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้าไม่สมวัย ร้อยละ 10 พบว่าอยู่ในภาวะเป็นโรค อีกร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่สามารถกระตุ้นให้กลับมามีพัฒนาการที่สมวัยได้ แต่หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องอาจส่งผลถึงพัฒนาการของเด็กในวัยเรียนได้
IMG 1616 224x300 ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
ผศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์
ผ.ศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอธิบายว่า พัฒนาการเด็กเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา โดยจะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ จากเซลล์จึงพัฒนาเป็นตัวอ่อน มีโครงสร้าง มีการเคลื่อนไหว โดยเราสามารถแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ด้าน คือ พัฒนาการทางด้านการเคลื่อนไหว พัฒนาการทางด้านการปรับตัว พัฒนาการทางด้านภาษา และพัฒนาการทางด้านสังคม
อาจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่าในกรณีที่เด็กคลอดออกมาแล้วเราจะดูว่าเด็ก สามารถทำอะไรได้ตามพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละวัย แต่ถ้าเด็กไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามวัย เช่น อายุ 2-3 เดือนแล้วคอยังไม่แข็ง ก็อาจจะเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าเด็กอาจจะมีข้อบกพร่องด้านพัฒนาการการเคลื่อนไหว หรือเด็กอายุ 4-5 เดือนยังไม่สามารถพลิกคว่ำได้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้โครงสร้างของเด็กจะเติบโตควบคู่กับพัฒนาการเสมอ ถ้าเราไม่ฝึกพัฒนาการของเด็กให้ตรงกับวัยก็จะมีปัญหาต่อโครงสร้างของเด็ก เช่น ในกรณีเด็กนอนหงายอย่างเดียวและมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เราเรียกว่า ภาวะปวกเปียก เด็กจะมีลักษณะของขาที่แบะออก ส่งผลกับโครงสร้างของข้อสะโพก ตัวกระดูกที่เป็นเบ้ากระดูกที่มีส่วนหัวกระดูก อาจทำให้มีการเคลื่อนของข้อกระดูกตรงนั้นได้ นอกจากนั้นกล้ามเนื้อจะหดตัวได้ต้องอาศัยอะไรหลาย ๆ อย่างรวมทั้งแรงกระตุ้นจากภายนอกเพื่อให้เด็กเคลื่อนไหว ถ้าเด็กมีพัฒนาช้าก็จะไม่สามารถทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยได้ เช่น ถ้าเด็กไม่สามารถยืนได้ ก็จะไม่สามารถเอื้อมไปหยิบของหรือหนังสือมาเพื่อเสริมพัฒนาการอย่างอื่นหรือ เรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ จะเห็นได้ว่าพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กพัฒนาไป สู่พัฒนาการทางด้านอื่น สำหรับเด็กที่มีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่นก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่เขามี โอกาสที่จะเรียนรู้โลกภายนอกได้มากกว่า
อาจารย์ฝากไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้พื้นฐานเรื่องพัฒนาการในแต่ละ วัยโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกตั้งแต่หลังคลอด สำหรับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดควรสังเกตพัฒนาการของลูกในแต่ละเดือนเป็นพิเศษ หากพัฒนาการของลูกช้าไม่ตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ ควรเก็บข้อสงสัยและพามาพบผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับคำแนะนำ เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาด้านอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกมาตรวจพัฒนาการหรือกระตุ้นพัฒนาการได้ที่ ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 218 1100

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

7 วิธี “เรียนรู้” ของเด็ก

เด็ก ๆ มีวิธีการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งรอบตัวที่แตกต่างกัน บางคนฟังครั้งเดียวรู้เรื่อง แต่กลับไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ บางคนชอบอ่านชอบมอง ชอบสังเกตแต่ไม่ชอบฟัง พ่อแม่ต้องหาวิธีการเรียนรู้ที่เข้ากับลูกให้ได้นะคะ แล้วคุณจะรู้ว่าควรสอนลูกอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด
"เรียนรู้" ด้วยการมอง 

ผู้เรียนรู้ทางสายตาชอบเรียนรู้ผ่านการมองเห็น ผู้เรียนกลุ่มนี้จะทำความเข้าใจได้ดีจากรูปภาพ ภาพถ่าย แผนผัง และอื่น ๆ ที่ใช้ในการแสดง และอธิบายกรอบความคิด คุณสามารถใช้วีดีโอ และแผ่นป้ายสื่อการสอน ตกแต่งห้องด้วยแผ่นป้าย หรือภาพพิมพ์การศึกษาต่าง ๆ เช่นระบบสุริยะ หรือเรื่องทั่ว ๆ ไปเช่น อาหารของเรามาจากไหน สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้ทางสายตาเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนรู้ทางสายตาจะซึมซับ และเรียนรู้ได้ดีจากการทัศนศึกษานอกสถานที่ไปสวนสัตว์ โรงละคร และจากรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาต่าง ๆ เช่น Discovery Channel, Animal Planet, และ History Channel

"เรียนรู้" ด้วยการฟัง 

ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทคือผู้ที่ฟังได้ดีที่สุด วิธีการทำให้ผู้เรียนกลุ่มนี้เรียนได้ดียิ่งขึ้นคือ การให้อ่านออกเสียง การใช้ดนตรี หนังสือเสียง และสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ คุณสามารถส่งเสริมทักษะทางการอ่าน ดนตรี และภาษาได้ง่าย ๆ ผ่านสื่อเหล่านี้ แต่ว่าสำหรับทักษะด้านคณิตศาสตร์นั้นคุณต้องใช้วีดีโอคณิตศาสตร์เข้าช่วย ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทจะเรียนรู้ได้ดีกับบริบทการเรียนแบบฟังการบรรยาย แต่ว่าครูผู้สอนที่เน้นการปฏิบัติจริง หรือคาดหวังให้นักเรียนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองเป็นส่วนมากจะทำให้ลำบากสักหน่อยกับการเรียนการสอนในบริบทนี้ ผู้เรียนจึงต้องอาศัยการเสริมด้วยการฟังด้วยตนเองที่บ้าน

 "เรียนรู้" ทางถ้อยคำภาษา

ผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาเป็นเด็กที่มีความยืดหยุ่น และสามารถรอบด้านมากที่สุด ความรักในถ้อยคำ และเสียงทำให้การเรียนรู้สนุก และน่าสนใจสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้ไม่ว่าเด็กจะเรียนรู้ด้วยวิธีไหนก็ตาม เด็กที่สนุกกับถ้อยคำมักจะชื่นชอบการฟัง และการอ่านไปด้วย อาจจะชอบวิธีใดวิธีหนึ่งมากกว่าอีกวิธี แต่จะชอบทั้งสองตัวเลือกอยู่ดี วิธีการเพิ่มพูนทักษะของผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาที่ดี คือคุณควรใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูก หรืออ่านให้ลูกฟังให้มากที่สุด ให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับหัวข้อ และรูปแบบของสิ่งที่อ่านที่หลากหลาย ทั้งตำราทำอาหารที่จะช่วยเพิ่มพูนทักษะทางคณิตศาสตร์ หนังสือภาพหาของที่ซ่อนอยู่ เกมปริศนาหาคำ อักษรไขว้ และหนังสือภาพต่าง ๆ นอกจากนี้เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานไปกับการเล่นเกมกระดานที่ต้องอ่านคำสั่ง ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน

 "เรียนรู้" ทางร่างกาย

ผู้เรียนรู้ทางร่างกายเป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้ผ่านทางการสัมผัส และความเคลื่อนไหว ทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือกิจกรรมเน้นการปฏิบัติจริง ต่าง ๆ เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะทำได้ดีในชั้นเรียนที่มีโครงงานที่ต้องให้ทำ อะไรสักอย่าง ทั้งการสร้าง การเต้น การเคลื่อนไหว การแสดง คุณคงจะเข้าใจแล้วล่ะ วิชาที่เด็กกลุ่มนี้ชื่นชอบมักจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ พละ และการแสดง พวกแกจะทำได้ดีเลิศในวิชาอื่น ๆ ถ้ามีบรรยากาศที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างบรรยากาศเหล่านี้ที่บ้านเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ได้ เช่น ให้ชุดอุปกรณ์ศิลปะ ทำอาหาร ทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กระทั่งงานบ้าน เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะสนุกสนานกับการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่เป็น มิตรกับเด็ก ๆ และมีสื่อผสมเชิงโต้ตอบมากมาย มากมาย นอกจากนี้พวกแกจะสนุกไปกับงานไม้ งานปั้น และการทำงานร่วมกับสัตว์อีกด้วย

 

 "เรียนรู้" ทางตรรกะ

ผู้เรียนรู้ทางตรรกะคือเด็กที่คิดอย่างรอบคอบ อาจดูเหมือนจะทำอะไรช้า แต่อย่าเพิ่งตัดสินจากลักษณะภายนอกเช่นนั้น เพราะเด็กแค่คิดคำนวนถึงผลลัพธ์ก่อนที่จะพูด หรือทำเท่านั้นเอง ผู้เรียนรู้ทางตรรกะมักจะเป็นผู้เรียนรู้ทางสายตาด้วย เด็กกลุ่มนี้จะชอบเห็นตรรกะในความคิดตัวเองออกมาเป็นผล คุณจะไม่ประหลาดใจเลยที่เหล่าผู้เรียนรู้ทางตรรกะจะเป็นเลิศในวิชา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เหตุผลน่ะหรือ? เพราะพวกเขาสามารถเห็นผลลัพธ์ของความคิด ทุกอย่างที่ทำต้องสามารถเข้าใจได้ และต้องเป็นวิธีการแก้ปัญหา วิธีช่วยให้ผู้เรียนทางตรรกะสามารถตักตวงได้มากที่สุดจากการประสบการณ์การ เรียนรู้คือการพูดคุยกับเด็กในทุก ๆ เรื่อง ฟังและร่วมแบ่งปันความคิดเห็น และถามว่าจะแก้ไขปัญหาบางเรื่องอย่างไร นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เด็กฝึกแก้ปัญหาในรูปแบบของปริศนา เกม หนังสือเรื่องลี้ลับ และตรรกะ รวมถึงชุดอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานกับการนั่งชมวีดีโอ และภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหา และทางแก้ไข แต่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบเรื่องราวเพ้อฝัน และเทพนิยาย

บุคลิกภาพก็สำคัญ

 นอกเหนือจากรูปแบบการ "เรียนรู้" (หรือการผสมผสานรูปแบบการเรียน) ของลูกคุณ แล้ว คุณจะต้องพิจารณาบุคลิกภาพของลูกคุณด้วยว่าเขาเป็นคนรักสังคม หรือรักสันโดษ พูดอีกอย่างก็คือ ลูกชอบทำงานเป็นกลุ่ม รวมทั้งชอบเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากกว่าอยู่คนเดียวรึเปล่า? ลูกเป็นเด็กที่จะถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่าย ๆ จากงานที่กำลังทำอยู่ถ้ามีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ รึเปล่า?

เมื่อคุณรู้แล้ว คุณจะสามารถเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้กับลูกของคุณที่จะทำให้การ เรียนรู้สนุกสนานได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น ลองคิดถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดู

ผู้เรียนที่รักสังคมจะ... มีความสุขที่สุดเมื่ออยู่กับเพื่อน สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน หรือได้ยิน และร่วมในการสนทนาสองวง หรือสองสถานการณ์ได้ในเวลาเดียวกัน สนุกสนาน หรือกระทั่งชื่นชอบกีฬาประเภททีมอย่างมาก ไม่รู้สึกกลัว หรือถูกคุกคามเมื่อถูกเรียกในชั้นเรียน เพลินเพลินไปกับโครงงานต่าง ๆ ในชั้นเรียน แสดงออกถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแม้จะยังอายุน้อย เชื่อมโยงเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยความสนใจอย่างจริงใจ

 สำหรับผู้ที่รักสันโดษ....

