ภาพรวมวิวัฒนาการทฤษฎีการศึกษาปฐมวัย
ผู้ที่เริ่มศึกษาทฤษฎีแนวคิดทางการศึกษาอาจจะตั้งคำถามในใจไหมว่าทำไมจึงมี
ทฤษฎีการศึกษามากมายนัก
แล้วใครหรืออะไรเป็นบ่อเกิดความคิดอันนำไปสู่การเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดแนว
คิดใหม่ๆจนนำไปสู่การคิดว่า แนวคิด
หลักการที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อคำถามที่เกิดขึ้น
ในที่นี้ขอประมวลที่มาของการเกิดแนวคิดต่างๆ
อันเป็นบ่อเกิดของการพัฒนาแนวคิดหลักการทางการศึกษาปฐมวัย
โดยจะเรียงลำดับตามช่วงเวลาในอดีต ดังนี้
แนวคิดแรกเริ่มของทฤษฎีต่างๆ
ที่ต่อมามีอิทธิพลต่อการนำไปเป็นแนวการเรียนการสอนในประเทศไทยส่วนใหญ่มา
จากประเทศทางตะวันตก โดยเรียงลำดับได้ดังนี้
ก่อนการปฏิรูปทางศาสนาในยุโรปใน คริสต์ศตวรรษที่ 16
ในสมัยนั้นการดูแลเด็ก ไม่ค่อยได้รับความสำคัญเท่าใดนัก เ็กถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กที่ควรได้รับการดูแลจากผู้หญิงในบ้าน
ประกอบกับความเชื่อที่ว่า
"เด็กมีบาปแต่เดิม" อันเป็นความเชื่อที่ว่า
ทุกคนเกิดมาเป็นเด็กแห่งความดกรธแค้น
เกิดมาพร้อมกับธรรมชาติอันเต็มไปด้วยความชั่วก่อนที่จะมีความดีเกิดขึ้นใน
ตัวเรา การเลี้ยงดูเด็กจึงจะต้องทำด้วยความเข้มงวด รุนแรง ต้องถูกลงโทษ
ดัดสันดาน ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะเป็นเด็กแห่งความดีและอ่อนโยน
ในช่วงศตวรรษที่ 16
มีพระนิกายโปรแตสแตนท์ ชื่อ จอห์น อามอส
คอมเมนิอุซ เป็นนักการศึกษาที่เมือง โมวาเรีย ประเทศเชคโกสโลวาเกีย
เขาคิดว่า "เด็กเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า"
เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ได้รับการศึกษาในโรงเีรียนเพราะมีความเป็นมนุษย์เท่า
เทียมกัน ไม่ควรลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี เมื่อเด็กตอบผิด
การศึกษาเป็นกระบวนการที่เริ่มตั้งแต่แรกเกิดและดำเนินไปจนตลอดชีวิต
จึงควรมีการให้การศึกษากับเด็กเล็กใช้วิธีการสอนโดยเลียนแบบธรรมชาติ
และจัดกลุ่มเด็กตามอายุ
การเรียนการสอนควรเริ่มจากวัยทารกและควรออกแบบให้เหมาะสมกับอายุ
ความสนใจและความสามารถของผู้เรียน
ควรสอนสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้เรียนที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ในช่วงศตวรรษที่ 17
เกิดทฤษฎีกลุ่มใหม่ที่ควรให้ความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
เด็กจึงถูกมองเป็นมนุษย์มากขึ้น เช่น จอห์น ล็อค นักปรับญาชาวอังกฤษ
กล่าวว่า "เด็กเป็นเสมือนกระดาษเปล่า" เด็กไม่ได้มีพื้นฐานจากความชั่วร้าย
แต่พื้นฐานของเด็กสามารถถูกสร้างและถูกหล่อหลอมได้
นับเป็นการศึกษายุโรปคนแรกที่เห็นความสำคัญของความแตกต่างรายบุคคลจากการมี
ประสบการณ์แรกเริ่มกับผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างเขา
ในศตวรรษที่ 18 ยุคเรอเนซองค์
จัง จ๊าค รุสโซว
เป็นนักปราชญ์ผู้เกิดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในประเทศฝรั่งเศษ รุสโซวมีความคิดเห็นที่ว่า
"เด็กเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับการรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
และมีความวามารถที่จะจัดระบบและเติบโตได้อย่างแข็งแรงได้ด้วยตนเอง"
ทฤษฎีนี้นับเป็นจุดเริ่มแรกของการพัฒนาโดยเน้นเด็กเป็นสำคัญ
และนำไปสู่หลักการที่สำคัญ 2 เรื่อง ที่ยังได้รับการยอมรับจนถึงปัจจุบัน
คือ เรื่องความคิดในเรื่องระดับของการพัฒนาการของเด็ก และ เรื่องวุฒิภาวะ
การจัดการศึกษาควรให้สอดคล้องกับธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก
รวมทั้งความแตกต่างระหว่างบุคคล เขาเชื่อว่า "เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ"
ที่สามารถทำสิ่งต่างๆได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่เด็กก็คือเด็ก
โดยธรรมชาติที่มีความเฉพาะในแบบของเด็ก แตกต่างจากผู้ใหญ่
เนื้อแท้ของเด็กมีความดีงาม
ดังนั้นเด็กจึงควรได้รับการเติบโตตามธรรมชาติของเด็ก
เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากประสบการณ์ตรงของเด็กกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม
และจากการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กผ่านการเล่นอิสระ
แนวคิดดังกล่าวได้มีอิทธิพล ต่อนักทฤษฎีอื่นๆในระยะต่อมา เช่น เพสตาลอซซี่
เฟอร์เบล มอยเตวซอรี่ เพียเจท์ และกีเซลล์
โยฮัน ไฮนริช เพสตาลอสซี
เป็นนักการศึกษาชาวสวิตเซอร์แลนด์
เพสตาลอซซีไม่เห็นด้วยกับแนวการศึกษาของเด็กสมัยนั้น
ในเรื่องการเรียนรู็แบบท่องจำ การลงโทษอย่างรุนแรงเมื่อเด็กจำบทเรียนไม่ได้
การกีดกันเด็กยากจนเข้าโรงเรียน เขาเห็นด้วยกับรุสโซ
ที่ว่าการศึกษาต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
"เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านความสนใจ ความต้องการ
และวิธีการเรียนรู้" นับว่าเป็นผู้ริเริ่มความเชื่อเรื่องความพร้อมของเด็ก
ผ่านการดูและการให้การศึกษาในรูปของหลักสูตรบูรณาการ
อันนำไปสู่การพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม
จึงไม่ควรให้เด็กเรียนรู้ด้วยการท่องจำ
แต่ควรให้เด็กได้เรียนตามความสามารถเขา
เรียนจากประสบการณ์ตรงและการสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว
และให้เด็กได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มมากกว่าการสอนแบบตัวต่อตัวอย่างที่
ผ่านมา เพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจ และเรียนรู้ด้วยตนเอง
เขาเชื่อว่าโรงเรียนสามารถเสริมสร้างให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีจ่อตัวเอง
แต่ต้องทำด้วยความเมตตา ปกครองด้วยความรักเพราะความรักที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็ก
เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะชาววยให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของตนเอง ครูจึงควรสอนโดยให้เด็กได้เรียน
จากประสบการณ์ตรงจากการทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ทำงานบ้าน ล้างจาน
ร้องเพลง อ่านออกเสียงตามหนังสือ ได้เล่นของเล่น ฝึกหัดอาชีพ
ในการทำกิจกรรมต่างๆ
ที่ครูจัดให้นั้นเด็กจะต้องฝึกใช้การสังเกตการพิจารณาและการใช้ประสาทสัมผัส
จากการใช้ชีวิต ขาบอกว่า "การสอนในโรงเรียนที่แท้จริงนั้น
ไม่ต่างกับการสอนที่บ้านมากนัก
จะต่างกันตรงที่ว่าวงแห่งความสนใจกว้างกว่าเท่านั้น"
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
ชาลส์ ดาวิน
คือนักการศึกษาธรรมชาติชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี Natural Selection and
Survival of the Fittest
ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพัฒนาการของเด็กและการเลี้ยงดูเด็ก เขาเชื่อว่า
สัตว์ทุกชนิดจะมีลักษณะบางอย่างที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
พัฒนาการของเด็กจะเป้นไปตามแบบแผนเดิมตามวิวัฒนาการของแต่ละชนิดของสิ่งมี
ชีวิตแม้หลักการนี้พบว่าไม่เป็นจริงในภายหลัง
แต่ก็นัีบว่าเป็นจุดแรกเริ่มของการศึกษาเด็กด้วยการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก
อย่างละเอียดละออแต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่ม ของการแข่งขันในการเรียนรู้
เฟรดริค วิลเฮม ฟรอเบลล์
