โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
http://www.iamsmartkids.com
พัฒนาการด้านการอ่าน (Reading Stage)
วัยเด็กทารก (อายุ -1 ปี)- เด็กมักจะเริ่ม : มีการเลียนแบบเสียงจากที่พวกเขาได้ยิน
- มีการตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย
- ใช้การดูรูปภาพ
- พยายามที่จะเอื้อมหยิบหนังสือและเปลี่ยนหน้ากระดาษต้องมีคนช่วยเหลือ
- ตอบสนองต่อเนื้อเรื่องและรูปภาพโดยมีการเปล่งเสียงและตบมือ
- เด็กมักจะเริ่ม : ตอบคำถามเกี่ยวกับวัตถุที่มีอยู่ในหนังสือได้ เช่น “วัวอยู่ที่ไหน” หรือ “วัวร้องอย่างไร”
- บอกชื่อภาพที่คุ้นเคยได้
- ชี้บอกชื่อวัตถุได้อย่างถูกต้อง
- แสร้งทำเหมือนอ่านหนังสือได้
- บอกเนื้อหาตอนจบของหนังสือที่เค้ารู้จักเป็นอย่างดีได้
- มีการขีดเขียนลงบนกระดาษ
- ทราบชื่อหนังสือและสามารถระบุภาพบนปกหนังสือได้
- เปลี่ยนหน้ากระดาษได้ด้วยตนเอง
- มีหนังสือเล่มโปรดและขอให้อ่านบ่อย
- เด็กมักจะเริ่ม : ค้นหาหนังสือด้วยตนเอง
- ฟังเรื่องราวที่มีความยาวได้และมีการอ่านออกเสียงตาม
- อยากฟังนิทานเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา
- สามารถอ่านตัวอักษรได้
- เริ่มร้องเพลงตัวอักษรที่มีการชี้แนะหรือบอกแนวทางได้
- มีการวาดสัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับการเขียน
- แสดงท่าทางเลียนแบบการอ่านหนังสือแบบออกเสียงได้
- เด็กมักจะเริ่ม : รู้จักคุ้นเคยกับสัญลักษณ์และป้ายเครื่องหมาย โดยเฉพาะสัญลักษณ์กับภาชนะที่ใส่
- สร้างคำที่มีเสียงสอดคล้องกันได้
- จดจำและเขียนตัวอักษรบางตัวได้
- บอกชื่อตัวอักษรหรือออกเสียงคำขึ้นต้นได้
- จับคู่ตัวอักษรให้ตรงกับเสียงของตัวอักษรได้
- นำตัวอักษรที่คุ้นเคยมาลองเขียนให้เป็นคำ
วัยอนุบาล (อายุ 5 ปี)
- เด็กมักจะเริ่ม : เข้าใจเสียงที่สอดคล้องกันและสามารถเล่นเกมส์เติมเสียงที่สอดคล้องกันได้
- จับคู่คำตามคำบอกได้
- เข้าใจการอ่านหนังสือว่าต้องอ่านจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง
- เขียนตัวอักษรและตัวเลขบางตัวได้
- จำคำที่คุ้นเคยได้
- ทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในเรื่องที่อ่านได้
- เล่าเรื่องจากเรื่องที่เราเคยอ่านให้พวกเขาฟังได้
- เด็กมักจะเริ่ม : อ่านเรื่องที่คุ้นเคยได้
- ใช้การอ่านออกเสียงหรือแปลคำที่ไม่คุ้นเคยได้
- ใช้รูปภาพและบริบทของรูปภาพในการเดาคำที่ไม่รู้จัก
- มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนและมีการเขียนด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่
- เชื่อมั่นว่าตนเองถูกต้องเมื่อพวกเขาอ่านออกเสียงคำผิด
- แสดงความเข้าใจเรื่องราวผ่านการวาดภาพ
- เด็กมักจะเริ่ม : อ่านหนังสือที่มีเนื้อหายาวๆ ได้อย่างอิสระ
- อ่านออกเสียงโดยมีการเน้นเสียและใช้น้ำเสียงแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
- ใช้เนื้อหาบรรยายภาพและรูปภาพในการช่วยระบุคำที่ไม่คุ้นเคย
- สรุปใจความในย่อหน้าและเริ่มใช้การเขียนสรุปใจความ
- ใช้เครื่องหมายวรรคตอนได้ถูกต้อง
- สะกดคำง่าย ๆ ได้ถูกต้อง
- เขียนข้อความสั้น ๆ เช่น ข้อความในโทรศัพท์มือถือหรือ อีเมล์ได้
- ชอบที่จะเล่นเกมส์ค้นหาคำ
- มีการใช้คำ วลี คำอุปมาอุปไมยใหม่ ๆ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน
- ปรับปรุงการเขียนได้ด้วยตนเอง
- เด็กมักจะเริ่ม : สำรวจและทำความเข้าใจบทความต่าง ๆ เช่น ชีวประวัติ บทกวี และนวนิยาย
- เข้าใจและสามารถค้นหาข้อความที่เป็นการอธิบาย บรรยาย และข้อความที่โน้มน้าวใจได้
- มีการอ่านเพื่อที่จะดึงข้อมูลที่สำคัญออกมาได้ เช่นการอ่านจากหนังสือวิทยาศาสตร์
- ระบุส่วนประกอบของคำเช่นคำนาม คำสรรพนาม คำเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย ได้
- ระบุองค์ประกอบที่สำคัญของเรื่องราวที่อ่านได้ เช่น เวลา สถานที่ เนื้อหาโดยย่อ ปัญหาที่
- เกิดขึ้น และบทสรุปของเรื่อง
- อ่านและเขียนจากข้อความที่กำหนดให้และทำความเข้าใจกับบทความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
- วิเคราะห์ความหมายของบทความ
READING
โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
การฝึกการทรงตัวสามารถช่วยเด็กให้เกิดการเรียนรู้การอ่านได้อย่างไร
การฝึกการทรงตัวเป็นวิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ในการช่วยเหลือเด็กที่มีความ
บกพร่องทางการอ่าน เนื่องมาจากระบบการทรงตัวหรือ Vestibular
เป็นองค์ประกอบหลักในกระบวนการทางสมองเกี่ยวกับการพูด
และการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกการทรงตัว นอกจากนี้มีการวิจัยเมื่อ10 ปีที่แล้วแสดงให้เราเห็นว่าไม่มีทางใดที่ดีที่สุดในการสอนให้เด็กมีทักษะใน การอ่านออกเขียนได้ การฝึกการทรงตัวเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้ร่วมกันกับการฝึกพื้นฐานการ อ่านออกเสียงด้วยกระบวนการสอนแบบธรรมชาติ เด็กได้ทักษะในการนึกคำและใช้การออกเสียงพยัญชนะและคำเป็นทักษะที่ช่วยให้ เด็กเข้าใจคำที่พวกเขาอ่าน การฝึกการทรงตัวเป็นเพียงเทคนิคการสอนการอ่านที่สามารถช่วยให้เด็กมีทักษะ ที่จำเป็นในการอ่านได้ดีขึ้น
กิจกรรมฝึกการทรงตัว
1.ให้เด็กยืนบนกระดานทรงตัว แล้วถือตระกร้ารับลูกบอล หรือถือไม้ตีลูกบอลที่โยนมา
2.ให้เด็กยืนหรือนั่งบนชิงช้าหยิบของที่วางด้านบนลงมาใส่ในตระกร้า
3.ให้เด็กนั่งบนลูกบอลเอื้อมหยิบห่วงทางด้านซ้ายไปใส่หลักทางด้านขวา
4.ให้เด็กเดินทรงตัวบนสะพานทรงตัวเริ่มจากทางตรง เป็นทางซิกแซก เดินข้ามสิ่งกีดขวาง หรือเดินไปแล้วก้มเก็บของระหว่างทางบนสะพานทรงตัว
READING
โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
จะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะอ่านได้อย่างไร
การอ่านออกเสียงและการสะกดคำ (Phonics) การอ่านออกเสียงและการสะกดคำ เป็นกระบวนการสอนให้เด็กออกเสียงสะกดคำในการอ่านและการเขียนหนังสือ การอ่านสะกดคำนั้นคือ การสอนให้เด็กเชื่อมโยงเสียงจากการสะกดให้เข้ากับตัวอักษรในแต่ละตัว เพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจและนึกภาพตาม และสอนให้เด็กผสมเสียงตัวอักษรเข้าด้วยกันในการอ่านคำที่เด็กไม่เคยรู้จักมา ก่อน การอ่านสะกดคำเป็นกระบวนการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการสอนให้เด็กอ่านและ แปลคำศัพท์ เด็กเริ่มที่จะเรียนรู้การอ่านและใช้การอ่านสะกดคำเมื่อเด็กอายุประมาณ 5 – 6 ปี การสอนให้เด็กอ่านภาษาอังกฤษจะต้องใช้การสะกดคำเป็นสำคัญเพื่อให้เด็กเรียน รู้โดยการเชื่อมโยงรูปแบบตัวอักษรกับเสียงที่เปล่งออกมา
หลักการทางภาษา
จากหลักการทางภาษาศาสตร์ การอ่านสะกดคำในภาษาอังกฤษต้องอาศัยพื้นฐานของหลักการทางภาษา
การที่จะเขียนคำได้จะต้องมีการอ่านออกเสียงสะกดคำแยกเป็นตัว ๆ ก่อน เช่นคำว่า pat จะต้องมีการสะกดส่วนประกอบของคำเป็นพยัญชนะทั้งหมด 3 ตัว คือ p , a และ t เป็นต้น การสะกดคำมีความแตกต่างกันในแต่ละภาษาเช่น ในสเปน การสะกดตัวอักษรจะต้องมีความสอดคล้องกันระหว่างเสียงที่เปล่งกับรูปแบบตัว อักษรที่เป็น ตัวอักษร 1 ตัวมีได้เพียง 1 เสียงเท่านั้น แต่ภาษาอังกฤษไม่เป็นเช่นนั้น ภาษาอังกฤษจะมีการสะกดคำที่ซับซ้อนกว่า เพราะจะมีการออกเสียงของตัวอักษรมากกว่า 40 เสียง แต่มีรูปแบบของตัวอักษรแค่ 26 ตัวเท่านั้น เนื่องมาจากว่าในภาษาอังกฤษจะมีการรวมตัวอักษร 2 ตัวเข้าด้วยกัน แต่การอ่านออกเสียงจะออกเสียงเป็นเพียงเสียงเดียว เช่น t กับ h เมื่อนำมาวางใกล้กันก็จะออกมาเป็นเสียง th เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น