มักจะชอบอยู่บ้านมากกว่าที่จะออกไปไหนต่อไหน ไม่ชอบเล่นกีฬาเป็นทีม แต่จะเลือกว่ายน้ำ ขี่ม้า หรือกิจกรรมที่เล่นเดี่ยว ๆ ได้มากกว่ากีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม ไม่ชอบเสียงดัง ๆ และรู้สึกว่าเสียงดัง ๆ น่ารำคาญ ชอบที่จะทำงานคนเดียวมากกว่า ไม่เคยมีความคิดริเริ่มที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม มักจะไม่ค่อยยอมอ่านออกเสียง หรือพูดในชั้น มักจะมีเพื่อนสนิทแค่คนสองคนมากกว่าหลาย ๆ คน

การช่วยเสริมสร้างการ "เรียนรู้" ของลูกคุณนั้น คุณต้องรู้นิสัยลูกของคุณให้ดี และรู้ว่าอะไรเหมาะกับเขา และนั่นจะช่วยให้คุณทำให้ชีวิตของลูกคุณเครียดน้อยลง และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น นั่นเป็นการมอบเครื่องมือให้กับลูกของคุณ และช่วยให้ลูกสามารถสนุกสนาน และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นที่โรงเรียนอีกด้วย

 

 

เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน


 เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน
– สิ่งแรกที่เด็กไทยร้อยละ 51.1 ทำอย่างแรกหลังจากตื่นนอนคือการเช็คโทรศัพท์มือถือ
– สิ่งสุดท้ายที่เด็กไทยร้อยละ  35 ทำก่อนนอนคือการเล่น Facebook และ LINE
– เด็กไทยมีตัวเลขการใช้โทรศัพท์มือถือสูงขึ้น 2-3 เท่าในหนึ่งปี
– เด็กไทยร้อยละ 75.7 เล่น Social Network บ่อยจนไปถึงประจำ
– เด็กนักเรียนหญิงเล่น Social Network มากกว่านักเรียนชาย
– เด็กไทยร้อยละ 20.3 มีการใช้มือถือระหว่างคาบเรียนบ่อยถึงประจำ
– เด็กไทยร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีโทรศัพท์
– เด็กไทยร้อยละ 28.7 ระบุว่าถูกคุกคามทางเพศจากเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันบน Social Media
นอกจากนี้ผลวิจัยจากบริษัทมือถือแห่งหนึ่งยังชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีมือถือและใช้มือถืออันดับหนึ่งของเอเชีย ทั้งทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่ง แถมวัยรุ่นไทยมีเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่ง สถิติการมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเด็กไทยยังสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย ร้อยละ 23 ของวัยรุ่นไทยบอกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมือถือ =_=!
สถิตินี้กำลังบอกอะไรกับเราอยู่? กำลังบอกว่าลูกหลานของเรามีเพื่อนเป็น “โทรศัพท์มือถือ” กันอยู่ใช่หรือไม่? หรือกำลังบอกไปถึงสาเหตุของอะไรบางอย่างที่เรากำลังค้นหาเหตุผล เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กไทย ที่ส่งผลให้ปัจจุบันนักบำบัดและจิตแพทย์เด็กต้องมาทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาให้กับเด็กที่เกิดมามี “ภาวะปกติ” มากกว่าเด็กที่มีภาวะพิเศษแบบต่าง ๆ กันอยู่ค่ะ
เปลี่ยนผู้ร้าย IT ให้เป็นพระเอกตัวจริง
กล้ามเนื้อมือ เป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ในการพัฒนาสมองของลูกค่ะ เพราะนิ้วมือแต่ละนิ้วของลูกมีความสัมพันธ์กับสมองในแต่ละส่วนและการพัฒนาด้านต่าง
– นิ้วโป้ง สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหน้าซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านจิตใจ
– นิ้วชี้ สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหลังซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านความคิด
– นิ้วกลาง สัมพันธ์กับสมองกลีบข้างขม่อมซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย
– นิ้วนาง สัมพันธ์กับสมองกลีบขมับซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการฟัง
– นิ้วก้อย สัมพันธ์กับสมองกลีบท้ายทอยซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการมอง
loving mother son homework เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กควรได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมาก ๆ
นักการศึกษาหลายท่านจึงมุ่งเน้นการพัฒนาเด็ก ๆ ด้วยการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำให้มากที่สุดเพราะนอกจากจะได้ ฝึกกำลังของกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญานไปพัฒนาสมองส่วนต่าง ๆ ของเด็กได้อีกด้วย ความลับของสมองอีกข้อหนึ่ง คือการปฏิวัติตนเองแบบอัตโนมัติทุก ๆ 7 ปี ไปสู่การพัฒนาในขั้นที่สูงขึ้น เด็กหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใดใดมาก็อาจจะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ไม่ได้ไปถึงขั้นสูงสุดของศักยภาพสมอง เพราะในช่วงสำคัญ 0-7 ปี มีโอกาสในการได้ใช้นิ้วมือทั้ง 5 เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส อาทิ ทราย แป้งปั้น น้ำ ฯลฯ น้อยกว่าเด็กคนอื่น ๆ เมื่อกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสนี้มีข้อมูลที่น้อย การนำความจำเดิมที่เป็นประโยชน์ตอนที่สมองปฏิวัติตนเองก็เลยไปไม่ถึงจุดสูง สุด เมื่อเด็กโตขึ้นจนเลยวัยสำคัญ ปัญหาของการใช้ “นิ้วมือ” ที่น้อยก็จะไปส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กไทย ดังที่เห็นในงานวิจัยค่ะ
แล้วเกี่ยวอย่างไรกับการเขียน? ปัญหาเรื่องลายมือ ปัญหาเรื่องการเขียนกลับด้าน ปัญหาเรื่องการมีความพยายามต่ำ ฯลฯ เป็นปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวิถีชีวิตในปัจจุบันทั้งสิ้นค่ะ การออกแบบเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราซึ่งเป็นแม่บ้านในยุคใหม่ สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างสะดวกสบายขึ้น กลายมาเป็นตัวขวางการพัฒนาการของข้อมือของเด็กในช่วงที่ถึงวัยต้องจับปากกา ดินสอ ก็เพราะว่า “ที่พยุงเด็กฝึกเดิน” ไปทำให้โอกาสในการคลานของเด็ก ๆ “ลดลง” แบบที่เราก็ไม่เคยคาดคิดค่ะ เมื่อข้อต่อบริเวณข้อมือไม่ได้ฝึกรับน้ำหนักมาตั้งแต่วัยหัดคลาน พอถึงวัยหัดเขียนคุณพ่อคุณแม่หรือแม่กระทั่งคุณครู ต้องมาเห็นบรรยากาศการวาดรูปด้วยน้ำตาของลูกแทนที่จะเป็นการปลดปล่อย จินตนาการ นักบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทในการฝึกคลาน หรือฝึกทำท่าไถนา (ให้เด็กใช้มือตั้งศอกตรงวางลงบนพื้นและผู้ฝึกยกขาให้เด็กเดินไปข้างหน้า เหมือนไถนา) นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำหน้าที่จนทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาลูก แบบที่หลายครอบครัวคงคิดไม่ถึงนะคะ
ทำให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
ทั้งนี้เมื่อรวมเข้ากับวิธีการใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ Generation Y อย่างพวกเราแล้วละก็ ยังมีอีกหลายข้อ ที่ความสะดวกรวดเร็วกำลังกลับมาเป็นปัญหาที่ต้องมาแก้เมื่อลูกถึงวัยที่ควร จะพัฒนาได้ค่ะ จากปัญหาการไม่อยากขีด ๆ เขียน ๆ มาประกอบกับการแทนที่ของเครื่องมือลาก ๆ จิ้ม ๆ ที่ง่ายสำหรับการใช้งาน เเถมยังสนุกเพราะเป็นการกระตุ้นสมองด้านเดียวคือ ด้านความคิด (ส่วนใหญ่ใช้นิ้วชี้) เด็ก ๆ จึงสนุกคิด แต่ไม่สนุกทำ ความสามารถในการคิดฝันจิตนาการ project ต่าง ๆ สูงลิ่ว แต่ความสามารถในการลงมือทำต่ำแบบสวนทางกันค่ะ จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยประถมศึกษา จะเป็นวัยที่พบว่าเด็กมีปัญหาในการเรียนสูงมากขึ้น ๆ เมื่อถึงวัยมัธยมก็ได้กลายไปเป็นเด็กหลังห้องให้คุณครูและผู้ปกครองตามแก้ กันอย่างน่าปวดหัวค่ะ
การเขียนของเด็กในวันนี้สะท้อนภาพอะไรที่มากมาย เราลองกลับมาให้เครื่องมือง่าย ๆ เช่น กะบะทราย ดินสอ สี กระดาษ ใบไม้ใบหญ้า หรือดินเหนียวกับลูก ๆ ให้ลูกได้เรียนรู้จากสัมผัสที่มากพอเพื่อเป็นประสบการณ์ของสมองที่สมดุลย์ ก่อนที่จะต้องกลับมาซ่อมแซมและสร้างสมดุลย์ที่เสียไปกันดีไหมค่ะทุกท่าน ^_^
โดย ครูป๋วย

ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?

girl lay sick ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
อันดับแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจนิดนึงค่ะว่าการที่ลูกไปโรงเรียน ซึ่งมีเด็กหลาย ๆ คนมาอยู่รวมกันในบริเวณที่จำกัดย่อมมีโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคและสามารถ ติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่ายดายอยู่แล้วค่ะ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงนี้ลงได้นะคะ จากหลักการว่าการที่เด็ก ๆ จะเจ็บป่วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 2 อย่าง คือ ภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค และ สิ่งแวดล้อมรวมถึงการเลี้ยงดูค่ะ
วิธีการควบคุมปัจจัยด้านภูมิคุ้มกันของร่างกายก็คือการ ทำให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงซึ่งเริ่มจากอาหารนั่นเองค่ะ ตั้งแต่แรกเกิดเด็ก ๆ ควรได้ทานนมแม่ซึ่งมีภูมิคุ้มกันจากคุณแม่ผ่านมาทางน้ำนมอย่างมากมายชนิดที่ นมผงยี่ห้อใดก็สู้ไม่ได้ จนถึงอายุ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย หรือถ้าคุณแม่สามารถให้นมได้นานกว่านี้ก็จะยิ่งดีมาก ๆ ค่ะ หลังจากอายุ 6 เดือนขึ้นไปก็ควรจะได้ทานอาหารเสริมที่เหมาะสม ครบ 5 หมู่ ตามจำนวนมื้อที่ควรได้รับในแต่ละวัย นอกจากนี้การออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมทั้งการได้รับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนตามวัย และพิจารณาการได้รับวัคซีนเสริมต่างๆ ก็จะช่วยให้ลูกมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคค่ะ
white kindergarten students ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
ส่วนการควบคุมปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถก็สามารถทำได้โดยสอนให้ลูกรู้จักวิธีป้องกันการติด เชื้ออย่างง่าย ๆ เช่น การล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังสัมผัสสิ่งสกปรก ทานแต่อาหารที่ปรุงสุกใหม่ รู้จักการใช้ช้อนกลางเวลาทานอาหารร่วมกับเพื่อน ๆ ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวเช่น แก้วน้ำ หรือ แปรงสีฟันร่วมกับเพื่อน ไม่เข้าไปคลุกคลีกับเพื่อนที่ป่วย เป็นต้น โดยสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้การสอนได้ผลคือ คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ดูเป็นแบบอย่าง อย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจลองสอบถามคุณครูว่าที่โรงเรียนมีระบบการคัดกรองแยก เด็กที่ป่วยและการดำเนินการในกรณีมีโรคติดเชื้อระบาดในโรงเรียนอย่างไรบ้าง รวมทั้งถ้าลูกป่วยก็ไม่ควรจะไปโรงเรียนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เพื่อน ๆ เช่นกันค่ะ
จากที่หมอเล่ามาทั้งหมดก็คงจะสรุปได้ง่าย ๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถลดโอกาสในการเจ็บป่วยของลูกในวัยเรียนได้โดยการส่ง เสริมให้เค้ามีสุขภาพที่แข็งแรงและเรียนรู้วิธีการป้องกันการติดเชื้อ นั่นเองค่ะ

ลูกน้อยวัยทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด

ลูกน้อยวัยทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด
คุณอาจจะคิดว่าลูกของคุณน่ารักน่าฟัดหรืออะไร ก็แล้วแต่ แต่ความฉลาดก็เป็นเรื่องที่คุณไม่ควรมองข้ามแม้ว่าเด็กยังอยู่ในวัยแบเบาะ มีงานวิจัยเมื่อไม่นานนี้บ่งชี้ว่าเด็กทารกอาจฉลาดกว่าที่คุณคิด แม้ว่าเด็กจะยังพูดหรือเดินไม่ได้ แต่ก็มีความฉลาดชนิดที่คุณเองก็อาจจะคาดไม่ถึง ลองอ่านเกี่ยวกับความสามารถของทารกทั้ง 8 อย่างต่อไปนี้:
1. รู้จักให้มากกว่ารับ
โดยธรรมชาติเด็กมักจะพยายามคว้าทุกสิ่งอย่างที่คุณยื่นให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของแวววาวหรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวได้ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงอาจคิดว่าเด็กมักมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่เด็กทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด เพราะเมื่อเขาได้ของที่เขาต้องการแล้ว เขามักจะพยายามแบ่งปันให้คุณหรือเพื่อนเล่นด้วย แม้จะยังแบเบาะ แต่เด็กก็รู้ว่าการเป็นผู้ให้นั้นดีกว่าการเป็นผู้รับ และความสุขนั้นเกิดขึ้นจากการแบ่งปัน
2. เลียนแบบ
ทารกเป็นนักเลียนแบบตัวยง พวกเขามักพยายามสังเกตท่าทางของคุณและเลียนแบบ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทารกยังมีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด เมื่อทารกถูกรายล้อมไปด้วยเด็กคนอื่น ๆ ที่กำลังกระจองอแง เขาก็จะรู้ว่าเขาสามารถส่งเสียงโวยวายหรือทำตัวดื้อตามเด็กคนอื่น ๆ ได้เต็มที่โดยที่จะไม่ถูกดุ เช่นเดียวกัน หากทารกอยู่ในกลุ่มเด็กที่นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เด็กก็จะปฏิบัติตัวดีตามสภาพแวดล้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนดุ
3. ดนตรีหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะเมื่อเด็กได้คลุกคีกับดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก การฟังดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารของเด็ก และทำให้เด็กสามารถพูดได้เร็วขึ้น
4. ทารกคือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา
เด็กทารกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโดยธรรมชาติ พวกเขาจะสามารถเข้าใจภาษาต่าง ๆ ที่ได้ยินบ่อย ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ? แต่พวกเขาฉลาดกว่าที่คุณคิดจริง ๆ
5. ผูกพันทางอารมณ์
เด็กทารกสามารถรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของคน (และสัตว์เลี้ยง) ที่อยู่รอบข้างได้เป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเยียวยาสถานการณ์เสมอ ถ้าคุณรู้สึกเศร้า ลูกน้อยของคุณจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณยิ้ม
6. ความหมายของคำ
เด็กทารกยังสามารถเข้าใจความหมายของคำต่าง ๆ ที่คุณสอนได้ตั้งแต่แบเบาะโดยเชื่อมโยงคำที่พวกเขาได้ยินบ่อย ๆ เข้ากับรูปภาพหรือวัตถุ
7. รักความยุติธรรม
คุณควรให้ลูกได้ของเล่นหรือทารอาหารในปริมาณที่เท่า ๆ กันกับเพื่อนหรือพี่น้อง ถ้าคุณไม่อยากเห็นเขาร้องไห้ เด็กรู้จักหลักการของความยุติธรรมเป็นอย่างดี โดยทารกที่มีนิสัยรักความยุติธรรมมักเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเห็น แก่ประโยชน์ของผู้อื่น
8. รางวัลและการลงโทษ
เด็กทารกเรียนรู้หลักของความเท่าเทียมกันตั้งแต่ยังเล็ก พวกเขาสามารถเข้าใจหลักการของการได้รับรางวัล (เมื่อประพฤติตัวดี) และการลงโทษ (เมื่อประพฤติตัวไม่ดี) ได้เองตามธรรมชาติ

