BBL
คืออะไร
BBL (Brain-based Learning)
คือการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย
เป็นการนำองค์ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้
โดยมีที่มาจากศาสตร์การเรียนรู้ 2
สาขาคือ
·
ความรู้ทางประสาทวิทยา (Neurosciences)
ซึ่งอธิบายที่มาของความคิดและจิตใจของมนุษย์
โดยเฉพาะในด้านที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับทักษะการเรียนรู้ อันได้แก่
ความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ ความเข้าใจ และความชำนาญ
โดยผ่านทฤษฎีว่าด้วยการทำงานของสมองเป็นสำคัญ
·
แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning
Theories) ต่างๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้ของสมองมนุษย์
และกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นและมีพัฒนาการอย่างไร
การบูรณาการองค์ความรู้ทั้ง
2
สาขาเข้าด้วยกันทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตั้งอยู่บนฐานของการพิจารณาว่าปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้สมองมีการเปลี่ยนแปลง
สมองมีปฏิกิริยาตอบรับต่อการเรียนการสอนแบบใด และอย่างไร
ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่การจัดกิจกรรมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
การจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
และที่สำคัญคือการออกแบบและใช้เครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ต่างๆ
โดยเน้นว่าต้องทำให้ผู้เรียนสนใจ เกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจ
และการจดจำตามมา และนำไปสู่ความสามารถในการใช้เหตุผล
เข้าใจความเชื่อมโยงสัมพันธ์ในทุกมิติของชีวิต
รู้จักสมองของเรา
สมองที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะของเรามีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมคว่ำ
มีแกนตรงกลางยื่นยาวออกมาจากครึ่งทรงกลมด้านล่างลงไปถึงท้ายทอย
เรียกว่า ก้านสมอง
(brainstem)ส่วนที่ยื่นต่อลงมาจากท้ายทอย
ทอดตัวเป็นลำยาวภายในช่องตลอดแนวกระดูกสันหลัง เรียกว่า ไขสันหลัง
(spinal cord)

สมองส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนรู้ คือส่วนครึ่งวงกลมที่อยู่ภายในครึ่งบนของกะโหลกศีรษะ มีชื่อเรียกว่า ซีรีบรัม (cerebrum) หรือ สมองใหญ่ ที่ด้านบนกลางกระหม่อมมีร่องใหญ่มากแบ่งครึ่งวงกลมเป็น 2 ซีก จากด้านหน้าไปด้านหลัง ทำให้สมองแยกเป็น 2 ซีก (2 hemispheres) ด้านซ้ายและด้านขวายึดโยงกันด้วย คอร์ปัสแคลโลซัม (corpus callosum)ซึ่งเป็นกลุ่มใยประสาทที่เชื่อมโยงการทำงานของสมองสองซีกเข้าด้วยกัน เมื่อมองจากลักษณะภายนอกของสมอง จะเห็นพื้นผิวเป็นหยักลอน เราเรียกพื้นผิวชั้นบนสุดที่ครอบคลุมสมองใหญ่นี้ว่า ผิวสมอง หรือ เปลือกสมอง(cerebral cortex)ซึ่งการ
เรียนรู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนสมองนี้ สมองใหญ่แต่ละซีกแบ่งเป็น
4ส่วน คือ
·
สมองส่วนหน้า (frontal
lobe)ทำงานเกี่ยวกับการตัดสินใจ เหตุผล วางแผน
และควบคุมการเคลื่อนไหว
·
สมองส่วนหลังกระหม่อม (parietal
lobe)ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ความรู้สึกสัมผัสและรับรู้ตำแหน่งของร่างกายส่วนต่างๆ
รวมทั้งนำการรับรู้ในส่วนนี้ประสานกับการรับรู้ภาพและเสียง
·
สมองส่วนหลัง(occipital
lobe)ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ภาพ
·
สมองส่วนขมับ(temporal