เป็นนักการศึกษา เป็นสถาปนิกชาวเยอรมัน
ผู้จัดตั้งโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกในประเทศเยอรมันนี
ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของการศึกษาอนุบาล เป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาปฐมวัย
และเป็นผู้วางแนวทางสอนแบบลงมือปฏิบัติจริง เขาเชื่อว่า
การศึกษานั้นมีมิติประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกันภายใน คือ กิจกรรม อารมณ์
และพุทธิปัญญา
เด็กเรียนรู้ด้วยผลการกระทำกิืจกรรมที่เกิดจากการกระทำจะก่อให้เกิดอารมณ์
และการตอบสนองทางจิตเพื่อสร้างแรงขับให้เด็ก
เฟอร์เบลล์เสนอว่าการจัดการเรียนรู้ให้เด็กไม่ใช่ต้องเริ่มต้นที่เด็กเท่า
นั้น
หากต้องเริ่มจากสิ่งที่เด็กทำได้ดีเพราะเด็กคือเมล็ดพันธุ์ที่ควรได้รับการ
ดูแลอย่างดี "เด็กๆ เปรียบเสมือนดอกไม้ดอกเล็กๆ
ที่มีความแตกต่างและต้องการการปกป้องดูแลเอาใจใส่
และดอกแต่ละดอกมีความสวยในแบบของเขาเอง
และมีความสนุกสนานเบิกบานเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน" เฟรอเบลล์
เป็นผู้เริ่มการศึกษาแบบเป็นทางการสำห���ับเด็ก
คือมีโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกเมื่อปี ค.ศ.1837 ชื่อ "kindergarten" แปลว่า
"สวนเด็ก" อันเริ่มมาจากการที่เขาได้รับการเสอนให้สอนเด็กๆในสวนแห่งหนึ่ง
ซึ่งนำไปสู่การเกิดแนวทางการสอนที่เรียกว่า "self activity"
หรือกิจกรรมที่เกิดจากตัวเด็กเองเพื่อนำไปสู่การให้เด็กเกิดความมั่นใจและ
ภูมิใจในตนเอง นั่นคือ เด็กควรเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมจากความสนใจของเด็ก
และควรมีโอกาสได้สำรวจสิ่งต่างๆที่ทำอย่างมีอิสระ คือจากการได้เล่น
มีของเล่น มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติและผู้คนรอบข้าง
และได่เรียนรู้จากครูที่ได้รับการฝึกมาเป็นครู
โดยบทบาทของครูเป็นเพีบงแต่ผู้แนะนำให้เกิดความคิด
จัดสรรวัสดุเพื่อการเรียนรู้มากกว่าสอน
เน้นให้เด็กได้ออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นเกม
ร้องเพลง ฝึกทำงานง่ายๆ ซึ่งเขาสร้างอุปกรณ์ที่เน้นการเรียนรู้
ผ่านการสัมผัสจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่ความเข้าใจในเรื่องที่เป็นนามธรรม
โดยเขาได้สร้างของเล่นเพื่อการศึกษา คือ ชุดของขวัญ ประกอบด้วย ไหมพรม
ไม้บล็อก วัสดุจากธรรมชาติ รูปทรงเรขาคณิต และชุดอาชีพ เป็นชุดกิจกรรมต่างๆ
เช่น การตัด การพับ การปั้น การเย็บปัก การร้อยลูกปัด
ซึ่งภายหลังมีอิทธิพลต่อการสร้างวัสดุเพื่อการศึกษาของมอนเตสซอรี่
ในต้นปี ค.ศ. 1999
มาเรีย มอนเตสซอรี่
เป็นแพทย์หญืงของแรกของอิตาลี
ที่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเด็กปฐมวัย
ด้วยวิธีการพัฒนาเด็กจากความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ โดยเริ่มจาก
การศึกษาเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองที่ประเทศอิตาลี
แล้วต่อมาจึงเริ่มสอนเด็กที่ศูนย์เลี้ยงในย่านยากจน เรียกว่า
"Children's House" ให่้กับพ่อแม่ที่ต้องไปทำงาน
มอนเตสซอรี่ใช้วิธีการสังเกตพฤติกรรมของเด็กแล้วนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า
การศึกษาเรื่มตั้งแต่แรกเกิด
และช่วงปฐมวัยคือช่วงที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาและการเติบโต
ความสงสัยใคร่รู้ทำให้เด็กเรียนรู้
และการเรียนรู้ที่ดีที่สุดมาจากการปฏิบัติ
เคลื่อนไหวอย่างตื่นตัวมากกว่าการนั่งเงียบๆ ฟังครูสอน
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเหมือนแนวคิดของดิวอี้
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานำไปสู่การวางแนวการศึกษาที่มให้ความสำคัญ