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ­ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ­ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วง ขวบวัยนี้

วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ:
–          โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
–          ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
–          นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของ เด็ก
–          เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
–          ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
–          จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
–          เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
–          ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
–          บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
–          การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
อย่าลืมว่าแม้คุณอาจไม่สามารถซื้อของเล่นแพง ๆ ให้ลูก สิ่งสำคัญคือคุณควรใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยที่สำคัญที่สุด
กระตุ้นสมองลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
สมองของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการดูแลครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพ เช่นการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมีอันตราย หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้เป็นอย่างดี

ผลการศึกษาระบุว่าอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้:
  • กรดไขมันโอเมก3พบ มากในปลา น้ำมันตับปลา เมล็ดป่าน หรือน้ำมันเมล็ดป่าน และไข่บางชนิด (ลองมองหาฉลากโอเมก้า 3) โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นสมองชั้นเลิศ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทารกจะได้คะแนนในการทดสอบสมองสูงกว่าหากคุณแม่ได้กิน โอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์
  • โปรตีน: ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะทำงานหนักเพื่อที่จะพยายามสร้างสมองของทารก ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้โปรตีนสูง คุณสามารถกินอาหาร เช่น ขนมปังทาเนยถั่ว หรือ สมูทตี้โยเกิร์ต (น้ำตาลต่ำ) เพื่อช่วยเสริมโปรตีนได้
  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่สำคัญที่จะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของทารกในครรภ์ คุณจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่น ผักโขม เนื้อไก่ไม่ติดมัน และพืชจำพวกถั่ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณกินธาตุเหล็กเสริมควบคู่ไปด้วย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในอาหารเช่น บลูเบอร์รี่ มะละกอ ผักโขม อาร์ติโชค มะเขือเทศ ถั่วแดงจะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองของทารก
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่จะช่วยเสริมสร้างสมองของลูกน้อย คุณสามารถลองขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การสอนภาษาตามแนวธรรมชาติ (The Natural Approach (NA))


การสอนภาษาตามแนวธรรมชาติ (The Natural Approach (NA))



แนวคิดพื้นฐาน

            การสอนภาษาตามแนวทางแบบธรรมชาติ(The Natural Approach (NA))เป็นผลผลิตจากการค้นคว้าของ สตีเฟน คราเชน (Stephen Krashen) นักภาษาศาสตร์ประยุกต์แห่งมหาวิทยาลัย Southern California และ เทรซี่ เทเรล อาจารย์สอนภาษาสเปนในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยทั้งสองได้พัฒนาแนวคิดวิธีการสอนแบบธรรมชาตินี้จากการศึกษาเรื่องการ เรียนรู้ภาษาที่สองของคราเชน และประสบการณ์การสอนภาษาสเปนให้ชาวต่างชาติของเทเรลเอง   แนวคิดที่เป็นความเชื่อของทฤษฎีนี้คือ ผู้เรียนภาษาที่พ้นวัยเด็กมาแล้วยังคงมีความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษาที่สอง ได้เช่นเดียวกับการเรียนรู้ทักษะภาษาแม่ในวัยเด็ก ถึงแม้ผู้เรียนวัยผู้ใหญ่มีความแตกต่างจากผู้เรียนที่เป็นเด็กในแง่ของการ เรียนรู้ หรือเข้าใจรูปแบบภาษาที่เป็นนามธรรมตลอดจนกฎทางไวยากรณ์ของภาษาเป้า หมายอย่างรู้ตัว (conscious learning) ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่กล้าแสดงออกเท่าเด็กก็ตาม คราเชน และเทเรล (Krashen and Terrell 1983) กล่าวว่า การสื่อสารเป็นเป้าหมายหลักในการทำหน้าที่ของภาษา” ดัง นั้นแกนหลักของการสอนแบบธรรมชาติอยู่ที่การสอนทักษะการสื่อสารนั้นเอง โดยภาพรวมหลักของการสอนภาษาและการเรียนรู้ภาษาของผู้เรียนจะถูกเน้นไปที่ ความหมาย” เป็น หลัก ซึ่งทั้งคราเชนและเทเรลได้เน้นในเรื่องของความหมายไว้ที่การเรียนคำศัพท์ และการนำภาษาที่เรียนไปใช้เพื่อการสื่อสาร และจากมุมมองของคราเชน การได้มาซึ่งภาษาคือ การหลอมรวมกฎของภาษาโดยผ่านการสื่อสาร กล่าวคือความสามารถทางภาษาของผู้เรียนจะถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้จากการที่ ใส่ข้อมูลที่มีความหมาย (Comprehensive Input) ภาย ใต้โครงสร้างทางไวยากรณ์ทางภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน เหมาะสม ให้กับระดับความสามารถของผู้เรียนที่มีอยู่ และใส่เนื้อหาทางภาษาใหม่เพิ่มเติมเข้าไป
นอกจากนี้แล้วแนวคิดการเรียนภาษาแบบธรรมชาติยังได้เน้นถึงเรื่องสมมุติฐานเกี่ยวกับการตรวจสอบความถูกต้องของตัวผู้เรียนเอง (The Monitor Hypothesis) และสมมุติฐานในเรื่องตัวกรองอารมณ์ ( The Affective Filter Hypothesis) โดยที่ตลอดในช่วงระยะเวลาที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาษาโดยรู้สึกตัว (Consciously) นี้เมื่อความสามารถทางภาษาได้รับการพัฒนาขึ้น ผู้เรียนจะรู้สึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้สื่อสารออกไปว่า ถูก” หรือ ผิด” และ จะทำการแก้ไขเมื่อมีเวลาพอเพียง เช่น การใช้ภาษาในเวลาที่มีการทดสอบทางภาษา เป็นต้น ซึ่งการตรวจสอบนี้ เมื่อทำซ้ำนานเข้าก็จะทำให้ผู้เรียนมีความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาตามมาในที่ สุด และในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ การรับข้อมูลและการเรียนรู้ภาษาของผู้เรียนจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อ สภาวะทางอารมณ์และความวิตกกังวลของผู้เรียนได้รับการควบคุมโดยการเสริมแรงใน เรื่องบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง (Richards and Rodgers,2001 ,p181,183 )

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต,

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
ของอรสุดา เจริญรัถ*

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน
แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์,
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

คณะกรรมการควบคุม รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์
ผศ.ดร.สุรุวุฒิ ปัดไธสง
ผศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

ความสำคัญของปัญหา
ในอดีตพบว่าสังคมชนบทไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย เศรษฐกิจพื้นฐานเป็นการผลิตเพื่อยังชีพสำหรับบริโภคใช้สอยในครัวเรือนและใน ชุมชน มิใช่เพื่อการแลกเปลี่ยน การดำรงชีพเป็นลักษณะการพึ่งพิงธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ทำให้ชาวชนบทมีความใกล้ชิดผูกพันและตระหนักในสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงออกในรูปของความเชื่อ และพิธีกรรมที่เอื้อต่อการรักษาความสมดุลของทรัพยากร
ธรรมชาติความสัมพันธ์หลักในชุมชนเป็นความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและความสัมพันธ์ทางสายเลือด
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2537)
การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชนบทไทยเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เข้าสู่กระบวนการ พัฒนาที่มุ่งเน้นความทันสมัยตามแบบตะวันตก นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดเป็นต้น นักวิเคราะห์วาทกรรมพยายามสะท้อนและเชื่อมโยงให้เห็นว่า เริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อประเทศตะวันตกได้ใช้อำนาจในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ การให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการเงินกู้ หรือคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดวาทกรรมเพื่อสร้างความหมายต่อสิ่งใหม่
ที่เป็นคู่ตรงข้ามคือ “การพัฒนา” และ “ความด้อยพัฒนา” ให้เกิดขึ้น (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. 2540. หน้า 87)
การใช้อำนาจของประเทศตะวันตกกำหนดวาทกรรมการพัฒนาในลักษณะดังกล่าวนี้ นับว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้หลุดพ้น
จากสภาพความด้อยพัฒนาไปสู่การพัฒนา วาทกรรมดังกล่าวจึงได้สร้างกฎเกณฑ์อีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้ความหมายแก่ “สังคมที่พัฒนา” ว่า คือสังคมที่มีความทันสมัยตามแบบสังคมตะวันตกซึ่งจะไปถึงได้
ด้วยวิธีการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ดังนั้นทุกสังคมจะสามารถหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนาไปสู่ความเจริญได้ด้วยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้เป็นแบบตะวันตก (Black. 1960. pp. 1-7) ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิต โลกทัศน์ ระบบความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนในชนบทผันแปรไปจากเดิม
แนวทางการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่า ถูกต้องและเหมาะสมว่าแท้จริงแล้ว แนวทางการพัฒนาเช่นนี้ยังคงถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยต่อไปอีก หรือไม่ (เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. 2542. หน้า 2) แม้ในแวดวงการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการและปัญญาชน ก็พบว่า เกิดกลุ่มแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ “ต่อต้านทฤษฎีการทำให้ทันสมัย” ซึ่งแท้จริงแล้วชุมชนชนบทไทยสามารถปรับตัวโดยสร้างระบบการบริหารจัดการภาย ใต้บริบทที่มีความขัดแย้งและกดดันเพื่อหาทางเลือก
ที่ดีที่สุดให้แก่ สมาชิกชุมชน ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขพึ่งพาตนเอง และรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ประเด็นที่ผู้วิจัยเห็นว่า มีความสำคัญมากที่สุด คือ ชุมชนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างเต็มที่เพื่อรักษา “อำนาจและสิทธิ” ของตนในการตัดสินใจกำหนดทางเลือกการพัฒนา
รวมทั้งรักษา ความสามารถในการควบคุม และการจัดการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของความพอเพียงในชุมชน บทพิสูจน์เหล่านี้มีผลทำให้ฐานคิดในการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยทำให้เกิดความตระหนักว่า ชุมชนมิได้มีแต่ความว่างเปล่าและมีแต่ด้านที่เป็นปัญหา แต่ชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคล้วนมีภูมิปัญญา มีศักยภาพ มีพลังสร้างสรรค์ และมีทางเลือกของตนเองอย่างอิสระที่จะแก้ปัญหาของชุมชน การพัฒนาไม่ว่าจะเป็นใน
แง่เป้าหมายหรือกระบวนการจึงควรเป็นการกำหนด ตัดสินใจและดำเนินการจากชุมชนซึ่งเป็นผู้รับผลจากการพัฒนา โดยกำหนดให้ชุมชนเป็นตัวตั้งรวมทั้งมีความหลากหลายและครอบคลุมในหลายมิติ (เสรี พงศ์พิศ. 2531. ; กาญจนา แก้วเทพ. 2538)
คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ การช่วงชิงอำนาจหรือการคืนสถานภาพความเป็นตัวของตัวเองให้แก่สังคมไทยในการ สร้างวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการของสังคมไทยเองนั้นจะเกิดขึ้นได้ อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์วาทกรรม เช่น ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2540. หน้า 128) แสดงความเห็นว่าคงมิใช่ด้วยวิธีการประณามวาทกรรมการพัฒนาที่เป็นอยู่คือ ความทันสมัยว่าเป็นระบบครอบงำที่ชั่วร้ายและต้องทำลายล้างลงด้วยวิธีการ ปฏิวัติที่รุนแรงหรือด้วยวิธีการแย่งชิงอำนาจรัฐอย่างในวิธีคิดแบบเก่า แต่สิ่งสำคัญก็คือจะต้องต่อสู้ และปะทะด้วยการสร้างวาทกรรมชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมเอกลักษณ์หรือตัวตน และความหมายชนิดใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบของการการพัฒนาแบบเดิมอีกต่อ ไปขึ้นมาทดแทน
อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากเท่าที่สังคมยังคงมีความสัมพันธ์ในลักษณะของการพึ่ง พิงของชนบทที่มีต่อภาคเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแนวโน้มว่า
วาทกรรม แห่งความพอเพียงทางเศรษฐกิจนี้จะพยายามช่วงชิงการยำ (Hegemony) การให้ความหมายและกำหนดกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมหลักแห่งความทันสมัยเพื่อ ช่วงชิงอำนาจการกำหนดกระบวนทัศน์รวมทั้งการกำหนดแนวทางการพัฒนาให้กลับสู่ สังคมไทย แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันกลับ พบว่ายังคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนต่างๆ ของปรากฎการณ์ รวมทั้งเป็นฐานอำนาจในการสร้างและสนับสนุนวาทกรรมใหม่ได้อย่างเพียงพอที่จะ สามารถปะทะกับวาทกรรมเดิมอันจะทำให้เกิดการให้ความหมายและทางเลือกใหม่ต่อ การพัฒนาซึ่งจะเป็นการคืนอำนาจให้แก่สังคมไทยและสังคมชนบทอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า มีความจำเป็นมากที่จะต้องศึกษาวิจัยเพื่อสร้างความรู้อย่างเร่งด่วน
เพื่อ รองรับและสนับสนุนการเกิดขึ้นของวาทกรรมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบันซึ่งสังคมไทยต้องประสบกับปัญหาการพัฒนาหลาย ด้าน ซึ่งมีผลทำให้เกิดคำถาม เกิดความสงสัยและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายต่อวาทกรรมการพัฒนาเดิมที่มุ่งเน้นการไปสู่ความทันสมัยแต่เพียงอย่าง เดียว
การเกิดขึ้นของวาทกรรมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงนั้น แม้จะดูเหมือนว่าสังคมไทยได้เข้าใกล้
จุด เปลี่ยนผ่านของวาทกรรมการพัฒนาซึ่งจะมีผลสืบเนื่องเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยน แปลงกระบวนทัศน์และแนวทางการพัฒนาทั้งหมด อันจะเป็นความหวังใหม่ในการคืนอำนาจให้แก่สังคมและชนบทไทยก็ตาม
แต่เมื่อพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า หากการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของวาทกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด
มีขั้นตอนและความสลับซับซ้อนของบรรดาเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นำไปสู่การก่อตัว การเกิดของวาทกรรม
และ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม รวมถึงผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำจากภาคปฏิบัติการจริงของวาท กรรมการพัฒนาชุดนั้นด้วยแล้ว องค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรากฎอยู่
ในสังคมไทยขณะนี้จึงยังมีอยู่น้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะรองรับและสนับสนุนการต่อสู้ช่วงชิงการนำใน
การสร้างความหมาย และกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมเดิมที่มุ่งไปสู่ความทันสมัย ซึ่งมีความได้
เปรียบในแง่ของการพัฒนาองค์ความรู้อย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้การสร้างความรู้
ที่ จะนำไปสู่การอธิบายและการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นในฐานะที่เป็นการสร้างความรู้สำหรับอธิบาย ทำความเข้าใจและให้ความหมายรวมทั้งนำไปสู่การสร้างทางเลือกสำหรับการพัฒนา ของสังคมไทยต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะเป็นปรากฎการณ์ทาง สังคมอย่างหนึ่งว่า มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และปรับตัวไปอย่างท่ามกลางความเป็นพลวัตของบริบททางสังคม ที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมประเพณีเข้าสู่สังคมทันสมัย