lobe)ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ เสียง ความจำ การตีความ
ภาษา
ลึกลงไปใต้ส่วนที่เป็นผิวสมอง (cerebral
cortex)ยังมีกลุ่มเซลสมองหลายกลุ่มที่มีหน้าที่สำคัญต่อการเรียนรู้
กลุ่มเซลเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณอารมณ์
มีบทบาทสำคัญต่อการจำ การรับรู้ประสบการณ์อารมณ์
และควบคุมกลไกของร่างกายเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์
เรียกระบบสมองส่วนนี้ว่า ระบบลิมบิก(limbic
system)หรือสมองส่วนลิมบิก
ประกอบด้วยสมองส่วนต่างๆเช่น
ประกอบด้วยสมองส่วนต่างๆเช่น
·
ทาลามัส(thalamus)เป็นชุมทางสัญญาณ
คัดกรองและส่งสัญญาณไปยังผิวสมองและส่วนต่างๆ
ของสมอง
·
ไฮโปทาลามัส(hypothalamus)เป็นเสมือนศูนย์ควบคุมปฏิบัติการรับข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาวะภายในร่างกาย
และทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของระบบในร่างกายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
·
ฮิปโปแคมปัส
(hippocampus)เป็นส่วนของผิวสมองส่วนขมับด้านในที่ม้วนเข้าไปกลายเป็นส่วนที่อยู่ใต้ผิวสมอง
มีส่วนสำคัญต่อการ เชื่อมโยงความจำ
และสร้างความจำระยะยาว
อะมิกดาลา
(amygdala)เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการประเมินข้อมูลจากประสาทรับรู้ต่างๆ
ของสมองบริเวณคอร์ติคัล คอร์เท็กซื (cortical
cortex)กับการแสดงออกด้านพฤติกรรมของอารมณ์ต่างๆ
นอกจากนี้อะมิกดาลายังมีส่วนสำคัญในการรับรู้สิ่งที่เป็น
·
อันตราย กระตุ้นให้ร่างกายมีการตื่นตัวพร้อมที่จะรับมือต่อสิ่งนั้น
(สู้ หรือ หนี)

สมองส่วนรับสัญญาณอารมณ์
เป็นจุดคัดกรองและส่งผ่านข้อมูลไปยังส่วนต่างๆ ของก้านสมอง
อารมณ์จึงมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้อย่างเห็นได้ชัด
แกนกลางที่ยื่นต่อจากส่วนชั้นใต้ผิวสมองลงมา คือ ก้านสมอง(brainstem)เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับสมองกับไขสันหลัง ภายในก้านสมองประกอยด้วยใยประสาททั้งหมดที่ติดต่อระหว่างสมองส่วนต่างๆ ไปยังไขสันหลัง ขณะเดียวกันก็ประกอบด้วยกลุ่มเซลสมองที่ควบคุมการหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจ ศูนย์สัญญาณกระตุ้นการทำงานของสมอง ควบคุมการหลับการตื่น กลุ่มประสาทที่ควบคุมบังคับตาและใบหน้าในการตอบรับต่อเสียงและการเคลื่อนไหว มีเซลประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้า ลิ้น การพูด การกลืน ฯลฯ
บนก้านสมองบริเวณใกล้ทายทอยมีโครงสร้างที่สำคัญของสมองอีกส่วนหนึ่ง
คือ สมองน้อย(cerebellum)
ดูจากภายนอกจะเห็นว่าสมองส่วนนี้อยู่ใต้สมองใหญ่
สมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมประสานการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
ของร่างกาย รักษาสมดุลของท่าทาง ควบคุมการเคลื่อนไหว
จดจำแบบแผนการประสานงานของกล้ามเนื้อเล็กใหญ่ในทักษะการเคลื่อนไหวต่างๆ
ที่เกิดจากการเรียนรู้
โดยการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นโดยสมองน้อยทำงานประสานกับสมองใหญ่

สมองส่วนต่างๆ
ทำงานสอดประสานกันอย่างซับซ้อนและปราณีตจนเกิดเป็น
“วงจรมหัศจรรย์แห่งการเรียนรู้”
สมองและระบบประสาททำงานอย่างไร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิวัฒน์ แต่งอักษร
เอกสารประกอบการอบรมเรื่อง Brain – based Learning
เซลประสาท(Neuron) :
องค์ประกอบ โครงสร้างและหน้าที่
ระบบสมองและประสาทของมนุษย์ประกอบด้วยเซลประสาทจำนวนแสนล้านเซล
แต่ละเซลมีความสามารถในการสร้างและส่งสัญญาณประสาท