กับการเตรีบมเด็กให้มีพัฒนาการทางสติปัญญา จากการมีพื้นนิสัย
ที่ดีผ่านการมีทักษะจากการใช้ ประสาทสัมผัสกับสื่ออุปกรณ์
ที่มีการจรัดลำดับขั้นตอนเป็นขั้นย่อยๆ
ที่เด็กได้แก้ไขการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีการจัดเตรียมไว้สำหรับเด็ก เช่น
ขนาดของเครื่องใช้ เครื่องเรือนตามขนาดของร่างกายของเด็ก
เพราะเด็กชอบนั่งกับพื้นจึงควรมีเสื่อเล็กๆ
ให้เด็กนั่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงพื้นที่การทำงานของเด็ก
สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การเรียนรู้ตามความสามารถในการพัฒนาที่แตกต่างกันของ
เด็กแต่ละคน สุดท้ายการนำไปสู่การเกิดปัญญา โดยกล่าวว่า "มือ คือ
เส้นทางไปสู่การเรียนรู้ มือ คือ ครูที่สำคัญ"
เกิดเป็นแนวทางการศึกษาในปัจจุบันที่เรียกว่า "แนวการสอนแบบมอนเตสซอรี่"
รูดอล์ฟ สไตเนอร์
เป็นนักปรัชญานักสังคมวิทยา ศิลปิน นักคิดเพื่อพัฒนาสังคม
นักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และนักการศึกษาชาวเยอรมัน
เป็นผู้้ก่อตั้งแนวคิด
แห่งมนุษยปรัชญาและก่อจั้งโรงเรียนวอดอล์ฟขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
1 ที่เมืองสตุ๊ดการ์ด
ประเทศเยอรมณีเป็นโรงเรียนสำหรับลูกหลานของคนงานในโรงงานยาสูบ
โดยมีจุดประสงค์ของการศึกษาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ
จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นองค์รวมด้วยการเชื่อมโยง
ความรู้รอบด้านด้วยวิธีสัมผัสตรงกับธรรมชาติ
ให้เด็กได้มีความรู้สึกร่วมจากการริเริ่มมุ่งมั่นจั้งใจในการเรียนรู้
และการปฏิบัติจริงที่สอดรับกับศักบภาพเฉพาะของช่วงแต่ละวัย
และเน้นการให้ครูมองศิษย์ในฐานะมนุษย์
อันประกอบด้วยร่างกายและจิตใจและจิตวิญญาณที่มีความแตกต่าง
กาารรู้จักเด็กให้ถึงลักษณะเฉพาะบของเด็กแต่ละคน ให้มากที่สุด
สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาวอลดอร์ฟ
จอห์น ดิวอื้
เป็นนักปรัชญาชาวอเมริกัน
ในสมัยนั้นการเรียนส่วนใหญ่ของเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกา มีลักษณะ คือ
ให้เด็กนั่งเรียนแบบเงียบๆ และเชื่อฟังครู คอยรับแต่สิ่งที่ครูบอกว่า
ควรรู้อะไร จึงเน้นการจำเป็นหลัก
แต่ดิวอี้เป็นนักการศึกษาผู้หนึ่งที่ลุกขึ้นมาชี้ว่า
โรงเรียนควรเป็นชุมชนแห่งความร่วมมือ
"จิตวิญญาณแห่งอิสรภาพและความเคารพซึ่งกันและกัน"
ที่ซึ่งไม่มีการบังคับเพื่อที่จะยัดเยียดวินัยแต่ให้วิวัฒนาการมาจาก
การมีส่วนร่สวมอย่างเป็นประชาธิปไตยในหมู่ครูและศิษย์ ที่จะเรียนรู้
ที่จะอยู่เพื่อทำงานร่วมกัน แนวคิดสำคัญของ ดิวอี้ คือ
การเรียนรู้จากการกระทำ
ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางจากการทำจริงในสถานการณ์จริงโดยใช้สื่อจริงตาม
ธรรมชาติที่มีอยู่ เขาเริ่มโรงเรียนเป็นแบบห้องทดลอง
ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อทดลองทฤษฎีทั้งหลายของเขาในเมืองชิคาโก เน้่นใน
"งานอาชีพ" ที่ปฏิบัติได้ ทักษะการแก้ปัญหา ภาษา
และความเข้าใจในเรื่องคณิตศาสตร์จะถูกพัฒนาในการเรียนการสอน
ผ่านประสบการณ์จากการสำรวจ และเรียนรู้จากทั้งในและนอกห้องเรียน
แม่แต่การจัดห้องเรียนเปลี่ยนจากการนั่งเรียนเป็นแถว
เป็นการใช้โต๊ะเก้าอี้ที่สามารถเคลื่อนไปตามที่ต่างๆได้
พื่อสะดวกต่อการทำงานกลุ่ม ซึ่งต่อมาแนวคิดดังกล่าว มีอิทธิพลต่อระบบ
การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
จี สแตนลีย์ ฮอลล์
นักจิตวิทยาและนักการศึกษาชาวอเมริกัน
ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดเรื่องชีววิทยา ของ ดาร์วิน