ปัญหาการวิจัย
1. การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทสังคมแบบประเพณี (Traditional Society) ก่อนยุคเศรษฐกิจทุนนิยมการค้ามีเงื่อนไข ปัจจัยอย่างไร
2. เศรษฐกิจพอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างสังคมแบบประเพณี ไปสู่สังคมทันสมัย (Modern Society) อย่างไร

ขอบเขตการศึกษา
เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ ต้องการศึกษาถึงปรากฎการณ์การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททาง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมประเพณี มาเป็นสังคมทันสมัย โดยกำหนดนิยามความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการจัดสรรผลผลิต โดยมุ่งศึกษาและทำความเข้าใจว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงไปของสังคมซึ่งเป็น บริบทที่แวดล้อมอยู่นั้น ประชาชนในชนบทมีทัศนะและให้ความหมายกับการเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัว ของกิจกรรมหลัก 4 ประการดังกล่าวนี้อย่างไร และด้วยเหตุที่การอธิบายและให้ความหมายดังกล่าวเป็นทัศนะที่เกิดขึ้นจากมุม มองของราษฎรในชนบทเอง ดังนั้นการวิจัยนี้จึงใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพในการสร้างองค์ความรู้ที่มา จากทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นการศึกษาปรากฎการณ์สังคมจากมุมมองและการให้ความหมายของ คนที่อยู่ในปรากฎการณ์ ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาสร้างมโนทัศน์ และหาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ต่าง ๆ ให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีสำหรับการอธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้น

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงกระบวนการในการสร้างเอกลักษณ์ การให้ความหมาย
การสร้างชุดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวาทกรรมการพัฒนาที่นำไปสู่คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น
2. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงการเกิด การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบ ความสัมพันธ์ทางสังคมของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททางสังคมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ผลของการวิจัยทำให้เกิดความรู้ที่จะสนับสนุนและอธิบายวาทกรรมใหม่ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

วิธีการดำเนินการวิจัย
เนื่อง จากการศึกษาวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์นั้น ต้องการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์สังคมที่มีความซับซ้อน หลากหลายและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจถึงวิธีการที่บุคคลให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเชื่อมโยงไปถึงคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีคิดและการกระทำของบุคคล ย่อมทำให้สามารถเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้งและสมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามผู้วิจัยพบว่าความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น การใช้วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีจากฐานราก (Grounded Theory) จึงเป็นสิ่งจำเป็นของการศึกษาวิธีวิทยาแบบนี้มีความเชื่อพื้นฐานว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ จะต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลให้ความหมาย (Meaning) ต่อสิ่งนั้นเสียก่อน ทั้งนี้เพราะความเข้าใจต่อการให้ความหมายของคนจะทำให้สามารถอธิบายถึงความ คิดและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้ (นภาภรณ์ หะวานนท์. 2539. หน้า 102)

สนาม
ก่อนการตัดสินใจเลือกสนามผู้วิจัยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับนักวิชาการอื่น ๆ และเดินทางไปดูพื้นที่จริงในจังหวัดต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าพื้นที่ใดมีความสอดคล้อง และเหมาะสมที่จะเลือกเป็นสนามในการศึกษามากที่สุด ในที่สุดผู้วิจัยเจาะจงเลือกพื้นที่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสนามในการศึกษา เนื่องจากพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับคุณลักษณะ ของเศรษฐกิจพอเพียงตามคำนิยามและขอบเขตที่กำหนดไว้มากที่สุด

การเข้าสู่สนาม
หลังจากเลือกพื้นที่แล้ว ผู้วิจัยได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ก่อนเข้าสู่สนามจริง โดยได้มีการทดลองสัมภาษณ์ตามแนวคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบ สำหรับการสร้างแนวคำถามการสัมภาณ์นั้น ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และปัญหา เป็นแนวคำถามปลายเปิด เพื่อให้การเข้าสู่สนามมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้วิจัยได้วางแผนและเตรียมการ โดยทำการศึกษาข้อมูลทางกายภาพและประวัติชุมชน ร่วมทั้งสภาพบริบทต่างๆ ก่อน และได้นำคณะผู้เก็บข้อมูลอันประกอบด้วยนักวิชาการที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ การศึกษาวิจัยชุมชน จำนวน 2 คน และผู้ช่วยนักวิจัย จำนวน 3 คน ซึ่งทุกคนได้ทำการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นการวิจัย กรอบความคิดในการศึกษารวมทั้งแนวคำถามล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้วเข้าไปสำรวจ พื้นที่ก่อน โดยภายหลังเมื่อกลับออกมาก็ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการ สัมภาษณ์ การแบ่งหน้าที่รวมทั้งการประสานงานในการเก็บข้อมูลก่อนเข้าสู่สนามจริง ซึ่งมีระยะเวลาห่างจากการเข้าไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์

การเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลัก
ในการศึกษานี้ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักโดยใช้วิธีการเลือกเชิงทฤษฎี ซึ่งจะกำหนดลักษณะ
ของผู้ให้สัมภาษณ์ไว้กว้าง ๆ ตามกรอบแนวคิดที่สร้างขึ้น เช่น ผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรชุมชน
ผู้นำทางด้านศาสนาและพิธีกรรม ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนกลุ่มสตรีและแม่บ้าน เจ้าหน้าที่
ของ รัฐ ผู้อาวุโส เด็กและเยาวชน โดยคำนึงถึงความหลากหลายของการให้ความหมายตามลักษณะที่แตกต่างกันของกลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักเหล่านี้ โดยไม่เจาะจงว่าจะเก็บข้อมูลจากใคร ลักษณะใดหรือต้องการข้อมูลจำนวนมากเท่าใด ความไวต่อทฤษฎีและมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักรายแรกจะเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็น ถึงผู้ให้สัมภาษณ์รายอื่น ๆ

การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสมบูรณ์ของมโนทัศน์และทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลเป็นเงื่อนไขที่ สำคัญมาก ดังนั้นในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นการสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) ด้วยวิธีการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับทฤษฎีในลักษณะที่นำข้อมูลที่ มีอยู่เป็นจำนวนมากน้มาแยกส่วน หรือจัดหมวดหมู่ตามคุณสมบัติ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการตีความ (Interpretation) เพื่อสร้างมโนทัศน์ขึ้นมาจากข้อมูลแล้วดำเนินการเชื่อมโยงมโนทัศน์ในรูปความ สัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ โดยคำนึงถึงเงื่อนไข และบริบทที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา ทั้งนี้ทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจะสามารถสะท้อนความจริงและมีลักษณะเป็นนามธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างอำนาจในการอธิบายปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ ด้วยเหตุนี้กระบวนการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงต้องดำเนินไปควบคู่กับ การเก็บข้อมูลพร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น (Triangulation) ด้วย

ผลการศึกษา
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้โครงสร้างสังคมแบบประเพณี
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพบว่า หมู่บ้านพอเพียง (ชื่อสมมุติ) ในยุคก่อนปี 2518 เมื่อยังไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้านจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่จากอิทธิพลภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามานั้น กล่าวได้ว่าโครงสร้างสังคมของหมู่บ้านนี้มีลักษณะแบบสังคมประเพณีอย่างเต็ม ที่ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของวิถีการผลิต พบว่าเป็นไปเพื่อการยังชีพด้วยการอาศัยการเกษตรกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการปัจจัย 4 ให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขพอสมควรตามอัตภาพ อีกทั้งหมู่บ้านนี้มีโครงสร้างสังคมที่มีความซับซ้อนน้อย หน่วยสังคมต่าง ๆ ทำหลายหน้าที่ ทำให้มีความสามารถในการบูรณาการสูง และการมีระบบคุณค่าและความเชื่อต่าง ๆ ในสิ่งเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่พบในสังคมประเพณีทั้งสิ้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้สังคมประเพณีของหมู่บ้านนี้มีเงื่อนไขหลัก 2 ประการ คือ
1. การมีวิถีการผลิตแบบยังชีพของหมู่บ้านซึ่งการผลิตเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคของตนเองเป็นหลัก
2. ศักยภาพของหมู่บ้านที่ยังคงสามารถดำรง รักษา “อำนาจ” ในการดูแลจัดการทรัพยากรต่าง ๆและกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของตนเองไว้
นอก จากนั้นยังพบว่ามีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนให้หมู่บ้านเกิดเศรษฐกิจพอเพียงและดำรงอยู่ได้ในโครงสร้างสังคม ประเพณีของหมู่บ้าน ดังนี้
1. การปลอดจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอกและระบบการค้าแบบเงินตรา
2. สภาพของป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ
3. เทคโนโลยีที่มีขนาดเหมาะสมและไม่ซับซ้อนจนเกินไป
4. จำนวนประชากรที่เหมาะสม

มโนทัศน์ ต่าง ๆ ทั้งหมดจากการวิเคราะห์ข้อมูล เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงใน โครงสร้างสังคมแบบประเพณีก็คือ การที่ชุมชนมีอำนาจในการควบคุมและดูแลทรัพยากรของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังพบว่า การมีจำนวนประชากรที่เหมาะสม การมีสภาพป่า
ที่อุดม สมบูรณ์ การผูกพันกันในลักษณะเครือญาติ รวมทั้งการมีวิถีการผลิตที่เป็นไปเพื่อการยังชีพและการบริโภคในครอบครัวโดย ปราศจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอก ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนที่สำคัญเช่นกัน
การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงบริบทจากสังคมประเพณีมาสู่สังคมทันสมัย
การศึกษานี้พบว่า เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากสังคมประเพณีมาสู่สังคม ทันสมัย ก็คือ การมีอิทธิพลภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นการมีถนน สัมปทานป่า การค้าขายแบบทุนนิยม และการศึกษาสมัยใหม่ ไฟฟ้ารวมทั้งสื่อต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้การจัดระเบียบทางสังคมตั้งแต่โลกทัศน์ ระบบคุณค่าและบรรทัดฐานของชุมชนที่ปรากฎอยู่ในรูปจารีตประเพณี ความเชื่อต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิม
ในด้านการผลิต พบว่า การจัดการปัจจัยการผลิตและการจัดการในการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยบรรทัดฐานของชุมชนที่เคยควบคุมให้สมาชิกจัดการปัจจัยการผลิตบนพื้นฐานของ ความสมดุลกับธรรมชาติและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในชุมชนต้องเปลี่ยนเป็น บรรทัดฐานของเงินตราและปัจเจกชนเข้ามาแทนที่
ในด้านการบริโภค พบว่า อิทธิพลจากภายนอกที่เข้ามา ทำให้ทัศนคติและพฤติกรรมในการบริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะการเลียนแบบ และการพึ่งพาผลผลิตต่าง ๆ จากภายนอกมากขึ้น มีผลทำให้การบริโภคและการผลิตไม่ได้ดำรงอยู่ในอำนาจและการควบคุมของครอบครัว และชุมชนอีกต่อไป แต่ต้องไปสัมพันธ์กับตลาดภายนอกที่ตนเสียเปรียบเนื่องจากมีอำนาจต่อรองที่ ด้อยกว่า จึงทำให้เกิดความไม่เพียงพอในการบริโภคขึ้น
การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคเกิดขึ้น ซึ่งชุมชนมีความจำเป็นต้องมีการปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป มโนทัศน์ที่ได้จากการศึกษาพบว่า กระบวนการปรับตัวของชุมชนดังกล่าวตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ประการ คือการปรับตัวโดยพยายามรักษาความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภค และการปรับตัวด้วยการพยายามสร้างกระบวนการต่อรองและการจัดการรูปแบบต่าง ๆ
กระบวนการปรับตัวด้านการผลิต ที่ปรับตัวเข้าสู่การมีสองวิถีการผลิตร่วมกัน ทั้งวิถีการผลิตแบบยังชีพ และการค้าซึ่งทำให้บรรทัดฐานเดิมที่เคยควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยว ข้องกับการผลิตเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ เช่น มีการรวมกลุ่มกันทำการเพาะปลูกในลักาณะเกษตรเชิงอนุรักษ์ การตั้งกลุ่มทอผ้า กลุ่มออมทรัพย์และธนาคารข้าว เพื่อธำรงรักษาการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความ สมดุลกับธรรมชาติและพึ่งพาอาศัยแบ่งปันกันในชุมชนไว้ภายใต้รูปแบบการรวม กลุ่มทำกิจกรรมการเพาะปลูกเชิงอนุรักษ์แทน
กระบวนการปรับตัวด้านการบริโภค ที่พยายามดรงวิถีการผลิตเพื่อการบริโภคและการยึดมั่นในจารีตประเพณีเดิมที่ เกี่ยวกับการบริโภค ในขณะเดียวกันก็สร้างระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น การวิสาสะกันในกลุ่มสมาชิก บทบาทการเข้ามาควบคุมสื่อของครอบครัว ต่างก็เป็นกระบวนการปรับตัวที่
เข้ามาควบคุมให้การบริโภคเป็นไปอย่างเหมาะสมภายใต้เงื่อนไขของความสมดุลกับการผลิตทั้งสิ้น
การปรับตัวด้านการแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลผลิต ที่พยายามสร้างอำนาจต่อรองและความสัมพันธ์
ที่เท่าเทียมกันผ่านการรวมตัวกันเป็นกลุ่มต่าง ๆ แสดงถึงการพยายามปรับตัวเข้าสู่ความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคไว้