เซลประสาทแต่ละเซลได้มีการรวมตัวกันสร้างวงจรซึ่งมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง
การที่เรามีการเรียนรู้และสร้างความจำ ความรู้สึกและอารมณ์
การเคลื่อนไหว การพูด การรับรู้โลกรอบตัวเรา
และกิจกรรมต่างๆในชีวิตทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพื้นฐานของเซลประสาทและลักษณะของการเชื่อมต่อกันของวงจรเซลประสาท
ในสมองและระบบประสาท ยังมีเซลอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า
เกลียลเซล (Glial cell)
ซึ่งเป็นเซลพี่เลี้ยงให้เซลประสาท โดยให้อาหารและกำจัดของเสีย
ช่วยแยกเซลประสาทนั้นๆออกจากเซลประสาทอื่นๆ
นอกจากนั้นยังจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและเคมีที่จำเป็น
เกลียลเซลบางกลุ่มสร้างเยื่อหุ้มไขมันเส้นประสาทซึ่งเรียกว่า
เยื่อหุ้มไมอีลิน
เยื่อหุ้มไมอีลินนี้ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเร็วขึ้น
โครงสร้างของเซลประสาท
เซลประสาทเมื่อแบ่งตามรูปร่างและขนาดมีประมาณ ๒๐๐
กว่าชนิด โครงสร้างเฉพาะของเซลประสาทเป็นตัวกำหนดหน้าที่ต่างๆ
เมื่อแบ่งตามหน้าที่ เซลประสาทจะถูกแบ่งออกเป็น ๓
กลุ่มดังนี้
·
เซลประสาทรับรู้ความรู้สึก (Sensory
Neurons)
ทำหน้าที่รับกระแสและส่งสัญญาณประสาทจากอวัยวะต่างๆ
ซึ่งตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ได้แก่ แสง เสียง
อุณหภูมิ ความดัน
เมื่อถูกกระตุ้นแล้วจึงเกิดกระบวนการรับรู้ต่อแสง เสียง รส กลิ่น
และสัมผัส
·
เซลประสาทสั่งการ (Motor Neurons)
เป็นเซลประสาทที่เชื่อมต่อไปยังกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย
ก่อให้เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อโดยทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว
·
เซลประสาทตัวเชื่อม (Inter Neurons)
เป็นเซลประสาทที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมเซลประสาทเซลหนึ่งไปยังเซลประสาทอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น
การเชื่อมเซลประสาทรับรู้ความรู้สึกกับเซลประสาทสั่งการ
หรือการเชื่อมเซลประสาทตัวเชื่อม ๒ เซล
เซลประเภทนี้เป็นเซลที่เชื่อมกิจกรรมของสมองไปยังกิจกรรมของร่างกาย
ถึงแม้ว่าเซลประสาท (รูปที่
๑) จะมีความแตกต่างในรูปร่างและหน้าที่
แต่มีองค์ประกอบพื้นฐานที่ไม่แตกต่างกันคือ
มีตัวเซลซึ่งทำหน้าที่สร้างพลังงานที่จำเป็นต่อการทำหน้าที่เซลประสาทจะมีแขนงที่แตกออกไป
เรียกว่า เด็นไดรท์ (Dendrite)
เด็นไดรท์
เป็นทางเข้าของสัญญาณประสาทโดยมีหน้าที่รับสัญญาณจากเซลอื่นๆ
เมื่อถูกกระตุ้นจนถึงระดับแล้วก็จะเกิดการส่งต่อไปยังเส้นประสาทอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า
แอ็กซอน (Axon)
ซึ่งเป็นทางออกของสัญญาณประสาทณที่สุดปลายเส้นประสาทมีส่วนที่เรียกว่า
แถบปลายประสาท ส่วนนี้จะทำหน้าที่เชื่อมสัญญาณประสาทกับเซลประสาทอื่นๆ
โดยปกติ
สัญญาณประสาทจะผ่านเข้าที่เด็นไดรท์ แล้วส่งไปยังแอ็กซอน
ผ่านแถบปลายประสาทแล้วเข้าเด็นไดรท์ของอีกเซลหนึ่ง
ซึ่งเป็นการส่งในระบบปกติ
ทั้งนี้จะมีการส่งสัญญาณประสาทที่ไม่ปกติได้
โดยส่งจากเด็นไดรท์ไปยังเด็นไดรท์
เด็นไดรท์ไปยังตัวเซลประสาท
หรือแม้กระทั่งจากแอ็กซอนไปยังแอ็กซอนโดยส่งสัญญาณประสาทไปยังเซลประสาทที่สามอย่างรวดเร็ว
สมองและระบบประสาททำงานอย่างไร -
ความสําคัญของโครงข่ายประสาท
ความสําคัญของโครงข่ายประสาท
สมองของมนุษย์ประกอบด้วยเซลสมองประมาณอย่างน้อย ๕
หมื่นล้านถึง ๑ แสนล้านเซล เซลประสาทหนึ่งเซลสามารถมีจุดเชื่อมถึง