และได้ทำงานร่วมกับนักเรียนของดาร์วิน คิอ อาร์โนลด์ กีเซลล์
เพื่อพัฒนาทฤษฎีวิิวัฒนาการในเรื่องที่ว่า
พัฒนาการของเด็กเป็นเรื่องที่การเกิดและการเจริญเติบโตเป็นไปได้โดย
อัตโนมัติ โดยใช้วิธีการศึกษาเกณฑ์ผ่านมาตรฐาน
เมื่อย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 20
ซิกมัน ฟรอยด์
เป็นนักจิตวิทยาชาวออสเตรเลีย ในช่วงศตวรรษที่ 19
ในขณะที่แนวคิดด้านกระบวรการคิดของเพียเจท์เป็นที่นิยมในหมู่นักการศึกษา
ฟรอยด์ ตังข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกระบวนการคิดจากกรณีที่น่าสนใจ
ของคนไข้ที่เป็นโรคจิตประสาทซึ่งต่อมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์
การได้พบกับคนไข้ของฟรอยด์
พยายามหาคำตอบที่แตกต่างไปจากทฤษฎีประสาทวิทยาที่มีอยู่ขณะนั้นและนำไปสู่
การสร้างขั้นของการพัฒนาการที่มีผลต่อการสร้างบุคลิกภาพขั้นพื้นฐาน
โดยเขาอธิบายว่า เด็กทารกและเด็กในวัยเตาะแตะ
เป็นบุคคลที่มีบุคลิกเฉพาะตัวซึ่งประสบการณ์ในช่วงต้นของเด็กในวัยนี้
จะเป็นตัวก่อร่างพื้นฐานในเรื่องการเข้าใจตนเอง ความรู้สึกดี
ความภูมิใจตนเอง และบุคลิกภาพในภายหลัง
เด็กจึงต้องการการช่วยเหลือด้วยความละเอียดอ่อน ในการเติมเต็มอารมณ์
ความรู้สึก ในแต่ละขั้น เช่น เด็กวัยแรกเกิดถึงหนึ่งปี คือขั้น oral
stage อันเป็นวัยของการสำรวจโโยใช้ปาก ช่วง 1 - 3 ปี
เป็นช่วงที่เด็กให้ความสนใจกับเรื่องการขับถ่าย ส่วนวัย 3 - 6 ปี
เป็นช่วงของการแบ่งแยกลักษณะที่ชัดเจนของเพศหญิง ชาย
ผู้ใหญ่จึงควรช่วยเด็กในการแสดงออกของอารมณ์ทางลบในทางที่เหมาะสม
จอง เพียเจท์ นักจิตวิทยาชาวสวิส
ทีี่มีอิทธิพลอย่างสูงเกี่ยวกับพัฒนาการและการดูแลเด็ก
ในช่วงของต้นศตวรรษที่ 19
เพียเจท์ได้ทำงานที่ศูนย์ทดสอบจิตวิทยาที่ประเทศฝรั่งเศสที่ทำให้เขาเริ่ม
สงสัยเกี่ยวกับกระบวนการการคิดของเด็กที่ทำไมเด็กๆจึงมีคำตอบที่ผิดอย่างม่ำ
เสมอ เมื่อถูกตั้งคำถามซึ่งเขาไม่คิดว่าเด็กเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีวุฒิภาวะ
หนฃรือผู้ใหญ่ที่โง่เขลา
แต่เด็กมีวิธีการตามลักษณะของตนเองในการนำเสนอเกี่ยวกับโลก
โดยเด็กจะสร้างความรู้ของตนเองขึ้นมาและจัดระเบียบความรู้เหล่านั้นไปกับ
การพัฒนาโครงสร้างจากการตีความ โดยพวกเขาเอง เช่น
เด็กจะพบกับความยากลำบากในการทำความเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ปริมาณหรือ
จำนวนแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนโครงร่างการแสดงจำนวนของสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้
เห็น
และมักจะสับสนกับเรื่องของเวลาและความเร็วหรือแม้แต่ในมุมมองของทางด้าน
คุณธรรมก็จะมองต่างออกไป เช่น
เด็กจะมองที่ปริมาณของความเสียหายที่เกิดจากการกระทำมากกว่าความตั้งใจของ
ผู้กระทำ
ความสงสัยนี้นำไปสู่การศึกษษระยะยาวถึงพัฒนาการการเติบโตทางความคิดของเด็ก
และก่อร่างทฤษฎีว่าด้วยขั้นตอนของการพัฒนาการในการคิดของเด็ก
ในระยะต่อมาเกิดแนวคิดใหม่คือ
กลุ่มปฏิวัติทางปัญญา เป็นกลุ่มที่เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีความคิด
มีภาพในใจ และภาษาที่หล่ากหลายในจิตใจและสมอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นจริงและสำคัญมาก
เป็นการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์แต่ถูกนำมาปรับเปลี่ยนอีกทีโดยนักการศึกษา
แตาในความเป็นจริง
การเกิดขึ้นในเรื่องนี้กลับถูกไปใช้เป็นพื้นฐานการใช้พลังจากเครื่องจักร
มากกว่าเป็นการคิดกับมนุษย์ เห็นได้จากการเกิดคอมพิวเตอร์
ที่ไม่ใช่แค่ใช้คิดเลขเร็วแต่ให้สามารถเล่นหมากรุก
หรือแก้ปัญหาในเชิงตรรก
ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วในมนุษย์เป็นอย่าสงไรนำมาสู่การเกิดการปฏิวัติความ