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

การเกิด การดำรง และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
ของอรสุดา เจริญรัถ*

อรสุดา เจริญรัถ. (2543). การเกิดขึ้น การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยน
แปลงของสังคมไทย. ดุษฎีนิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต, สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์,
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

คณะกรรมการควบคุม รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์
ผศ.ดร.สุรุวุฒิ ปัดไธสง
ผศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

ความสำคัญของปัญหา
ในอดีตพบว่าสังคมชนบทไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย เศรษฐกิจพื้นฐานเป็นการผลิตเพื่อยังชีพสำหรับบริโภคใช้สอยในครัวเรือนและใน ชุมชน มิใช่เพื่อการแลกเปลี่ยน การดำรงชีพเป็นลักษณะการพึ่งพิงธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ทำให้ชาวชนบทมีความใกล้ชิดผูกพันและตระหนักในสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงออกในรูปของความเชื่อ และพิธีกรรมที่เอื้อต่อการรักษาความสมดุลของทรัพยากร
ธรรมชาติความสัมพันธ์หลักในชุมชนเป็นความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและความสัมพันธ์ทางสายเลือด
(ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2537)
การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชนบทไทยเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เข้าสู่กระบวนการ พัฒนาที่มุ่งเน้นความทันสมัยตามแบบตะวันตก นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดเป็นต้น นักวิเคราะห์วาทกรรมพยายามสะท้อนและเชื่อมโยงให้เห็นว่า เริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อประเทศตะวันตกได้ใช้อำนาจในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ การให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการเงินกู้ หรือคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดวาทกรรมเพื่อสร้างความหมายต่อสิ่งใหม่
ที่เป็นคู่ตรงข้ามคือ “การพัฒนา” และ “ความด้อยพัฒนา” ให้เกิดขึ้น (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. 2540. หน้า 87)
การใช้อำนาจของประเทศตะวันตกกำหนดวาทกรรมการพัฒนาในลักษณะดังกล่าวนี้ นับว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้หลุดพ้น
จากสภาพความด้อยพัฒนาไปสู่การพัฒนา วาทกรรมดังกล่าวจึงได้สร้างกฎเกณฑ์อีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้ความหมายแก่ “สังคมที่พัฒนา” ว่า คือสังคมที่มีความทันสมัยตามแบบสังคมตะวันตกซึ่งจะไปถึงได้
ด้วยวิธีการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ดังนั้นทุกสังคมจะสามารถหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนาไปสู่ความเจริญได้ด้วยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้เป็นแบบตะวันตก (Black. 1960. pp. 1-7) ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิต โลกทัศน์ ระบบความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนในชนบทผันแปรไปจากเดิม
แนวทางการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่า ถูกต้องและเหมาะสมว่าแท้จริงแล้ว แนวทางการพัฒนาเช่นนี้ยังคงถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยต่อไปอีก หรือไม่ (เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. 2542. หน้า 2) แม้ในแวดวงการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการและปัญญาชน ก็พบว่า เกิดกลุ่มแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ “ต่อต้านทฤษฎีการทำให้ทันสมัย” ซึ่งแท้จริงแล้วชุมชนชนบทไทยสามารถปรับตัวโดยสร้างระบบการบริหารจัดการภาย ใต้บริบทที่มีความขัดแย้งและกดดันเพื่อหาทางเลือก
ที่ดีที่สุดให้แก่ สมาชิกชุมชน ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขพึ่งพาตนเอง และรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมไว้ได้ ประเด็นที่ผู้วิจัยเห็นว่า มีความสำคัญมากที่สุด คือ ชุมชนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างเต็มที่เพื่อรักษา “อำนาจและสิทธิ” ของตนในการตัดสินใจกำหนดทางเลือกการพัฒนา
รวมทั้งรักษา ความสามารถในการควบคุม และการจัดการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของความพอเพียงในชุมชน บทพิสูจน์เหล่านี้มีผลทำให้ฐานคิดในการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยทำให้เกิดความตระหนักว่า ชุมชนมิได้มีแต่ความว่างเปล่าและมีแต่ด้านที่เป็นปัญหา แต่ชุมชนท้องถิ่นในทุกภูมิภาคล้วนมีภูมิปัญญา มีศักยภาพ มีพลังสร้างสรรค์ และมีทางเลือกของตนเองอย่างอิสระที่จะแก้ปัญหาของชุมชน การพัฒนาไม่ว่าจะเป็นใน
แง่เป้าหมายหรือกระบวนการจึงควรเป็นการกำหนด ตัดสินใจและดำเนินการจากชุมชนซึ่งเป็นผู้รับผลจากการพัฒนา โดยกำหนดให้ชุมชนเป็นตัวตั้งรวมทั้งมีความหลากหลายและครอบคลุมในหลายมิติ (เสรี พงศ์พิศ. 2531. ; กาญจนา แก้วเทพ. 2538)
คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ การช่วงชิงอำนาจหรือการคืนสถานภาพความเป็นตัวของตัวเองให้แก่สังคมไทยในการ สร้างวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการของสังคมไทยเองนั้นจะเกิดขึ้นได้ อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์วาทกรรม เช่น ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2540. หน้า 128) แสดงความเห็นว่าคงมิใช่ด้วยวิธีการประณามวาทกรรมการพัฒนาที่เป็นอยู่คือ ความทันสมัยว่าเป็นระบบครอบงำที่ชั่วร้ายและต้องทำลายล้างลงด้วยวิธีการ ปฏิวัติที่รุนแรงหรือด้วยวิธีการแย่งชิงอำนาจรัฐอย่างในวิธีคิดแบบเก่า แต่สิ่งสำคัญก็คือจะต้องต่อสู้ และปะทะด้วยการสร้างวาทกรรมชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมเอกลักษณ์หรือตัวตน และความหมายชนิดใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบของการการพัฒนาแบบเดิมอีกต่อ ไปขึ้นมาทดแทน
อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากเท่าที่สังคมยังคงมีความสัมพันธ์ในลักษณะของการพึ่ง พิงของชนบทที่มีต่อภาคเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแนวโน้มว่า
วาทกรรม แห่งความพอเพียงทางเศรษฐกิจนี้จะพยายามช่วงชิงการยำ (Hegemony) การให้ความหมายและกำหนดกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมหลักแห่งความทันสมัยเพื่อ ช่วงชิงอำนาจการกำหนดกระบวนทัศน์รวมทั้งการกำหนดแนวทางการพัฒนาให้กลับสู่ สังคมไทย แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันกลับ พบว่ายังคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนต่างๆ ของปรากฎการณ์ รวมทั้งเป็นฐานอำนาจในการสร้างและสนับสนุนวาทกรรมใหม่ได้อย่างเพียงพอที่จะ สามารถปะทะกับวาทกรรมเดิมอันจะทำให้เกิดการให้ความหมายและทางเลือกใหม่ต่อ การพัฒนาซึ่งจะเป็นการคืนอำนาจให้แก่สังคมไทยและสังคมชนบทอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า มีความจำเป็นมากที่จะต้องศึกษาวิจัยเพื่อสร้างความรู้อย่างเร่งด่วน
เพื่อ รองรับและสนับสนุนการเกิดขึ้นของวาทกรรมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบันซึ่งสังคมไทยต้องประสบกับปัญหาการพัฒนาหลาย ด้าน ซึ่งมีผลทำให้เกิดคำถาม เกิดความสงสัยและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายต่อวาทกรรมการพัฒนาเดิมที่มุ่งเน้นการไปสู่ความทันสมัยแต่เพียงอย่าง เดียว
การเกิดขึ้นของวาทกรรมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงนั้น แม้จะดูเหมือนว่าสังคมไทยได้เข้าใกล้
จุด เปลี่ยนผ่านของวาทกรรมการพัฒนาซึ่งจะมีผลสืบเนื่องเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยน แปลงกระบวนทัศน์และแนวทางการพัฒนาทั้งหมด อันจะเป็นความหวังใหม่ในการคืนอำนาจให้แก่สังคมและชนบทไทยก็ตาม
แต่เมื่อพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า หากการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของวาทกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด
มีขั้นตอนและความสลับซับซ้อนของบรรดาเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นำไปสู่การก่อตัว การเกิดของวาทกรรม
และ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม รวมถึงผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำจากภาคปฏิบัติการจริงของวาท กรรมการพัฒนาชุดนั้นด้วยแล้ว องค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรากฎอยู่
ในสังคมไทยขณะนี้จึงยังมีอยู่น้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะรองรับและสนับสนุนการต่อสู้ช่วงชิงการนำใน
การสร้างความหมาย และกฎเกณฑ์การพัฒนาจากวาทกรรมเดิมที่มุ่งไปสู่ความทันสมัย ซึ่งมีความได้
เปรียบในแง่ของการพัฒนาองค์ความรู้อย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้การสร้างความรู้
ที่ จะนำไปสู่การอธิบายและการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นในฐานะที่เป็นการสร้างความรู้สำหรับอธิบาย ทำความเข้าใจและให้ความหมายรวมทั้งนำไปสู่การสร้างทางเลือกสำหรับการพัฒนา ของสังคมไทยต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะเป็นปรากฎการณ์ทาง สังคมอย่างหนึ่งว่า มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และปรับตัวไปอย่างท่ามกลางความเป็นพลวัตของบริบททางสังคม ที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมประเพณีเข้าสู่สังคมทันสมัย

ปัญหาการวิจัย
1. การเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทสังคมแบบประเพณี (Traditional Society) ก่อนยุคเศรษฐกิจทุนนิยมการค้ามีเงื่อนไข ปัจจัยอย่างไร
2. เศรษฐกิจพอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างสังคมแบบประเพณี ไปสู่สังคมทันสมัย (Modern Society) อย่างไร

ขอบเขตการศึกษา
เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ ต้องการศึกษาถึงปรากฎการณ์การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททาง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมประเพณี มาเป็นสังคมทันสมัย โดยกำหนดนิยามความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการจัดสรรผลผลิต โดยมุ่งศึกษาและทำความเข้าใจว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงไปของสังคมซึ่งเป็น บริบทที่แวดล้อมอยู่นั้น ประชาชนในชนบทมีทัศนะและให้ความหมายกับการเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการปรับตัว ของกิจกรรมหลัก 4 ประการดังกล่าวนี้อย่างไร และด้วยเหตุที่การอธิบายและให้ความหมายดังกล่าวเป็นทัศนะที่เกิดขึ้นจากมุม มองของราษฎรในชนบทเอง ดังนั้นการวิจัยนี้จึงใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพในการสร้างองค์ความรู้ที่มา จากทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นการศึกษาปรากฎการณ์สังคมจากมุมมองและการให้ความหมายของ คนที่อยู่ในปรากฎการณ์ ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาสร้างมโนทัศน์ และหาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ต่าง ๆ ให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีสำหรับการอธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้น

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงกระบวนการในการสร้างเอกลักษณ์ การให้ความหมาย
การสร้างชุดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวาทกรรมการพัฒนาที่นำไปสู่คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น
2. ผลของการวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจถึงการเกิด การดำรงอยู่ และการปรับตัวของระบบ ความสัมพันธ์ทางสังคมของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้บริบททางสังคมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ผลของการวิจัยทำให้เกิดความรู้ที่จะสนับสนุนและอธิบายวาทกรรมใหม่ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