๘๐,๐๐๐
จุดกับเซลประสาทอื่นๆ ดังนั้นจำนวนจุดเชื่อมทั้งสิ้นอาจมีถึง
๑๐๑๕ ตำแหน่ง
วงจรอันซับซ้อนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในก่อให้เกิดพลังในความคิด
ความจำและเหตุผล
การเชื่อมต่อของวงจรประสาทนี้ได้รับการพิสูจน์ในสัตว์ทดลองจำพวกหนู
หนูอายุน้อยที่อยู่ในกรงซึ่งมีสภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อน ได้แก่
การจัดวางสิ่งของใหม่ๆทุกวันในกรง
จะมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็วกว่าหนูที่อยู่ในกรงเปล่า
นอกจากนี้ผลวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนที่เรียนได้รวดเร็วนั้นมีขนาดของเซลสมองที่ใหญ่กว่า
และจุดเชื่อมต่อที่มากกว่าของผู้เรียนที่ช้า
จึงสามารถสรุปในเบื้องต้นได้ว่า สภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อนบริบูรณ์
และเหมาะสมสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวงจร
และโครงข่ายของเซลประสาทและยังเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้
แนวคิดนี้จะถูกกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาที่เราพูดถึงบทบาทของสมองต่อพฤติกรรมการเรียนรู้
อาจกล่าวได้ว่าการสร้างวงจรโครงข่ายเซลประสาทนั้นเป็นผลมาจากทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
การเชื่อมโยงโครงข่ายประสาทชนิดใดจะถูกกำหนดโดยปัจจัยหลากหลาย
โครงข่ายเซลประสาทเหล่านี้เป็นรากฐานของความสามารถของมนุษย์ในการคิด
การพูด การรับรู้ การใช้เหตุผล ความจำ อารมณ์ความรู้สึก สติสัมปชัญญะ
ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป
เซลประสาทรับและส่งสัญญาณประสาทอย่างไร
สัญญาณไฟฟ้าของเซลประสาท
เซลประสาทก็เหมือนเซลทั่วไปที่มีประจุไฟฟ้าอยู่ภายในผนังเม็มเบรน
ประจุไฟฟ้านี้ถูกกำหนดโดยอิออนชนิดต่างๆ
ผนังเม็มเบรนของเซลประสาทยอมให้อิออนบางชนิดผ่านเข้าออกได้สะดวก
เมื่อเซลประสาทอยู่ในสภาพพัก
โซเดียมอิออนซึ่งเป็นประจุบวกจะอยู่ภายนอกเซล
ส่วนโปตัสเซียมอิออนซึ่งเป็นประจุบวกเช่นกันแต่อยู่ภายในผนังเม็มเบรน
จะเคลื่อนตัวออกจากภายในเซล
เมื่อถึงจุดสมดุลโปตัสเซียมจะหยุดเคลื่อนตัว
และเหลือประจุลบภายในเซลมากกว่านอกเซล สภาพนี้เรียกว่า
ศักย์ไฟฟ้าขณะพัก (Resting
Potential) สภาพดังกล่าวเป็นสภาวะชั่วคราว
เพราะจะถูกกระตุ้นโดยเซลประสาทอื่นๆ การกระตุ้นจะเกิดที่แอ็กซอน
โดยโซเดียมอิออน ซึ่งเป็นประจุบวกจะไหลเข้าเซล สภาพนี้เรียกว่า
ศักย์ไฟฟ้าขณะกระตุ้น (Action Potential)
ลักษณะดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงประมาณหนึ่งในพันของวินาที
จะเป็นเช่นนี้โดยมีการเคลื่อนที่ไปยังปลายประสาทของแอ็กซอน
การแพร่ของศักย์ไฟฟ้าขณะกระตุ้นนี้เรียกว่า กระแสประสาท
ส่วนเซลประสาทที่เกี่ยวข้องถูกเรียกว่า การยิง
การยิงสัญญาณประสาทของกลุ่มใหญ่ของเซลประสาทสามารถถูกบันทึกไว้ได้
ตัวอย่างเช่นการวัดคลื่นสมอง อีเลคโทรเอ็นเซฟฟาโลแกรม หรือ
อีอีจี
การติดต่อระหว่างเซลประสาท
สภาวะของเซลประสาทที่เปลี่ยนจากศักย์ไฟฟ้าขณะพักเป็นศักย์ไฟฟ้าขณะกระตุ้น
และมีการแพร่ไปตามแนวเส้นประสาทแอ็กซอนจนถึงส่วนปลายประสาท
เป็นจุดเริ่มต้นของการส่งสัญญาณประสาท
แต่การส่งต่อไปยังเซลประสาทอื่นๆนั้น
ที่ปลายของเส้นประสาทจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลเรียกว่า ซินแนปส์
(Synapse) (รูปที่ ๒)
ซินแนปส์มีส่วนประกอบคือ ปลายของเส้นประสาทของ ๒
เซลและช่องว่างที่อยู่ระหว่างปลายเส้นประสาท
การติดต่อระหว่างเซลประสาทนั้นจำเป็นต้องอาศัยสารสื่อสัญญาณประสาทซึ่งถูกเก็บอยู่ที่ปลายประสาทของแอ็กซอน
เมื่อถูกกระตุ้นจะหลั่งออกมาแล้วผ่านช่องว่างระหว่างเซลเข้าสู่ตัวรับที่อยู่ในปลายประสาทของเด็นไดรท์ของอีกเซลหนึ่ง สารสื่อประสาทนี้มีหลายชนิดแล้วแต่หน้าที่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเฉพาะกับตัวรับชนิดต่างๆ เมื่อรับสารสื่อประสาทเข้าสู่ตัวรับในปลายประสาทของเด็นไดรท์แล้ว จะก่อให้เกิดการกระแสไฟฟ้าหลังซินแนปส์ เรียกว่า ศักย์ไฟฟ้าหลังซินแนปส์ ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นหรือการยับยั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของสารสื่อประสาท ในสภาพความเป็นจริงนั้น เซลประสาท หนึ่งเซลได้รับสัญญาณประสาททั้งกระตุ้นและยับยั้งจากเซลจำนวนเป็นร้อยหรืออาจเป็นพันสัญญาณ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าแอ็กซอนจะยิงสัญญาณประสาทหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของชนิดสัญญาณ ถ้าผลลัพธ์เป็นสัญญาณประสาทชนิดกระตุ้น แอ็กซอนก็จะยิงสัญญาณประสาท แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นสัญญาณประสาทชนิดยับยั้ง แอ็กซอนก็จะไม่ยิงสัญญาณประสาท นอกจากนั้น อัตราการยิงสัญญาณประสาทยังขึ้นอยู่กับระดับความเข้มของสิ่งกระตุ้น การยิงอาจอัตราสูงถึง ๒๐๐-๙๐๐ ครั้งต่อวินาที อัตราการยิงนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างซินแนปส์ของเซลประสาท ปริมาณของสารสื่อประสาทที่เกิดขึ้น และอัตราการรับและส่งต่อของเซลประสาทในวงจรนั้นๆ
เมื่อถูกกระตุ้นจะหลั่งออกมาแล้วผ่านช่องว่างระหว่างเซลเข้าสู่ตัวรับที่อยู่ในปลายประสาทของเด็นไดรท์ของอีกเซลหนึ่ง สารสื่อประสาทนี้มีหลายชนิดแล้วแต่หน้าที่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเฉพาะกับตัวรับชนิดต่างๆ เมื่อรับสารสื่อประสาทเข้าสู่ตัวรับในปลายประสาทของเด็นไดรท์แล้ว จะก่อให้เกิดการกระแสไฟฟ้าหลังซินแนปส์ เรียกว่า ศักย์ไฟฟ้าหลังซินแนปส์ ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นหรือการยับยั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของสารสื่อประสาท ในสภาพความเป็นจริงนั้น เซลประสาท หนึ่งเซลได้รับสัญญาณประสาททั้งกระตุ้นและยับยั้งจากเซลจำนวนเป็นร้อยหรืออาจเป็นพันสัญญาณ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าแอ็กซอนจะยิงสัญญาณประสาทหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของชนิดสัญญาณ ถ้าผลลัพธ์เป็นสัญญาณประสาทชนิดกระตุ้น แอ็กซอนก็จะยิงสัญญาณประสาท แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นสัญญาณประสาทชนิดยับยั้ง แอ็กซอนก็จะไม่ยิงสัญญาณประสาท นอกจากนั้น อัตราการยิงสัญญาณประสาทยังขึ้นอยู่กับระดับความเข้มของสิ่งกระตุ้น การยิงอาจอัตราสูงถึง ๒๐๐-๙๐๐ ครั้งต่อวินาที อัตราการยิงนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างซินแนปส์ของเซลประสาท ปริมาณของสารสื่อประสาทที่เกิดขึ้น และอัตราการรับและส่งต่อของเซลประสาทในวงจรนั้นๆ
รูปที่ ๒ ซินแนปส์ (Synapse)
บรรณานุกรม
1.
Heimer, L. (1995). The human brain and
spinal cord : Functional neuroanatomy and dissection guide (2nd
ed). New York:Springer Verlag.
2.
Levitan, I.B., & Kaczmarek, L.K.
(2002). The neuron: Cell and molecular biology (3rd ed). Oxford:
Oxford University Press.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น