คิดจากทฤษฎีจิตวิทยา 2 กลุ่มที่มีมาก่อน ในสาขาจิตวิทยา เกิดมี 2
ลักษณะ คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มพฤติกรรมนิยม
พบในรัสเซียกับอเมริกา เป็นกลุ่มที่สนใจทางด้านพฆติกรรม
ว่าในการเข้าใจมนุษย์นั้น ควรดูจากการกระทำทำประจักษ์ได้
ที่สามารถสังเกตได้จากภายนอก และวัดผลได้อย่างน่าเชื่อถภือ
กลุ่มนี้จะศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตได้จริง
ไม่ใช่พฤติกรรมแอบแฝงหรือปฏิกิริยาที่มีลักษณะเป็นความนึกคิด เช่น
"แบนดูรา" ผู้วางพื้นฐานการเรียนรู้โดยการสังเกต
ที่สามารถเกิดขึ้นกับเด็กได้ตลอดเวลา หรือ "สกินเนอร์"
นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้สร้างฟฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ คือ
การกระทำใดใด ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก
ส่วนการกระทำที่ไม่มีการเสริมแรงแนวโน้มที่ความถี่ของการกระทำนั้นๆ
จะลดลงและหายในที่สุด ดังนั้การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก
ครูควรที่จะรู้วิธีการให้การเสริมแรงผ่านการทำเป็นตัวอย่างที่เหมาะสม
เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองที่เหมาะสมกับเด็ก
สกินเนอร์ยังเน้นในเรื่องการเสริมแรงที่สำคัญรองลงมา เช่น การกอด
การให้ดาว การชม การยอมรับ เพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จ
และต้องมีการจัดสถานการณ์ให้เกิดการตอบสนองโดยคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละ
คน แต่ถ้่าต้องการเลิกพฤติกรรมให้ใช้วิธีลงโทษ หรือเมินเฉย
หรือถ้าเป็นพฤติกรรมที่มีความซับซ้อนให้หยุดการให้รางวัลซึ่งจะทำให้
พฤติกรรมนั้นค่อยๆหยุดไป
กลุ่มที่ 2 อัลเฟร็ด บิเนท์
ชาวฝรั่งเศสเป็นคนแรกที่สร้าง intelligent test เขากล่าวว่า
การทดสอบควรมีการจัดการอย่างไม่เป็นทางการ
ความฉลาดของเด็กจะดีขึ้นได้ถ้าได้รับการอบรมด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนเพื่อ
ศึกษาดูว่าเด็กคนไหนพบความยากลำบากในโรงเรียน
คนไหนประสบความสำเร็จตามฐานความคิดเรื่อง ไอคิว
กลุ่มนี้ให้คำกำจัดความคำว่า
ปัญญาเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดซึ่งสามารถเปลี่ยนได้เมื่อมีวุฒิภาวะ
สูงขึ้น จากการมีประสบการณ์ จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่ออื่น
ในศตวรรษนี้ได้เกิดมีทฤษฎีใหม่ๆ
งานวิจัยเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กเล็กทฤษฎีระบบชีววิทยา
แขนงที่ว่าด้วความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่อกันเองและต่อสิ่งแวดล้อม และ
ทฤษฎีระบบชีววิทยาแขนงที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่อตัวเองและ
ต่อสิ่งแวดล้อม ที่พัฒนาโดย Urie Bronfenbrenner
นักจิตวิทยาชาวอเดมริกันที่เขาคิดว่ามีโครงสร้าง 4
แบบที่มีรผลต่อพัฒนาการของเด็ก คือ ไมโครซิสเต็ม คือ
รูปแบบของปฏิสัมพันธ์ที่มีทันทีต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
และอิทธิพลของเด็กที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยทันที ส่วนที่ 2 คือ
เมโซซิสเต็ม คือ อิทธิพลในระดับถัดไป เช่น โรงเรียน เพื่อนบ้าน
สถานรับเลี้ยงเด็ก วัฒนธรรมท้องถิ่นและชุมชน อิทธิพลในระดับที่ 3 คือ
เอ๊กโซซิสเต็ม รวมถึงอิทธิพลที่เด็กไม่ได้เกี่ยวพันโดยตรง
แต่มีผลต่อพัฒนาการเลี้ยงดู เช่น การศึกษาของพ่อแม่ ที่ทำงานของพ่อแม่
สุขภาพ บริการในสังคม และอิทธิพลในระดับที่ 4 คือ มาโครซิสเต็ม
ประกอบด้วย ค่านิยม กฏหมาย แหล่งทรัพยากร วัฒนธรรมที่เด็กถูกเลี้ยงมา
กลุ่ม Sociaocultural Theory
นำโดยนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ชื่อ ไวสกอฟกี้
เขาเริ่มมีความสนใจในเรื่องการศึกษาในช่วงของการปฏิรูปในประเทศรัสเซีย
โดยเขามีความหวังที่จะสร้างความเข้าใจใหม่ในอันที่จะแก้ปัญหาการศึกษาและ
สังคมในช่วงนั้น โดยตั้งข้อสันนิษฐานว่า
พัฒนาการของเด็กมีผลมาจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อมใน
สังคม เช่น พ่อแม่ ครู พี่น้อง เพื่อนเล่น และเพื่อนในชั้นเรียน
รวมทั้งการได้มีกับสิ่งอื่นๆ เช่น หนังสือ ของเล่น
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เด็กทำที่บ้านในห้องเรียน หรือในสนามเด็กเล่น
ดังนั้นการเรียนรู้นำไปสู่การเกิดพัฒนาการ นั่นคือ
เด็กเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ
และแก้ปัญหาได้จากการสนับสนุนของผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีทักษะสูงกว่าซึ่ง
สำหรับเด็กแล้วการเบ่นนำไปสู่การเรียนรู้สูงสุด แม้ว่า ไวสกอฟกี้
จะเกิดในช่วงปีเดียวกับ เพียเจท์
แต่แนวคิดของเขายังไม่เป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกาเป็นช่วงเวลานานจนกระ
ทั่งเริ���มมีการแปลความคิดของเขาเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1970
หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ซึ่งปรากฏว่าความคิดของเขากลายเป็นที่นิยมทั้งในวงการจิตวิทยาและการศึกษา
ในระยะต่อมา
ภาพรวมของการพัฒนาแนวคิดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางตะวันตกตามที่กล่าว
มาข้างต้น แนวคิดในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กเล็กในระดับอนุบาลนั้น
เริ่มแรกของการให้การศึกษากับเด็กเล็กตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
ยังเป็นการเลี้งดูโดยครอบครัวที่มีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่
เด็กจึงได้รับการอบรมสั่งสอนจากทั้งญาติพี่น้องและพ่อแม่
จึงนับเป็นการศึกษาแบบไม่เป็นทางการ
และการเรียนขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้เรียน จนสมัยกรุงศรีอยุธยา
กรุงธนบุรี จนถึงกรุงรนัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 - 4 )
เด็กที่จะได้รับการศึกษาในระดับปฐมวัยจะเป็นกลุ่มเชื้อพระวงศ์ที่จะเรีนใน
พระบรมมหาราชวังกับราชบัณฑิตหรือกลุ่มเด็กของครอบครัวที่มีฐานะดีจะมีครูมา
สอนที่บ้าน ส่วนเด็กที่มาจากครอบครัวบุคคลทั่วไปจะถูกนำไปฝากเรีนที่วัด
แต่เด็กผู้หญิงจะยังไม่มีโอกาสได้เรียน
ยกเว้นเด็กที่พ่อแม่ไปฝากไว้ในวังหรือตามบ้านเจ้านายเพื่อฝึกความเป็น
กุลสตรีและงานอาชีพ
จนมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน เช่น การคุกคามจากจักรวรรดินิยม
การค้าขายกับต่างชาติทำให้มีการเผยแพร่ความรู้วิทยากรต่างๆตามแบบตะวันตก
และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก
กลับมาเป็นผู้นำในการพัฒนาบ้านเมือง
รวมทั้งนักเรียนไทยเดินทางไปศึกษาวิชาการต่างๆ
จากต่างประเทศก็ได้นำแนวคิดของทางตะวันตกมาพัฒนาบ้านเมือง
ปัจจัยด้านการเลิกทาสและระบบไพร่ทำให้ราษฎรจำนวนมากต้องทำมาหาเลี้ยงชีพเอง
จึงจำเป็นต้องมีความรู้เพื่อดำรงชีพและเกิดความต้องการเข้ารับราชการ
เนื่องจากมีการปรับปรุงการปกครองและการบริหารส่วนกลางที่ต้องการข้าราชการ
ไปปฏิบัติงานตามหัวเมืองต่างๆนำไปสู่การปรับปรุงการศึกษาในทุกระดับชั้น
แม้แต่การศึกษาปฐมวัยก็เริ่มมีการศึกษาที่มีระเบียบแบบแผนมากขึ้น
ในสมัยเริ่มต้น เรียกว่า "โรงเลี้ยงเด็ก" ในปีพ.ศ.2466
นับเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งแรกในประเทศไทยโดยดำริของพระอัครชายาเธอ
พระองค์เจ้าสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ในรัชกาลที่ 5
ซึ่งสูญเสียพระธิดาไปตั้งแต่ยังเยาว์
จึงมีพระราชดำริที่จะช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส อันได้แก่ เด็กกำพร้า
เด็กยากจน และเด็กเร่ร่อนให้ได้เข้ามาได้รับการศึกษาในโรงเรี้ยงเด็ก
โรงเลี้ยงเด็กแห่งนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงเป็นผู้จัดการคนแรก
โดยเนื้อหาที่เรียนเน้นด้านความรู้ทั้งทางด้านวิชาการและวิชาชีพ เช่น
อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น รู้จักรักษาอิริยาบถ หุงข้าว ต้มแกงเป็น
ขึ้นต้นไม้เป็น ว่ายน้ำเป็น ปลูกทับกระท่อมที่อยู่เป็น ปลูกต้นไม้
เลี้ยงสัตว์ นอกเหนือจากการก่อตั้งโรงเลี้ยงเด็กแล้ว
โโได้รับแนวคิดตามแบบตะวันตกของเฟรอเบลและมอนเตสซอรี่
อันนับเป็นแนวความคิดแบบ ตะวันตกแบบแรกที่เข้ามาในประเทศไทย
ในรัชสมัยนี้ยังมีการจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบโรงเรียน คือ
มีการจัดตั้งโรงเรียนราชกุมารและโรงเรียนราชกุมารีสำหรับเชื้อพระวงศื
นับเป็นสถานศึกษาปฐมวัยแห่งแรกที่เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการอย่างมีระบบ
โดเน้นวิธีการสอนแบบเรีนปนเล่น เน้นการลงมือทำกิจกรรม
ต่อมาหน่วยงานรัฐเริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษากับคนทั่วไป
นอกเหนือจากเชื้อพระวงศ์
จึงเริ่มมีแนวคิดแบ่งระดับการศึกษาแบบทรงเจดีย์โดได้เพิ่มการสอนในรดับมูล
ศึกษาอันเป็นหลักฐานเบื้องต้นของการศึกษา
ในระดับสามัญศึกษาเป็นระดับก่อนประถมศึกษาที่มีพระสงฆ์เป็นผู้สอนเน้นการ
อ่านออกเขียนได้ และจริยธรรม
ซึ่งนับว่าตั้งแต่นั้นมาแนวคิดทางตะวันตกก็เริ่มเข้ามามีผลต่อการศึกษาไทย
อย่างไรก็ตามดูเหใือนว่า ความคาดหวังสำหรับเด็กโลกสมัยปี 2000
จะดูต่างไปจากโลกของเด็กในยุคก่อนๆ เช่น มีหลาคนคิดว่าในช่วง 7 ปี
แรกของชีวิตเด็กนั้นเราควรจะต้องสอนเด็กตลอดเวลาให้รู้จักตัวหนังสือ
ควรที่จะสามารถอ่านออกเขียนได้ มีแนวคิดว่าควรมีทักษะคณิตศาสตร์
หรือรู้จักใช้เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์เพื่อให้ทันกับกระแสโลก
ในขณะเดียวกัน การเรียนการสอนเบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง อันเป็นนวคิดจาก
จอห์น ดิวอี้ ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการเผยแพร่เรื่องนี้
ที่เน้นในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กแบบองค์รวม
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอีกครั้งในปี พ.ศ.2533
แนวคิดในเรื่องนี้ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม จนประมาณปี พ.ศ.2538
เมื่อเริ่มมีการปฏิรูปทางการเมืองขึ้น
วงการการศึกษาก็ได้มีการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการศึกษาขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งส่งผลทำให้มีพระราชบัญญัติการศึกษาเกิดขึ้น โดยเฉพาะที่กำหนดในมาตรา
22 ที่ให้ครูจัดการเรียนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
เป็นการเรียนรู้ที่ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ
ของแต่ละคน เปลี่นแนวจากการเรีนการสอนแบบบรรยาย
มาเป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม
โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงการ กระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด
วิเคราะห์และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยครูทำหน้าที่เป็นเพียงที่ปรึกษา
และคอยเพิ่มเติมในส่วนที่เด็กยังขาดหรือต้องการความช่วยเหลือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น