วิธีการดำเนินการวิจัย
เนื่อง จากการศึกษาวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์นั้น ต้องการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์สังคมที่มีความซับซ้อน หลากหลายและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจถึงวิธีการที่บุคคลให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเชื่อมโยงไปถึงคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีคิดและการกระทำของบุคคล ย่อมทำให้สามารถเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้งและสมบูรณ์ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามผู้วิจัยพบว่าความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่ ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น การใช้วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีจากฐานราก (Grounded Theory) จึงเป็นสิ่งจำเป็นของการศึกษาวิธีวิทยาแบบนี้มีความเชื่อพื้นฐานว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ จะต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลให้ความหมาย (Meaning) ต่อสิ่งนั้นเสียก่อน ทั้งนี้เพราะความเข้าใจต่อการให้ความหมายของคนจะทำให้สามารถอธิบายถึงความ คิดและพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้ (นภาภรณ์ หะวานนท์. 2539. หน้า 102)

สนาม
ก่อนการตัดสินใจเลือกสนามผู้วิจัยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับนักวิชาการอื่น ๆ และเดินทางไปดูพื้นที่จริงในจังหวัดต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าพื้นที่ใดมีความสอดคล้อง และเหมาะสมที่จะเลือกเป็นสนามในการศึกษามากที่สุด ในที่สุดผู้วิจัยเจาะจงเลือกพื้นที่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสนามในการศึกษา เนื่องจากพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับคุณลักษณะ ของเศรษฐกิจพอเพียงตามคำนิยามและขอบเขตที่กำหนดไว้มากที่สุด

การเข้าสู่สนาม
หลังจากเลือกพื้นที่แล้ว ผู้วิจัยได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ก่อนเข้าสู่สนามจริง โดยได้มีการทดลองสัมภาษณ์ตามแนวคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบ สำหรับการสร้างแนวคำถามการสัมภาณ์นั้น ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และปัญหา เป็นแนวคำถามปลายเปิด เพื่อให้การเข้าสู่สนามมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้วิจัยได้วางแผนและเตรียมการ โดยทำการศึกษาข้อมูลทางกายภาพและประวัติชุมชน ร่วมทั้งสภาพบริบทต่างๆ ก่อน และได้นำคณะผู้เก็บข้อมูลอันประกอบด้วยนักวิชาการที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ การศึกษาวิจัยชุมชน จำนวน 2 คน และผู้ช่วยนักวิจัย จำนวน 3 คน ซึ่งทุกคนได้ทำการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นการวิจัย กรอบความคิดในการศึกษารวมทั้งแนวคำถามล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้วเข้าไปสำรวจ พื้นที่ก่อน โดยภายหลังเมื่อกลับออกมาก็ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการ สัมภาษณ์ การแบ่งหน้าที่รวมทั้งการประสานงานในการเก็บข้อมูลก่อนเข้าสู่สนามจริง ซึ่งมีระยะเวลาห่างจากการเข้าไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์

การเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลัก
ในการศึกษานี้ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักโดยใช้วิธีการเลือกเชิงทฤษฎี ซึ่งจะกำหนดลักษณะ
ของผู้ให้สัมภาษณ์ไว้กว้าง ๆ ตามกรอบแนวคิดที่สร้างขึ้น เช่น ผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรชุมชน
ผู้นำทางด้านศาสนาและพิธีกรรม ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนกลุ่มสตรีและแม่บ้าน เจ้าหน้าที่
ของ รัฐ ผู้อาวุโส เด็กและเยาวชน โดยคำนึงถึงความหลากหลายของการให้ความหมายตามลักษณะที่แตกต่างกันของกลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักเหล่านี้ โดยไม่เจาะจงว่าจะเก็บข้อมูลจากใคร ลักษณะใดหรือต้องการข้อมูลจำนวนมากเท่าใด ความไวต่อทฤษฎีและมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักรายแรกจะเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็น ถึงผู้ให้สัมภาษณ์รายอื่น ๆ

การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสมบูรณ์ของมโนทัศน์และทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลเป็นเงื่อนไขที่ สำคัญมาก ดังนั้นในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นการสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) ด้วยวิธีการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับทฤษฎีในลักษณะที่นำข้อมูลที่ มีอยู่เป็นจำนวนมากน้มาแยกส่วน หรือจัดหมวดหมู่ตามคุณสมบัติ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการตีความ (Interpretation) เพื่อสร้างมโนทัศน์ขึ้นมาจากข้อมูลแล้วดำเนินการเชื่อมโยงมโนทัศน์ในรูปความ สัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ โดยคำนึงถึงเงื่อนไข และบริบทที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา ทั้งนี้ทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจะสามารถสะท้อนความจริงและมีลักษณะเป็นนามธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างอำนาจในการอธิบายปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ ด้วยเหตุนี้กระบวนการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจึงต้องดำเนินไปควบคู่กับ การเก็บข้อมูลพร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น (Triangulation) ด้วย

ผลการศึกษา
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้โครงสร้างสังคมแบบประเพณี
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพบว่า หมู่บ้านพอเพียง (ชื่อสมมุติ) ในยุคก่อนปี 2518 เมื่อยังไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้านจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่จากอิทธิพลภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามานั้น กล่าวได้ว่าโครงสร้างสังคมของหมู่บ้านนี้มีลักษณะแบบสังคมประเพณีอย่างเต็ม ที่ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของวิถีการผลิต พบว่าเป็นไปเพื่อการยังชีพด้วยการอาศัยการเกษตรกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการปัจจัย 4 ให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขพอสมควรตามอัตภาพ อีกทั้งหมู่บ้านนี้มีโครงสร้างสังคมที่มีความซับซ้อนน้อย หน่วยสังคมต่าง ๆ ทำหลายหน้าที่ ทำให้มีความสามารถในการบูรณาการสูง และการมีระบบคุณค่าและความเชื่อต่าง ๆ ในสิ่งเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่พบในสังคมประเพณีทั้งสิ้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้สังคมประเพณีของหมู่บ้านนี้มีเงื่อนไขหลัก 2 ประการ คือ
1. การมีวิถีการผลิตแบบยังชีพของหมู่บ้านซึ่งการผลิตเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคของตนเองเป็นหลัก
2. ศักยภาพของหมู่บ้านที่ยังคงสามารถดำรง รักษา “อำนาจ” ในการดูแลจัดการทรัพยากรต่าง ๆและกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของตนเองไว้
นอก จากนั้นยังพบว่ามีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนให้หมู่บ้านเกิดเศรษฐกิจพอเพียงและดำรงอยู่ได้ในโครงสร้างสังคม ประเพณีของหมู่บ้าน ดังนี้
1. การปลอดจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอกและระบบการค้าแบบเงินตรา
2. สภาพของป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งทรัพยากรที่เพียงพอ
3. เทคโนโลยีที่มีขนาดเหมาะสมและไม่ซับซ้อนจนเกินไป
4. จำนวนประชากรที่เหมาะสม

มโนทัศน์ ต่าง ๆ ทั้งหมดจากการวิเคราะห์ข้อมูล เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจพอเพียงใน โครงสร้างสังคมแบบประเพณีก็คือ การที่ชุมชนมีอำนาจในการควบคุมและดูแลทรัพยากรของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังพบว่า การมีจำนวนประชากรที่เหมาะสม การมีสภาพป่า
ที่อุดม สมบูรณ์ การผูกพันกันในลักษณะเครือญาติ รวมทั้งการมีวิถีการผลิตที่เป็นไปเพื่อการยังชีพและการบริโภคในครอบครัวโดย ปราศจากการแทรกแซงของอิทธิพลภายนอก ก็เป็นเงื่อนไขสนับสนุนที่สำคัญเช่นกัน
การดำรงอยู่และการปรับตัวของเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงบริบทจากสังคมประเพณีมาสู่สังคมทันสมัย
การศึกษานี้พบว่า เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากสังคมประเพณีมาสู่สังคม ทันสมัย ก็คือ การมีอิทธิพลภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นการมีถนน สัมปทานป่า การค้าขายแบบทุนนิยม และการศึกษาสมัยใหม่ ไฟฟ้ารวมทั้งสื่อต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้การจัดระเบียบทางสังคมตั้งแต่โลกทัศน์ ระบบคุณค่าและบรรทัดฐานของชุมชนที่ปรากฎอยู่ในรูปจารีตประเพณี ความเชื่อต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิม
ในด้านการผลิต พบว่า การจัดการปัจจัยการผลิตและการจัดการในการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยบรรทัดฐานของชุมชนที่เคยควบคุมให้สมาชิกจัดการปัจจัยการผลิตบนพื้นฐานของ ความสมดุลกับธรรมชาติและการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในชุมชนต้องเปลี่ยนเป็น บรรทัดฐานของเงินตราและปัจเจกชนเข้ามาแทนที่
ในด้านการบริโภค พบว่า อิทธิพลจากภายนอกที่เข้ามา ทำให้ทัศนคติและพฤติกรรมในการบริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะการเลียนแบบ และการพึ่งพาผลผลิตต่าง ๆ จากภายนอกมากขึ้น มีผลทำให้การบริโภคและการผลิตไม่ได้ดำรงอยู่ในอำนาจและการควบคุมของครอบครัว และชุมชนอีกต่อไป แต่ต้องไปสัมพันธ์กับตลาดภายนอกที่ตนเสียเปรียบเนื่องจากมีอำนาจต่อรองที่ ด้อยกว่า จึงทำให้เกิดความไม่เพียงพอในการบริโภคขึ้น
การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคเกิดขึ้น ซึ่งชุมชนมีความจำเป็นต้องมีการปรับตัวภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป มโนทัศน์ที่ได้จากการศึกษาพบว่า กระบวนการปรับตัวของชุมชนดังกล่าวตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ประการ คือการปรับตัวโดยพยายามรักษาความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภค และการปรับตัวด้วยการพยายามสร้างกระบวนการต่อรองและการจัดการรูปแบบต่าง ๆ
กระบวนการปรับตัวด้านการผลิต ที่ปรับตัวเข้าสู่การมีสองวิถีการผลิตร่วมกัน ทั้งวิถีการผลิตแบบยังชีพ และการค้าซึ่งทำให้บรรทัดฐานเดิมที่เคยควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยว ข้องกับการผลิตเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ เช่น มีการรวมกลุ่มกันทำการเพาะปลูกในลักาณะเกษตรเชิงอนุรักษ์ การตั้งกลุ่มทอผ้า กลุ่มออมทรัพย์และธนาคารข้าว เพื่อธำรงรักษาการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความ สมดุลกับธรรมชาติและพึ่งพาอาศัยแบ่งปันกันในชุมชนไว้ภายใต้รูปแบบการรวม กลุ่มทำกิจกรรมการเพาะปลูกเชิงอนุรักษ์แทน
กระบวนการปรับตัวด้านการบริโภค ที่พยายามดรงวิถีการผลิตเพื่อการบริโภคและการยึดมั่นในจารีตประเพณีเดิมที่ เกี่ยวกับการบริโภค ในขณะเดียวกันก็สร้างระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น การวิสาสะกันในกลุ่มสมาชิก บทบาทการเข้ามาควบคุมสื่อของครอบครัว ต่างก็เป็นกระบวนการปรับตัวที่
เข้ามาควบคุมให้การบริโภคเป็นไปอย่างเหมาะสมภายใต้เงื่อนไขของความสมดุลกับการผลิตทั้งสิ้น
การปรับตัวด้านการแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลผลิต ที่พยายามสร้างอำนาจต่อรองและความสัมพันธ์
ที่เท่าเทียมกันผ่านการรวมตัวกันเป็นกลุ่มต่าง ๆ แสดงถึงการพยายามปรับตัวเข้าสู่ความสมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภคไว้

งานวิจัยทางด้าน Information Management



งานวิจัยทางด้าน Information Management

สรุปมาจากบทความวิจัย Macevičiūtė, Elena and Wilson, T.D. (2002) The development of the information management research area อาจจะเก่าไปหน่อย แต่ก็พอได้ idea ว่า งานวิจัยทางด้าน Information Management มีแนวโน้มเป็นอย่างไรกันบ้าง
  1. เศรษฐศาสตร์สารสนเทศ (Economics of information)
    การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยใช้สารสนเทศ (Competitive advantage) / information economy / information industry / economic implications of information systems / commercial and corporate usage of information networks
  2. การกำหนดนโยบายสารสนเทศ และกลยุทธ์สารสนเทศขององค์กร (Information policy and strategy)
    Aiding business strategy / corporate information resources / telecommunication policies / banking with electronic payment systems / การเรียนรู้และวัฒนธรรมองค์กร / ระบบสารสนเทศขององค์กร / Knowledge management / Organisational environment: impact on information technology usage / organisational environment and learning
  3. การประยุกต์การจัดการสารสนเทศ (Information management practice)
    Application areas e.g. banking, health services, business, manufacturing, industry, government, etc.
  4. ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยี (Information systems and technology)
    design: human factors / IS evaluation and quality issues / users’ satisfaction or information usage interest the researchers of database systems, decision support systems, group support systems / Information networking / internet and intranet / Information Technology (management aspects & technology aspects)
  5. ผู้ใช้สารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ (Information use and users)
    Different aspects of information users’ behaviour / Sense making of IT / การศึกษาและวิชาชีพด้านสารสนเทศ / Education for Information Management: Information Literacy / Information professionals
แนวทางการเลือกวิธีการวิจัย
  • Qualitative methods, case studies, unstructured and semi-structured interviews, document analysis, ethnographic observation
  • Quantitative methods, mathematic modeling
  • Quantitative methods in combination with qualitative methods.
  • Interpretative research, grounded theory approach
  • Cross-cultural studies
วงจรการจัดการสารสนเทศ (Information Management Cycle)

อ้างอิงแหล่งที่มา : Chun Wei Choo, 1998

อ้างอิงแหล่งที่มา : http://www.aims.org.af/services/database/info_mngmt_cycle/info_mngmt_cycle.html

Grounded Theory

Grounded Theory
             ท่านอาจารย์สุทธิดา ได้ให้ความหมายไว้ว่า "Grounded Theory" เป็นแนวทางการวิจัยหรือวิทยาการวิจัย (Research Methodology) ที่มีเป้าหมาย เพื่อสร้างข้อสรุปเชิงทฤษฎีขึ้นจากปรากฏการณ์ทางสังคม ตามความหมายของชุมชน อันเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่นำมาสู่การวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อให้ทราบลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม
             "Grounded Theory" เป็น Methododlogy อีกวิธีหนึ่ง บนพื้นฐานของความจริงจากปรากฏการณ์ทางสังคม เพื่อบรรยายลักษณะทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้น
             ในฐานะของนักศึกษาพัฒนบูรณาการศาสตร์ที่จะต้องไปทำวิจัยร่วมกับชาวบ้าน ร่วมกับชุมชน จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า เราต้องการอะไรจากความรู้   เราต้องการอะไรจากงานวิจัย เช่น
            -  เพื่ออธิบาย  ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น
            -  เพื่อทำนาย  ว่าถ้าเกิดสถานการณ์นี้จะเกิดอะะไรต่อไปในอนาคต
            -  เพื่อทำความเข้าใจ   ว่าทำอย่างไร ทำแบบไหน เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
            จากประเด็นคำถามนี้ จึงต้องใช้ Methododlogy ที่ เหมาะสมบนพื้นฐานของความจริงอะไร หรือบนพื้นฐานของคำถามอะไร อยากรู้อะไร และจะใช้กระบวนการหาความรู้อย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ ซึ่งถ้าใช้กระบวนการหาความรู้ ( Methododlogy )  ผิดวิธีการวิจัยจะไม่สำเร็จได้ดังที่ตั้งใจไว้
             เมื่อตอบคำถามที่กล่าวมาได้ เราก็จะสามารถตั้งคำถามหลักที่เราอยากรู้ในเรื่องที่เราจะทำวิจัยคืออะไร และจะตอบคำถามอะไร
             จากแนวทางที่อาจารย์สุทธิดาสอนมาได้ทำให้นักศึกษาหลาย คนเริ่มตั้งคำถามที่ตรงกับใจตัวเองให้กระชับและชัดเจนมากขึ้นในระดับหนึ่ง  เช่น การตั้งคำถามที่ว่า
             เลี้ยงโคอย่างไรให้สมบูรณ์ในฤดูแล้ง
             ซึ่งจะต้องหาความรู้ใน  2  ประเด็น คือ
             1.   การเลี้ยงโคในฤดูแล้งของชาวบ้านเป็นอย่างไร เป็นการรวบรวมและบรรยายถึงความรู้เดิมที่ชาวบ้านมีเป็นความรู้ที่ประสบความ สำเร็จ  ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีในชุมชนรวมกับข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุน
             2.   ชาวบ้านควรเลี้ยงโคอย่างไรในฤดูแล้งจึงจะดี เป็นการนำเอาความรู้ที่ประสบควมสำเร็จมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับชาวบ้านและ ชุมชน ภายใต้บริาทและเงื่อนไขของแต่ละคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ 
            หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นการนำเอาความรู้ที่ชาวบ้านมีมาจัดการให้เป็นระบบภายใต้เงื่อนไขและบริบทของชาวบ้านและชุมชน
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 


     ในการทำวิจัยเราต้องการแสวงหาความรู้อาจจะทำได้ 2 ทางคือ
         1.Developing therory through induction  
               พยายามสร้างทฤษฏี ความเข้าใจของเรา (จากข้อมูลที่เห็น) การสร้างความรู้จากที่เราเห็น จากข้อมูลที่เราสัมผัสได้ หรือจากการที่เราได้ลงไปหาข้อมูลจากชุมชน
         2. Developing therory through  deduction
               สร้างความรู้จากการพิสูจน์ทฤษฏีจากคนอื่นหรือจากที่มีอยู่แล้ว
               ก็เหมือนกับลำดับแรกที่เราพยายามสร้างความรู้ที่เราเห็น ยกตัวอย่างเช่น ตาบอดคลำช้าง ซึ่งต่างคนก็บอกคนละแบบ คนละมุมตามที่ตนเองได้จับได้คลำ ซึ้งถ้าคนปกติที่ตาไม่บอดก็มองต่างมุมว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  แต่เพื่อที่จะให้รู้ความจริงได้นั้นเราต้องมาพิสูจน์เองลงมือหาข้อมูลที่จะ มาสนับสนุนหรือหาข้อโต้แย้งจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ความจริงที่มันเป็นอยู่คืออะไร จึงเข้ากับสุภาษิตที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" เห็นแล้วยังไม่พอต้องมาถามกับตัวเองอีกว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้น มีสาเหตุอะไรที่ทำให้มันต้องเกิดขึ้นเช่นนี้
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

การศึกษาเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก

ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนประถมศึกษา : การศึกษาเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก
นางกัญญา โพธิวัฒน์
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 32000
ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา
ปี 2548
วัตถุประสงค์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อสรุปเชิงทฤษฎีจากการศึกษา ปรากฏการณ์ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนประถมศึกษา โดยทำความเข้าใจถึงลักษณะของทีม เงื่อนไขและกระบวนการเกิดขึ้นของทีม และการดำรงอยู่ของทีม ตลอดจนผลที่ติดตามมาจากทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง
งานวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research methodology) เพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก (grounded theory)
กลุ่มตัวอย่าง              
ประชากร พื้นที่ที่ศึกษาใช้วิธีการเลือกเชิงทฤษฎี (theoretical sampling) ซึ่งสอดคล้องและตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในโครงการโรงเรียนนำร่องการทดลองใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
กลุ่มตัวอย่าง   ผู้ให้ข้อมูลหลักซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการเลือก เชิงทฤษฎี (theoretical sampling) จำแนกได้เป็น 10 กลุ่ม จำนวนรวมไม่น้อยกว่า 44 คน แบ่งออกเป็น
กลุ่มผู้บริหารโรงเรียน(3 คน) กลุ่มหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้(8 คน) กลุ่มครู(9 คน) กลุ่มกรรมการสถานศึกษา(3 คน) กลุ่มผู้ปกครองนักเรียน(4 คน) กลุ่มนักเรียน(4 คน) กลุ่มคนในชุมชน(2 คน) คณะผู้บริหารและครูในกลุ่มโรงเรียน(2 คน) กลุ่มผู้ให้การนิเทศ(6 คน) และคณะผู้มาเยี่ยมโรงเรียน(3 คณะ)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือสำคัญคือตัวผู้วิจัย เครื่องมืออื่นในการวิจัยประกอบด้วย แนวคำถามเพื่อการสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้างและอย่างไม่เป็นทางการ 5 ฉบับ แนวคำถามเพื่อการจัดกลุ่มสนทนา (focus group discussion) แบบสังเกตและจดบันทึก (observation and field-note) และแบบวิเคราะห์เอกสาร (document analysis) โดยมีอุปกรณ์ช่วยบันทึกข้อมูล เช่น เทปและเครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายภาพ
การรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยใช้วิธีการในการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล 4 วิธีการหลักคือ
1) การสัมภาษณ์ระดับลึก (in-depth interview) กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย 10 กลุ่ม
2) การจัดกลุ่มสนทนา (focus group discussion) 2 กลุ่มๆละ 8 คน คือกลุ่มหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และกลุ่มครูผู้สอนจากทุกกลุ่มสาระ
3) การสังเกตและจดบันทึก (observation and field-note) ผู้วิจัยเข้าไปศึกษาข้อมูลด้วยการสังเกต โดยเลือกใช้วิธีการสังเกตทั้งแบบมีส่วนร่วม และแบบไม่มีส่วนร่วม ตามสภาพของปรากฏการณ์ที่เลือกศึกษา
4) การวิเคราะห์เอกสาร (document analysis) โดยศึกษาข้อมูลเอกสารทั้งที่เป็นเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรองที่เกี่ยว ข้อง ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ได้ใช้หลักการตรวจสอบข้อมูลเรื่อง เดียวกันจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง (theoretical triangulation) การหาข้อมูลและมโนทัศน์ที่แตกต่างไปจากที่ได้มาแล้ว (negative case) จนกระทั่งข้อสรุปเชิงทฤษฎีที่มีอยู่ได้ถึงจุดอิ่มตัว (theoretical saturation)
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีแปลความและตีความหมายข้อมูล แล้วสร้างมโนทัศน์ขึ้นโดยอาศัยความไวทางทฤษฎี และใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรม ATLAS/ti รุ่น 4.2 ช่วยในการจัดระบบการวิเคราะห์ข้อมูล มี 4 ขั้นตอนตามลำดับคือ
1) ขั้นเปิดรหัส (open coding) เป็นการวิเคราะห์หาความสอดคล้องที่สะท้อนประเภทหรือแก่นที่อยู่ในข้อมูล
2) ขั้นหาแก่นของรหัส (axial coding) เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
3) ขั้นเลือกรหัส (selective coding) เป็นการนำเอาประเภทและความสัมพันธ์มาสร้าง “บท” อธิบายปรากฏการณ์
4) ขั้นพัฒนาทฤษฎี (development of theory) เป็นการเสนอทฤษฎีในรูปของภาษา รูปภาพ หรือสมมติฐาน เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่สงสัย ทฤษฎีจะบอกลักษณะของปรากฏการณ์และอธิบายว่าเงื่อนไขหนึ่งๆนำไปสู่การกระทำ หนึ่งๆได้อย่างไร และการกระทำนั้นนำไปสู่การกระทำอื่นได้อย่างไร
ข้อสรุปที่ได้จากการทำวิจัย
การวิจัยนี้ได้สร้างมโนทัศน์และความเชื่อมโยงของมโนทัศน์ เสนอเป็นข้อสรุปเชิงทฤษฎีทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนประถมศึกษา แบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ
1) ลักษณะของทีม ประกอบด้วย 4 มโนทัศน์หลัก และ 14 มโนทัศน์ย่อย
2) เงื่อนไขและกระบวนการเกิดเป็นทีม ประกอบด้วย 4 มโนทัศน์หลัก และ 14 มโนทัศน์ย่อย
3) การดำรงอยู่ของทีม ประกอบด้วย 3 มโนทัศน์หลัก และ 10 มโนทัศน์ย่อย
4) ผลที่เกิดติดตามมาจากการเป็นทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย 2 มโนทัศน์หลัก และ 8 มโนทัศน์ย่อย โดยมีข้อสรุปดังนี้
 1) ลักษณะของทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง ลักษณะของทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ความหมาย การก่อตัวขึ้นของทีม ประเภทและสมาชิกของทีม เป้าหมายของทีม และพฤติกรรมของทีม ดังต่อไปนี้
 1.1) ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงตามความหมายและมุมมองของผู้ที่อยู่ในปรากฏการณ์ เป็นกลุ่มคนที่เป็นสมาชิกของโรงเรียนร่วมกันทำงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นงานบุกเบิกที่ไม่ใช่งานที่เคยปฏิบัติเป็นปกติ มีคุณภาพของความสำเร็จในงานที่ดีที่สุดเท่าที่มีเวลามาให้ ผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทั้งที่เป็นกระบวนการดำเนินงานและผลงาน จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับบุคคลอื่นๆได้นำไปพัฒนาและดำเนินการให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในโรงเรียนของบุคคลนั้นๆได้อย่างมีประสิทธิผล
1.2) การก่อตัวขึ้นเป็นทีม พัฒนามาจากพื้นฐานเดิมในการรักษาเกียรติประวัติของโรงเรียนที่มีความโดดเด่น มาแต่อดีต ทั้งสมาชิกในโรงเรียนและชุมชนเต็มใจ และภูมิใจที่รับนโยบายจากหน่วยงานในสายการบังคับบัญชา โดยได้มีการกำหนดเป้าหมายเฉพาะของทีมไว้ 2 ประการคือ การพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน และการเป็นแหล่งเรียนรู้ของบุคคลภายนอก
 1.3) ทีมที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมี 3 ระดับคือ ทีมระดับโรงเรียน ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นข้าราชการครูทั้งหมดในโรงเรียน ทีมระดับหัวหน้างาน ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง และหัวหน้าสายงานวิชาการ และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และทีมระดับปฏิบัติการ ประกอบด้วยสมาชิกในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และกลุ่มปฏิบัติการต่างๆ สมาชิกคนหนึ่งอาจเข้าไปร่วมเป็นสมาชิกในทีมอื่นๆได้หลายทีมตามพื้นฐานความ สามารถและความสนใจ รวมทั้งการเป็นหัวหน้าทีมด้วย ทีมระดับโรงเรียนได้สะท้อนภาพพฤติกรรมของทีมคือ มีการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม มีการร่วมคิดร่วมทำในทีม ปฏิบัติงานได้เกินระดับปกติ มีการพึ่งพาและช่วยเหลือกัน แก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ ใช้การตัดสินใจร่วม และมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลง
2) เงื่อนไขและกระบวนการเกิดเป็นทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จากเงื่อนไขภายในโรงเรียน และเงื่อนไขภายนอกโรงเรียน ส่วนกระบวนการเกิดกลายเป็นทีมได้อาศัยการนำ และการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดังต่อไปนี้
 2.1) การเกิดขึ้นของทีมเป็นผลมาจากเงื่อนไขภายในโรงเรียนเองคือ สมาชิกทุกคนมีความชัดเจนในนโยบาย ผู้บริหารมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นที่ยอมรับนับถือมาก่อน มีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างผู้นำร่วมให้เกิดขึ้นในแต่ละระดับของการบริหาร และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในโรงเรียนอยู่เสมอ อีกทั้งมีเงื่อนไขภายนอกที่เกิดจากความรู้สึกผูกพันกับชุมชนสูง ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายกับโรงเรียนอื่นและองค์กรภายนอกในระดับพื้นที่
 2.2) การนำ เป็นการที่ผู้บริหารในแต่ละระดับ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของโรงเรียนใช้กระบวนการจูงใจสมาชิกผู้ร่วมงานให้ ทำงานเต็มกำลังความสามารถ มีการทำงานในลักษณะบุกเบิกแสวงหา ด้วยคำที่เป็นสัญลักษณ์ของทีมที่เรียกว่า “ทำหา” และสมาชิกทำงานแบบอุทิศตนให้กับงาน
 2.3) การทำงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นเสมือนเครื่องมือที่ทำให้เกิดทีม เป็นการบริหารแบบมีส่วนร่วมคือ ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในงานทุกขั้นตอน ผู้แทนชุมชนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการรับรู้ ให้ความคิดเห็น เป็นแหล่งภูมิปัญญา และให้การสนับสนุน สมาชิกในทีมมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จ และสามารถเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้
 3) การดำรงอยู่ของทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง  ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้แสดงให้เห็นถึงการมีศักยภาพของการดำรงอยู่ อีกทั้งโรงเรียนยังพร้อมที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ใหม่ได้ โดยการดำรงอยู่ได้ของทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย บทบาทหน้าที่ของทีม การเกาะเกี่ยวกันในทีม และการปรับวัฒนธรรมการทำงาน ดังต่อไปนี้
3.1) สมาชิกของทีม ไม่ว่าจะอยู่ในทีมระดับใด มีการรับรู้ และเข้าใจเป้าหมายของทีม ทุกคนมีความชัดเจนในบาทบาทหน้าที่ของตน และร่วมแสดงบทบาทหน้าที่ร่วมกับสมาชิกในทีมเพื่อดำรงไว้ซึ่งการเป็นผู้นำทาง วิชาการ
3.2) การเกาะเกี่ยวกันในทีม เป็นการแสดงออกของทีมที่บ่งบอกถึงพลังของทีมที่จะให้เกิดการยอมรับ คือ เป็นทีมแห่งการเรียนรู้ มีความใส่ใจในงานและจุดมุ่งหมาย และมีการตรวจสอบและแก้ไขงานอยู่เสมอ3.3) การปรับวัฒนธรรมการทำงาน เป็นการปรับตัวเข้าสู่สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ทีมมีการปรับวิธีการ และค่านิยมการทำงานใหม่ โดยสมาชิกยึดมั่นในปรัชญา และวิสัยทัศน์ของโรงเรียน เป็นทีมที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีการสื่อสารถึงกันอย่างทั่วถึง ร่วมสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์ และ มีความโปร่งใสในการบริหาร
 4) ผลที่ติดตามมาจากการเป็นทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง  ผลที่เกิดติดตามมาจากการเป็นทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีทั้งผลกระทบทางบวก และผลกระทบทางลบ ดังต่อไปนี้
 4.1) ผลทางบวก ทำให้เกิดการพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นตัวแบบนวัตกรรม มีความพึงพอใจในงาน ได้รับการยอมรับจากภายนอก และทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียง
4.2) ผลทางลบ ผลต่อนักเรียน ทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ในบางรายวิชาอยู่ในระดับต่ำลง ผลต่อคณะครู ทำให้สมาชิกของทีมคือคณะครูทำงานหนัก เสียสละเวลาและทรัพย์สินส่วนตัวเกินความจำเป็น และไม่ได้รับความก้าวหน้าทางวิชาการส่วนบุคคล ผลต่อโรงเรียน ทำให้ชุมชนไม่ยอมรับสมาชิกทีมงานที่อ่อนแอหรือเป็นอุปสรรคของทีม
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ทฤษฎีฐานราก grounded theory

ทฤษฎีฐานราก   grounded theory คือ ทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นทฤษฎีที่มีคุณลักษณะเฉพาะที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่เป็นไปตามปรากฏการณ์จริงมากที่สุด โดยทฤษฎีนี้ถูกค้นพบ พัฒนา และได้รับการตรวจสอบ (verify) จากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นั้นๆอย่างเป็นระบบ
grounded theory method  เป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพที่ถูกพัฒนาขึ้นในสาขาสังคมวิทยา โดย Barney Glaser กับ Anselm Strauss (1967) เพื่อสร้างคำอธิบายเชิงทฤษฎีจากข้อมูลโดยตรง  วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีฐานรากพัฒนาขึ้นมาจากความเชื่อพื้นฐานที่ว่า การจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และการอยู่รวมกันของมนุษย์ จำเป็นต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลได้สร้างความหมายให้กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เพราะความคิดและการกระทำของมนุษย์มีพื้นฐานที่สำคัญอยู่ที่ความหมายที่ตนมีต่อสิ่งต่างๆ วิธีวิทยาแบบนี้จึงเน้นที่การศึกษาปรากฏการทางสังคม โดยยึดหลักของการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาสร้างมโนทัศน์ หาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ ต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีของปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องการหาคำอธิบาย
หลักการสร้างทฤษฎีฐานราก คือ 
1) ผู้วิจัยต้องมีความไวเชิงทฤษฎี (theoretical sensitivity) ต่อการที่จะคิดและศึกษาข้อมูลในลักษณะที่จะนำไปสู่การสร้างมโนทัศน์และทฤษฎี ในทุกขั้นตอนของการวิจัย  
 2) ผู้วิจัยต้องทำงานใกล้ชิดกับกระบวนการวิจัยทุกขั้นตอน  
3)  กระบวนการสร้างทฤษฎีฐานราก  เน้นการเข้าถึงข้อมูล การเก็บข้อมูล การตีความข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่จะนำไปสู่การสร้างทฤษฎีที่เหมาะสม 
4) การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากถือว่า มโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดสำหรับการอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาจะต้องมาจากข้อมูลโดยตรง และ 
5) ทฤษฎีที่ได้มาด้วยวิธีวิจัยแบบทฤษฎีฐานราก ถือเป็นทฤษฎีที่นักวิจัยสร้างขึ้นมาจากข้อมูลโดยตรง และเป็นทฤษฎีที่มุ่งหาคำอธิบายให้แก่ปรากฏการณ์ที่นักวิจัยเลือกมาศึกษาเป็นหลัก
ขั้นตอนสำคัญของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก มีขั้นตอนสำคัญ สรุปได้ดังนี้ 
1)  นักวิจัยต้องมีคำถามสำหรับการวิจัยที่ชัดเจนก่อนว่าอยากรู้อะไร เพราะคำถามการวิจัยจะเป็นแนวทางในการออกแบบกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาได้อย่างเหมาะสม 
 2) นักวิจัยอาจใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และอาจใช้เทคนิคทุกอย่างที่เหมาะสมและเข้าข่าย เพื่อการรวบรวมข้อมูล   
3) กระบวนการเก็บข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลชุดแรก ผู้วิจัยจะต้องเริ่มศึกษาข้อมูลที่ได้มา สร้างมโนทัศน์จากข้อมูลและเชื่อมโยงมโนทัศน์ต่างๆตามที่ปรากฏในข้อมูล แล้วสร้างสมมติฐานชั่วคราวแล้วจึงตัดสินใจว่าจะนำสมมติฐานนี้ไปใช้กับข้อมูลใด การเลือกเก็บข้อมูลต่อไปจะเกิดจากข้อคำถามที่ผู้วิจัยมีต่อข้อสรุปเชิงทฤษฎีชั่วคราวที่ได้มาในตอนแรก 
4) การสร้างสมมติฐานชั่วคราวเป็นขั้นตอนสำคัญของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เป็นความพยายามที่จะตรวจสอบกรอบของทฤษฎีที่ได้มาว่ามีความสมบูรณ์เพียงพอหรือไม่ สมมติฐานหรือกรอบแนวคิดที่ได้ในขั้นตอนนี้จะต้องถูกตรวจสอบกับข้อมูลชุดใหม่ซึ่งนักวิจัยจะรวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่าง ที่จะเลือกมาเพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงสมมติฐานที่ได้ในเบื้องต้นโดยเฉพาะ ข้อมูลที่รวบรวมใหม่อาจให้มโนทัศน์ใหม่ ส่งผลให้ต้องปรับสมมติฐานและกรอบแนวคิดตามไปด้วย มโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดที่ปรับใหม่นี้จะต้องถูกนำไปตรวจสอบกับข้อมูลซึ่งจะต้องรวบรวมมาใหม่อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนไม่มีความจำเป็นที่จะปรับปรุงสมมติฐานและกรอบแนวคิดอีกต่อไป เรียกว่า จุดอิ่มตัว (salutation) และ 
 5) เมื่อถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สมมติฐานไม่ได้ถูกท้าทายจากข้อมูลใหม่ และไม่ม่ความจำเป็นจะต้องปรับอีกต่อไป นักวิจัยจึงจะหยุดการเก็บข้อมูลและเริ่มขั้นตอนต่อไปในกระบวนการวิจัย คือ การหาข้อสรุปหรือคำอธิบายเชิงทฤษฎีของสิ่งที่ศึกษา ซึ่งอาจเป็นคำอธิบายหรือกรอบแนวคิดทางทฤษฎี ซึ่งถือเป็นขั้นสุดท้ายของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  ซึ่งจะเห็นได้ว่า ลักษณะสำคัญของวิธีดำเนินการวิจัยแบบนี้ เรียกได้ว่า วิธีอุปนัย (inductive approach) คือ เริ่มจากข้อมูลจากตัวอย่างที่เจาะจงเลือกมาจำนวนหนึ่ง  แล้วจึงวิเคราะห์หาข้อสรุป หรือคำอธิบายเชิงทฤษฎีที่มีลักษณะทั่วไปของข้อมูลนั้น
การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  นักวิจัยใช้การกำหนดรหัส (coding) เป็นเครื่องมือในการจำแนกข้อมูล การกำหนดรหัสคือการแตกข้อมูล(เชิงคุณภาพ) ออกเป็นหน่วยย่อยหลายๆหน่วย เพื่อที่นักวิจัยจสามารถจัดการกับข้อมูลได้สะดวก  หน่วยย่อยแต่ละหน่วยนั้นจะถูกให้สัญลักษณ์เป็นรหัส(ชื่อ) มักจะต้องมีโครงสร้างที่ทำหน้าที่เสมือนกรอบกว้างๆ และในกระบวนการกำหนดรหัสนั้น นักวิจัยจะต้องทำสองอย่างไปพร้อมๆกัน คือ 
1) อ่านข้อมูลอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อมองหามโนทัศน์ (concept) หรือแนวความคิดที่บ่งนัยอยู่ในข้อความนั้น และ 
2) เปรียบเทียบ มโนทัศน์ ที่ปรากฏอยู่ในข้อความหนึ่ง กับมโนทัศน์ในข้อความอื่นที่เหลือ เพื่อให้สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่บ่งบอกอยู่ในข้อความเหล่านั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน หรือหมายถึงคนละเรื่องกัน ข้อความที่มีความหมายเดียวกันจะถูกกำหนดรหัสเป็นตัวเดียวกัน และที่มีความหมายต่างกันก็จะให้รหัสต่างกัน
การนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล   โปรแกรม Atlas/ti  เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ถูกคิดค้นเพื่อให้สามารถนำมาใช้ช่วยในการตีความข้อความอักษร เป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เพราะช่วยในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่ได้รับความนิยามสูง อย่างไรก็ตาม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ไม่ใช่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลแต่นำมาใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์และตีความหมายข้อมูล
ในการทำวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก มีสิ่งที่ผู้วิจัยพึงทำความเข้าใจไว้ล่วงหน้า อาทิเช่น เมื่อไรควรใช้วิธีการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เริ่มต้นจากข้อมูลแล้วไปสู่สมมติฐาน และจบลงด้วยทฤษฎีที่เป็นคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ที่ศึกษา นักวิจัยจะสร้างมโนทัศน์และกรอบแนวคิดทฤษฎ๊ขึ้นมาจากข้อมูลได้อย่างไร นักวิจัยจะต้องตรวจสอบมโนทัศน์และทฤษฎีที่สร้งขึ้นกับข้อมูลใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัว นักวิจัยต้องวินิจฉัยว่าแค่ไหนถือว่าถึงจุดอิ่มตัว และการเลือกตัวอย่างพื่อหาข้อมูลมาตรวจสอบทฤษฎีที่นักวิจัยสร้างขึ้น เป็นสิ่งที่ยากและท้าทาย
Strauss and Corbin (1998) ได้กำหนดเกณฑ์การประเมินงานวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก ไว้สองด้านพอสรุป ได้ดังนี้  ด้านที่ 1 ด้านกระบวนการวิจัย  พิจารณาจากองค์ประกอบของกระบวนการวิจัย ตามเกณฑ์ 7 ข้อ  และด้านที่ 2 ด้านฐานรากเชิงประจักษ์ของการวิจัย พิจารณาตามเกณฑ์ 8 ข้อ
สรุป  การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เป็นวิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพที่เริ่มต้นจากข้อมูลแล้วไปสู่สมมติฐานและจบลงด้วยทฤษฎีที่เป็นคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ที่ศึกษา นักวิจัยจะต้องสร้างมโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดสำหรับอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษา กระบวนการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจะดำเนินไปพร้อมๆกัน ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในเรื่องที่ศึกษาอย่างรอบด้าน  ทฤษฎีที่สร้างขึ้นสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจง  ด้วยเหตุดังกล่าว การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากจึงเป็นกระบวนการศึกษาที่มีความท้าท้ายและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างองค์ความรู้ใหม่

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย