วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม...มีให้ดาวน์โหลดที่ไหนดี

วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม...มีให้ดาวน์โหลดที่ไหนดี

วิทยานิพนธ์, ปริญญานิพนธ์ หรือ ดุษฎีนิพนธ์ เป็นเอกสารที่เขียนโดยนักวิจัย นักศึกษา หรือนักวิชาการ พรรณนาขั้นตอน วิธีการ และผลการศึกษาวิจัยที่ค้นคว้าวิจัยมาได้ โดยเขียนอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน สำหรับนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วิทยานิพนธ์เป็นเอกสารบังคับในการจบการศึกษา สำหรับนักวิจัยหรือนักวิชาการจะใช้เป็นเอกสารในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ

วิทยา นิพนธ์เป็นคำเรียกสำหรับเอกสารสำหรับนักศึกษาปริญญาโท โดยตรงกับในภาษาอังกฤษคำว่า ทีซิส (thesis) มาจากภาษากรีกคำว่า θέσις สำหรับเอกสารงานวิจัยของนักศึกษาระดับปริญญาเอกจะเรียกว่า ปริญญานิพนธ์ หรือ ดุษฎีนิพนธ์ ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า dissertation

ส่วนประกอบของวิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์มีส่วนประกอบใหญ่ๆ 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อความ และส่วนเอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม

ส่วนนำ
ส่วน นำ (Preliminaries) มักประกอบด้วย ปกวิทยานิพนธ์ ใบรองปก และหน้าปกใน ซึ่งจะบอกเกี่ยวกับ ชื่อหัวข้อวิทยานิพนธ์ ผู้แต่ง อาจารย์ที่ปรึกษา และสถาบันที่เป็นเจ้าของวิทยานิพนธ์นั้น ต่อด้วยหน้าอนุมัติ ซึ่งเป็นหน้าสำหรับกรรมการตรวจและสอบวิทยานิพนธ์ลงนาม เพื่อรับรองหรืออนุมัติวิทยานิพนธ์ และตามด้วยส่วนสำคัญของส่วนนำ คือ บทคัดย่อ ซึ่งเป็นการสรุปสาระสำคัญของวิทยานิพนธ์ทั้งเล่มแบบสั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่านทราบถึงเนื้อหาของวิทยานิพนธ์ ในส่วนนำจะมีสารบัญต่างๆ ปิดท้าย อาทิ สารบัญเนื้อหา สารบัญตาราง สารบัญภาพ

วิทยา นิพนธ์บางเล่มจะมีกิตติกรรมประกาศ ในส่วนนำด้วย มักจะอยู่ก่อนหน้าบทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศเป็นส่วนที่ผู้เขียนวิทยานิพนธ์บรรยายแสดงความขอบคุณผู้ที่ ให้ความช่วยเหลือในการศึกษาค้นคว้าและจัดทำวิทยานิพนธ์ อาทิเช่น ขอบคุณผู้มีพระคุณ บิดามารดา และอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นต้น

ส่วนเนื้อความ
ส่วน เนื้อความ (Text) คือส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระของวิทยานิพนธ์ เป็นการพรรณนาขั้นตอน วิธีการ และผลการศึกษาวิจัย โดยส่วนเนื้อความมักประกอบด้วยเนื้อหาหลักๆ 3 ส่วน คือ บทนำ ตัวเรื่อง และ บทสรุป

บทนำ (Introduction)
เป็นส่วนที่ผู้เขียนใช้อธิบายถึง ที่มาและความสำคัญของปัญหาที่นำไปสู่การค้นคว้าวิจัย และสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่จะทำการศึกษาวิจัยจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนที่ให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำการค้นคว้าวิจัย จากนั้นเป็นการกล่าวถึง หลักการ ทฤษฎี ตัวแบบ แนวเหตุผล ที่จะใช้อ้างอิงหรือเป็นหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนผลการศึกษาวิจัยที่ค้นคว้า วิจัยมาได้ จากนั้นกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการศึกษาวิจัย และ นิยามศัพท์ เพื่ออธิบายคำศัพท์ที่ได้กำหนดขึ้นโดยมีความหมายเฉพาะตัวสำหรับการค้นคว้า วิจัยนั้นๆ เท่านั้น ในส่วนบทนำของวิทยานิพนธ์บางเล่มจะมีสมมุติฐาน เพื่อเป็นการคาดคะเนถึงผลการค้นคว้าวิจัย ที่สอดคล้องวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั้นๆ ด้วย

ตัวเรื่อง (Body of the text)
วิทยา นิพนธ์แต่ละสาขาวิชา จะมีแบบฉบับในการเขียนเนื้อหาตัวเรื่องแตกต่างกันไป ส่วนประกอบหลักๆ ของตัวเรื่องมักประกอบด้วย การอธิบายวิธีดำเนินการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย จากนั้นจึงกล่าวโดยละเอียดถึงผลที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยด้วยวิธีการต่างๆ ตามวิธีดำเนินการวิจัย หลังจากกล่าวถึงผลที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยแล้ว ก็จะเป็นส่วนสาระสำคัญของตัวเรื่อง คือการอภิปรายผลการวิจัย ซึ่งเป็นการวิจารณ์หรือการอภิปรายผลการวิจัยเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายหรือ วัตถุประสงค์ของการวิจัย

การวิจารณ์หรือการอภิปรายผลการวิจัย มักเป็นการอธิบายให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามความสัมพันธ์ของ หลักการ ทฤษฎี ตัวแบบ แนวเหตุผล หรือกฎเกณฑ์ ที่สอดคล้องกับผลของการค้นคว้าวิจัย หรือนำเสนอให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของผลการศึกษาวิจัยที่สนับสนุนหรือคัด ค้านสมมุติฐานที่มีผู้เสนอมาก่อนหรือที่ผู้เขียนสร้างขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถยกตัวอย่างเปรียบเทียบผลการค้นคว้าวิจัยของผู้เขียนกับ ของบุคคลอื่นโดยเน้นปัญหาหรือข้อโต้แย้งในสาระสำคัญของเรื่อง ทั้งนี้การเขียนตัวเรื่องอาจสอดแทรกเนื้อหาบางอย่างในส่วนท้าย เช่น ชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียของวัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ใช้ในการค้นคว้าวิจัย นำเสนอปัญหาและอุปสรรคในการค้นคว้าวิจัย แนะนำแนวทางที่จะนำผลการค้นคว้าวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเสนอคำแนะนำสำหรับการแก้ปัญหา หรือปรับปรุงสถานการณ์ที่ได้จากการค้นคว้าวิจัย รวมทั้งเสนอแนวความคิดปัญหาหรือหัวข้อใหม่สำหรับการค้นคว้าวิจัยต่อไป

บทสรุป (Conclusion)
เป็น ส่วนที่นำเสนอผลการค้นคว้าวิจัยโดยสรุปเป็นประเด็นสาระสำคัญของผลของการ ศึกษาวิจัย ผู้เขียนสามารถอธิบายแนวคิดสำคัญที่ได้จากการศึกษาวิจัย และวิพากษ์วิจารณ์ผลการวิจัยพร้อมทั้งแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาโดยสรุปได้


ส่วนเอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
ส่วน เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม (References or Bibliography) จะแสดงรายชื่อหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ บุคคล และวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และที่ได้อ้างถึงในส่วนนำและเนื้อความ เพื่อให้ผู้สนใจสามารถค้นคว้าข้อมูลเหล่านั้นในเชิงลึกต่อไป

วิทยา นิพนธ์บางเล่มอาจมี ภาคผนวก (Appendix) เพื่อใช้นำเสนอข้อมูลต่างๆ หรือสิ่งที่จะช่วยให้เข้าใจสาระของวิทยานิพนธ์ดียิ่งขึ้น เนื้อหามักประกอบด้วยเอกสารข้อเท็จจริงต่างๆ ดังนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนเนื้อเรื่อง ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากการปฏิบัติการ เช่น การทดลอง การศึกษาเฉพาะกรณี สำเนาเอกสารหายาก คำอธิบายระเบียบวิธี กระบวนการและวิธีการรวบรวมข้อมูล แบบฟอร์ม แบบสำรวจ แบบสอบถาม ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในวิทยานิพนธ์ คำอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอน หรือวิธีการ นามานุกรม (directory) ของบุคคลที่อ้างถึงในวิทยานิพนธ์

หน้าสุดท้ายของวิทยานิพนธ์ มักมีประวัติผู้เขียน (Curriculum vitae หรือ Vita) ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติการศึกษาและการทำงานของผู้เขียน ประวัติผู้เขียนโดยทั่วไป ประกอบด้วย ชื่อ นามสกุล พร้อมคำนำหน้า ได้แก่ นาย นางสาว นาง ยศ บรรดาศักดิ์ ราชทินาม สมณศักดิ์ พร้อมทั้งวันเดือนปีและสถานที่เกิด วุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่าขึ้นไป สถานศึกษา และ พ.ศ. ที่สำเร็จการศึกษา รวมทั้งประสบการณ์ ผลงานทางวิชาการ รางวัล หรือทุนการศึกษาเฉพาะที่สำคัญ ตำแหน่งและสถานที่ทำงานของผู้เขียน

----------------------------------------------------------------------------
ว่าข้อมูลเชิงวิชาการไปแล้ว
แล้วจะ หาดาวน์โหลดวิทยานิพนธ์เพื่อใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ อ้างอิง หรือทำผลงานที่ไหนดี เท่าที่ได้ยินได้เรียนก็บอกต้องไปที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ เข้าไปยืมที่ห้องสมุด...

ตายล่ะ...

หมดค่ารถ ค่าใช้จ่าย บานสิเนี่ย

ไม่มีให้ดาวน์โหลดเหรอ...มีครับ

ผมลองค้นๆ ดูแล้ว น่าลองไปใช้บริการดูครับ แต่ละที่ก็จะมีการบริการที่แตกต่างกันนะครับ ดีกว่าไม่มีที่ให้โหลดนะว่ามั๊ย ไปดูกันดีกว่า

1. ฐานข้อมูล CMU e-Theses
ฐาน ข้อมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (CMU e-Theses) สืบค้นเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) จากวิทยานิพนธ์ (Theses) และการศึกษาค้นคว้าอิสระ (Independent Study) ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2519 - 2553

2. http://tdc.thailis.or.th/tdc/
โครงการ นี้เป็นโครงการที่เน้นการให้บริการข้อมูลฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์เพื่อ ใช้สำหรับสนับสนุนการศึกษา การค้นคว้า วิจัย และการเผยแพร่ผลงานของ นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และเจ้าของผลงานต่างๆ ห้ามมิให้นำผลงานเหล่านี้ไปใช้แสวงหาประโยชน์ทางด้านการค้า หรืออื่น ใด นอกเหนือจากการใช้เพื่อการศึกษาเพื่อพัฒนาประเทศเท่านั้น และจะต้องอ้างอิงถึงเจ้าของผลงานเหล่านี้ทุกครั้ง(ต้องสมัครสมาชิกก่อน)

3. ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย Online
วิธีใช้
1. ให้ใส่ข้อมูลที่ต้องการสืบค้นลงในช่องตามหัวข้อต่างๆ ในหน้านี้กรุณากรอกข้อมูลเป็นภาษาไทย
2. เลือกสถาบันและปีที่ต้องการสืบค้น
3. กด Submit เพื่อรอการแสดงผล
4. กรณีต้องการค้นเป็นภาษาอังกฤษ ให้กดตรง
"ฟอร์มภาษาอังกฤษ" หรือกดตรง "กดเพื่อไปหน้าภาษาอังกฤษ"

4. มหาวิทยาลัยศิลปากร

5. ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง (THESIS)

6. ฐานข้อมูลออนไลน์(ภาษาอังกฤษ)

หรือจะค้นหาเพิ่มเติมก็ได้นะครับ แต่เท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว

ข้อมูลจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C

ประสบการณ์ชีวิต ได้กริ่นเรื่องหลักสูตรมอนเตสมาบ้างแล้ววันนี้ขอแบ่งปันเรื่องอุปกรณ์บางส่วน



ประสบการณ์ชีวิต
ได้กริ่นเรื่องหลักสูตรมอนเตสมาบ้างแล้ววันนี้ขอแบ่งปันเรื่องอุปกรณ์บางส่วน
ชุดกรอบไม้ฝึกการแต่งตัวแต่ ละกรอบจะช่วยฝึกทักษะเฉพาะแต่ละอย่าง เพื่อให้เด็กสามารถแ่งตัวได้ด้วยตนเอง โดยจะมีกรอบสำหรับฝึกติดกระดุม ติดกระดุมแป็ก รูดซิบ รัดเข็มขัด ผูกเชือก ติดตะขอ ติดเข็มกลัดและผูกโบว์
การเทแบบ ฝึกหัดนี้จะช่วยพัฒนาการประสานงานระหว่าตา กล้ามเนื้อและสมาธิประกอบด้วยการเทเมล็ดข้าวและเทน้ำจากภาชนะหนึ่งไปยังอีก ภาชนะหนึ่ง ในภาพประกอบเป็นการเทถั่ว และตักถั่ว (ขอบคุณภาพจากโรงเรียนอนุบาลดวงประทีป คลองเตย )


การเตรียมอาหาร
แบบฝึกหัดนี้ให้ฝึกการเตรียมแคร็อท กล้วย และแอปเปิ้ล สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และรู้จักการจัดระเบียบ

ฝึกทำความสะอาดกิจกรรม เหล่านี้ประกอบไปด้วยการขัดรองเท้า ขัดเครื่องเงิน การกวาด การถู การซักเสื้อผ้า และการล้างมือ ซึ่งช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและสิ่งแวดล้อม

ประสาทสัมผัส
บันไดสีน้ำตาล แนะนำขนาดที่แตกต่างกันในสองมิติ ซึ่งจะสอนแนวคิดเกี่ยวกับความหนา-บาง

หอคอยสีชมพู แนะนำขนาดที่ต่างกันในสามมิติ ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้จักความแตกต่างระหว่างความใหญ่เล็ก

แขนงไม้สีแดง แนะนำขนาดที่แตกต่างกันในมิติเดียว ซึ่งจะสอนแนวคิดเกี่ยวกับความสั้น-ยาว

แถบสี มีสามชุด ชุดที่ ๑ ประกอบด้วยแม่สีสามสี สำหรับจับคู่
ชุดที่ ๒ มี ๑๑ สี สำหรับจับคู่กัน
ชุด ที่ ๓ มี ๙ สี แต่ละสีมี ๗ เฉด แบบฝึกหัดนี้สอนให้รู้จักชื่อสีต่างๆ รวมทั้งทำให้เด็กรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างโทนสีได้อย่างชัดเจน


แท่งไม้ทรงกระบอก(มีปุ่มจับด้านบน) แท่งไม้ทรงกระบอกมี ๔ ชุด แต่ละชุดมีแท่งไม้ทรงกระบอกอยู่ ๑๐ ชิ้น ชุดที่ ๑ จะมีความสูงต่างกัน



ชุดที่ ๒ จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางต่างกัน

ชุด ที่ ๓+๔ จะมีทั้งความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางที่ต่างกัน การจับคู่แท่งไม้ทรงกระบอกนั้นให้ใส่แท่งไม้ลงไปในหลุมที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยสอนเด็กให้รู้จักแยกแยะขนาดที่แตกต่างกันและพัฒนากล้ามเนื้อมือ ให้พร้อมสำหรับการเขียน

แท่งไม้ทรงกระบอกที่ไม่มีปุ่มจับด้านบน แต่ละชุดสีจะมีรูปทรงขนาดเดียวกันกับแท่งไม้ทรงกระบอกที่มีปุ่มจับ
ภาษาบัตรตัวอักษรกระดาษทราย อักษรกระดาษทรายจะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่างของตัวอักษรแต่ละ ตัว ผ่านการสัมผัสและสัมพันธ์กับการออกเสียง ในขณะที่เด็กได้ลากมือไปตามรูปทรงของตัวอักษรกระดาษทราย


กรอบแผ่นภาพโลหะ กรอบแผ่นภาพโลหะมี ๑๐ กรอบ แต่ละกรอบจะมีรูปทรงเรขาคณิตแตกต่างกันไป โดยจะมีปุ่มจับสำหรับยกขึ้นและใส่กลับเข้าที่เดิม การลากเส้นตามกรอบแผ่นโลหะช่วยเตรียมความพร้อมของมือและตาสำหรับการเขียน
กล่องเสียง กล่องชุดนี้เป็นกล่องไม้สองกล่อง แต่ละกล่องบรรจุด้วยกระบอกไม้หกอัน โดยจับคู่เสียงของกระบอกเสียงสีแดงและกระบอกสีน้ำเงิน แบบฝึกหัดนี้จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแยกเสียงที่แตกต่างและช่วยเสริม สมาธิ


แท่งไม่ทรงเรขาคณิต เป็นแท่งไม้ทรงทึบที่สอนในเรื่องประสาทสัมผัสทางตาและการสัมผัส
แขนงไม้สีแดงและสีน้ำเงิน ชุด นี้จะมีแขนงไม้สิบชิ้น ขนาดเดียวกันกับแขนงไม้สีแดงข้างบน แขนงไม้แต่ละชิ้นจะแยกย่อยออกเป็นส่วนๆ คือส่วนสีแดงและส่วนสีน้ำเงิน สื่อการสอนชุดนี้จะช่วยสอนแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการนับ การบวก การลบ การคูณ และการหารแบบง่ายๆ

กล่องนับเลข กล่อง นับเลขมี ๒ กล่อง แบ่งออกเป็นช่องๆ แต่ละกล่องมี ๕ ช่อง และแต่ละช่องจะติดตัวเลขตั้งแต่ ๐-๙ แบบฝึกหัดนี้ใช้สอนเกี่ยวกับการนับเลข และช่วยให้เข้าใจในเรื่องปริมาณ เด็กสามารถปิดตัวเลขตามปริมาณเลขแท่งไม้ที่ใส่ลงไปในช่องได้ถูกต้อง
ลูกปัดสีทอง สือการสอนชุดนี้ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องการนับ ปริมาณ และการคำนวณเบื้องต้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ลูกปัดหลักหน่วย
ลูกปัดแท่งสิบ
ลูกปัดแผ่นร้อย
ลูกปัดก้อนพัน

สื่ออื่นๆ

แผนที่ปริศนา แผนที่ไม้เหล่านี้จะมีปุ่มจับเล็กๆติดอยู่ด้านบนของแผ่นไม้แต่ละชิ้น เพื่อให้สามารถหยิบจับใช้งานได้ง่าย อุปกรณ์ชุดนี้ค่อนข้างแข็งแรงและดึงดูดความสนใจ ซึ่งจะช่วยสอนให้รู้จักชื่อและสถานที่ตั้งของแต่ละรัฐ ประเทศ ทวีปต่างๆเช่นเดียวกับข้อมูลเบื้องต้นทางภูมิศาสตร์
บัตรคำเกี่ยวกับธรรมชาติ บัตร คำในแต่ละชุดช่วยสอนเกี่ยวกับส่วนต่างๆของใบไม้ ดอกไม้ และต้นไม้ รวมทั้งเรียนรู้คำศัพท์ และเพิ่มความใส่ใจต่อเรื่อราวของธรรมชาติ
ระฆัง ระฆังที่แขวนเป็นแถวจะให้เสียงที่แตกต่างกันเมื่อเคาะด้วยไม้เล็กๆ ระฆังเหล่านี้จะถูกใช้เป็นแบบฝึกหัดด้านประสาทสัมผัสในการจับคู่เสียง และอาจจะสอนพื้นฐานของบันไดเสียง การเรียบเรียง และการเล่นดนตรีแบบง่ายๆ
แถบเส้น ห้องเรียนส่วนใหญ่มีเทปติดเป็นวงกลมบนพื้น เพื่อใช้สำหรับฝึกการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งจะสอนเกี่ยวกับการจัดสมดุลและประสานสัมพันธ์
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาประยุกต์กับการดูแลลูกหลานที่บ้านได้น่ะค่ะ เพราะในหลายกิจกรรมเราสามารถหาได้รอบตัว

ครูมดมีโอกาสได้เข้าไปดูงานที่มูลนิธิดวงประทีป ที่อยากมาแชร์สิ่งที่เห็นคือ
วันแรก เด็กร้องกันมาก ต้องล่อพาไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แล้วเข้าห้อง ต่อมาไปทานข้าวก็ยังกระจองอแงกันอยู่ ไม่ได้ถ่ายภาพร้องไห้มาให้ดู ครูมดก็อุ้มเสียเมื่อย แต่มีความสุขที่ได้อุ้มเด็กตัวเล็กๆ น่ารักมากค่ะ
เมื่อผ่านไปแค่สามวัน เด็กเริ่มเข้าที่เข้าทาง คนที่ร้องก็ยังมีแต่น้อยลง เพราะทุกคนเริ่มทำงานของตนเองแล้วค่ะ ก็มีหัดปูเสื่อ ตักถั่ว เทถั่ว หัดเก็บของเข้าที่ ไม่ง่ายน่ะค่ะ การที่จะสอนให้เด็กมีวินัย แต่ครูเค้าเก่งค่ะ แต่ละคนก็ง่วนกับงานตนเองลืมร้องไห้ ยังมีการปฎิบัติผิดบ้างแต่วันที่สามเอง ได้ขนาดนี้ ดีมากค่ะ

ขอบคุณภาพทั้งหมดจากมูลนิธิดวงประทีปและหนังสือแนวมอนเตสเชอร่หลายๆเล่มค่ะ

ขอ ขอบคุณผู้ที่ให้โอกาสได้ไปอบรมหลักสูตรนี้(อาจารย์กรรณิการ์ บัต)แม้นจะเป็นเพียงแค่สำหรับเด็กวัย 0-3 ขวบ และขอบคุณคุณครูตู่ จากมูลนิธิดวงประทีป ผู้ที่ให้โอกาสอีกหนึ่งท่านให้มาดูงานที่นี่ และช่วยเหลือเรื่องการจัดการเรื่องไปอบรม การช่วยติดต่อเรื่องที่พักให้ ขอบคุณมากค่ะ
โรงเรียนที่สอนหลักสูตรมอนเตสซอรี่ค่อนข้างจะค่าเทอมแพง เพราะอุปกรณ์การสอนจะราคาสูงแต่ก็มีหลายอย่างที่ทำเองได้(ในส่วนที่สามารถทำ ได้)  เพราะกิจกรรมของมอนเตสเชอรี่สามารถผลิตได้เองยกเว้นพวกชิ้นใหญ่ที่ทำด้วย ไม้   มีหลายที่ทีสอนหลักสูตรนี้ และราคาไม่แพงเนื่องจากได้รับเงินอุดหนุนจากผู้บริจาคจากเมืองนอก เช่น ที่มูลนิธิสันติสุข ของคริสตจักรใจสมาน เดิมทำที่คลองเตยและมีอีกสาขาที่ ร่มเกล้า ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เอาไปรวมที่ร่มเกล้าหมดแล้ว และมีของคริสตจักรไมตรีจิต  แต่คงต้องถามที่คริสตจักรไมตรีจิตว่ามีที่ไหนบ้างค่ะ  และก็มีของคริสตจักรสะพานเหลือง คริสตจักรอิมมานูเอล และอีกหลายๆคริสตจักรที่นำหลักสูตรนี้มาใช้ที่โรงเรียนอนุบาลของแต่ละคริสต จักรค่ะ และของมูลนิธิดวงประทีป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการเรียนรู้และสมองของเด็กอนุบาล (ต่อ) ตอน ๒

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการเรียนรู้และสมองของเด็กอนุบาล (ต่อ) ตอน ๒

๑๑.ไม่มีสมองเด็กคนไหนที่เกิดมาแล้วโง่ ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของเด็ก ส่วนมากไม่ได้เกิดมาจากความโง่ ความ ไม่รู้ ความไม่เข้าใจของเด็ก เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ที่บกพร่องของเด็ก เช่นครูพูดเร็วเกินไป อาจสอนเร็วเกิไป เด็กยังฝึกไม่เพียงพอแต่ข้ามไปบทใหม่ หรือขณะเรียนนั้นเด็กไม่มีความตั้งใจ ดังนั้นการรับรู้จึงผิดพลาดหรือไม่ได้เกิดขึ้นเลยเมื่อมีความเข้าใจเช่นนี้ ว่า กระบวนการเรียนรู้อาจเป็นที่มาของปัญหาดังนั้นพ่อแม่ควรมีต้องใช้ความอดทน เมื่อสอนสิ่งใดลูก 4-5 ประโยคแล้ว ต้องคอยถามตนเองว่าเด็กเข้าใจในสิ่งที่เราพูดจริงไหม คนเราไม่เข้าใจสิ่งใดเพียงเพราะได้ยินอย่างเดียว สมองต้องการมองเห็นภาพ ต้องการสัมผัส และอื่นๆ สมองจึงจะเรียนรู้ได้ดี
๑๒. การเรียนรู้ต้องมีบรรยากาศช่วยกระตุ้น แต่การขู่เข็ญ บังคับ กดดัน ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ บรรยากาศ(atemosphere)การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ ในสถานการณ์ที่ถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดดัน ไม่สามารถทำให้การเรียนรู้ของเด็กดีขึ้นได้ สมองของเด็กจะยิ่งแย่ลงไปเพราะภาวะความเครียดที่เกิดจากความกลัว(fear) โดยเฉพาะสมองส่วนอะมิกดาลา(amygdara) ถูกกระตุ้น ในทางลบ ยิ่งเด็กกลัวหรือเครียดมากเท่าไหร่ ความสามารถในการจำหรือการเรียนรู้ก็ยิ่งน้อยลง ทำให้ผลของการการเรียนรู้ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร (เพราะสมองของเด็กจะเครียด ทำให้การเรียนรู้แย่ลง
๑๓.  สมองจะเรียนรู้ถ้ามีความสนใจ สมองจะสนใจถ้าสามารถเข้าใจ และหาความหมายในการเรียนรู้นั้นได้ ต้องกระตุ้นความสนใจและให้ความสนใจเกิดขึ้นเป็นขั้นๆ : ต้อง หาทางหลายทางมากระตุ้นให้สมองเรียนรู้ เช่นหาอุปกรณ์และสื่อการเรียนรู้ที่จำเป็นมาช่วยให้การเรียนรู้ทำได้ง่าย ขึ้น แม้นว่าเนื้อหาที่จะสอนมีมาก ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะยัดเยียดความรู้ลงไปในสมองของเด็ก ต้องใจเย็นค่อยๆสอนทีละประเด็น ถ้าประเด็นแรกทำให้เด็กเกิดความเข้าใจได้  เขาก็จะสนใจที่จะเรียนรู้ในขั้นตอนต่อไป เมื่อมีความเข้าใจ พอใจแล้วก็จะเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ต่อไป เพราะเกิดความพอใจว่าตนเองมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้เหมือนคนอื่น  ในที่สุดบทต่อไป หรือประเด็นต่อไปก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลืออีก   การสอนเด็กสำคัญที่ว่าเด็กเพิ่มความมั่นใจ และึกเหิมหรือเปล่า  ถ้ายิ่งสอน เด็กก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเลย การสอนก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ เพราะเด็กจะไม่ใช้ความพยายามของตัวเองเพื่อความก้าวหน้าอีกต่อไป
๑๔.ขณะสอนต้องคำนึงว่า การใช้สมองหลายส่วน ในการเรียนรู้  :การ สอนเด็กมีข้อสำคัญคือ ต้องให้เด็กได้ใช้สมองหลายส่วนให้สมองของเด็กได้เข้าร่วมในการเรียนรู้หลาย ส่วน  เช่น  ส่วนรับภาพ ส่วนรับกลิ่น ส่วนรับสัมผัส ส่วนรับรส เป็นต้น ยิ่งสมองหลายส่วนร่วมในการเรียนรู้  สมองยิ่งเรียนรู้ได้เร็วขึ้น  ถ้าสอนเรื่องเศษส่วน ให้เด็กลองพับกระดาษ ผ่าแตงโม  ลองเทน้ำออกจากแก้ว แล้วอธิบายให้เด็กฟัง ให้เด็กอธิบายสิ่งที่ลองทำ เพื่อให้สมองส่วนรับภาพ ส่วนรับสำผัส ส่วนเปล่งเสียง  ถูกกระตุ้นให้ทำงาน การสอนโดยการอธิบายเพียงอย่างเดียว แสดงว่ายังไม่ได้ใช้ความเข้าใจสมองของเด็กเป็นหลักในการเรียนรู้(Brain Based Learing)
๑๕. พยายามกระตุ้นสมองส่วนรับภาพ อย่าใช้วิธีการบรรยายล้วนๆในเรื่องการเรียนรู้ที่ยุ่งยาก : เช่นถ้าสอนเรื่องพลังงาน หรือเรื่องแม่เหล็ก  อย่าอธิบายด้วยวาจาหรือขีดเขียนอธิบายมากมาย เพราะสิ่งที่เราเข้าใจเด็กอาจไม่เข้าใจ  จำเป็นที่ต้องอธิบายด้วยของจริง ภาพจริง  ภาพเคลื่อนไหว  เหตุการจริง หลังจากนั้นจึงค่อยสรุปอธิบายด้วยวาจา  ถ้าอธิบายด้วยวาจาอย่างเดียว เด็กจะเรียนรู้ได้น้อยมาก

๑๖.เด็กเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง :อย่าเร่งความเร็วในการสอน หรือเร่งจังหวะในการพูด เพราะการพูดของคนสอน เร็วตามความเข้าใจของคนสอนเอง(your own speed) แต่เด็กจะเข้าใจได้แค่ไหน ขึ้นกับความสามารถในการเข้าใจในถ้อยคำที่ได้ยินนั้น เด็กจะต้องเรียนรู้ด้วยจังหวะ (rhythm)  และด้วยความเร็วของสมองของตนเอง(child's own speed) ต้องสอนด้วยความช้าพอสมควรในเรื่องที่เรียนรู้ได้ยาก  เพราะเด็กต้องทำความเข้าใจทีละประเด็น ทีละขั้น เมื่อถึงตอนที่สรุป อย่าถามว่า ทั้งหมดที่สอนนี้เข้าใจไหม แต่ควรพูดว่า ลองอธิบายดูสิว่าลูกเข้าใจอย่างไร , ลองให้เด็กอธิบาย , ลองทำดูสิ, ลองเขียนดูสิ, ลองอ่านให้ฟังดูสิ, อ่านประโยคนี้เข้าใจว่าอย่างไร

๑๗.ทำให้เด็กมีความหวัง มีความมั่นใจในตนเอง ในการต่อสู้ในระบบการเรียนการสอน : โลกของเด็กส่วนหนึ่งคือ ระบบการเรียนการสอนที่เด็กต้องต่อสู้ และถูกทดสอบด้วยการวัดผลด้วยวิธีต่างๆ ลองหาหนังสือแบบทดสอบต่างๆที่นอกเหนือจากที่เด็กใช้ในโรงเรียน รวมทั้งเนื้อหา กิจกรรมแบบอื่นๆในเว็บไซด์ ที่ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ได้ดีขึ้น อาจกำหนดให้เด็กทำในวันหยุดหรือประกอบการทบทวนกับหนังสือที่ใช้ในโรงเรียน ถ้าแบบฝึกหรือหนังสือเสริมนั้นสนุก ไม่ยากที่จะเรียนรู้ เด็กจะสนุกและชอบที่จะทำ เพราะเด็กทุกคนไม่มีใครอยากอยู่รั้งท้ายในห้องแน่นอน
๑๘.สมองต้องการความรู้สึกปลอดภัยขณะการเรียนรู้ : ขณะคุณพ่อคุณแม่สอนลูก ต้องให้ลูกรู้สึกปลอดภัย หมายความว่า ไม่ว่าจะสอนด้วยอารมณ์แบบไหน ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีที่สุด อย่าให้เด็กรู้สึกหวั่นไหว ไม่สบายใจ กังวล การที่เด็กไม่เข้าใจบทเรียน แสดงว่าบทเรียนยากเกินไปสำหรับเขาหรือเกิดการพลาดไปแล้ว คนที่ทำพลาดย่อมรู้ ว่าตนเองย่อมรู้ว่าตนเองบกพร่อง มีความไม่สบายใจ หวาดหวั่น เป็นทุนอยู่แล้ว เด็กจึงต้องการกำลังใจ  ความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจขึ้น พ่อแม่ควรทำให้เด็กรู้สึกว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา ขณะเดียวกันต้องทำให้เด็กเห็นว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่ดี ต้องร่วมชื่นชมกับลูก ชี้ให้เด็กเห็นว่า เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนคนอื่น  

๑๙.ฝึกเด็กให้รู้จักใช้ประโยชน์จากโลกเทคโนโลยี : การใช้เทคโนโลยีเช่น คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต  อาจมีความจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในปัจจุบัน เพราะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่ผู้ปกครองควรอยู่ดูแลและช่วยแนะนำ ปัจจุบันการค้นคว้าจากกูเกิ้ลเป็นวิธีที่ง่าย แต่เด็กเล็กอาจใช้ไม่ได้ง่ายนัก เช่นการค้นคว้าเรื่องระบบสุริยะ ถ้าเข้าที่องค์การนาซ่าจะได้ข้อมูลได้ถุกต้อง ชัดเจน ได้มากกว่า

๒๐.เด็กต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆในการเรียนรู้ให้เป็น :สอน ให้เด็กรู้จักการบันทึก จดโน๊ต ย่อสรุป รู้จักใช้ ปากกาไฮไลน์เน้นข้อความ ใช้การเว้นวรรค เว้นบรรทัดให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้การอ่าน การทบทวนทำได้ง่ายขึ้นลองให้เด็กอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ว่าเข้าใจอะไรบ้าง ลองสรุปเนื้อหาว่าทำได้ไหม เข้าถึงเนื้อหาไหม เด็กมีไม่น้อยที่เรียนโดยการฟังคำบรรยายแล้วแต่เข้าไม่ถึงตัวความรู้จริงๆ และยังไม่สามารถสรุปได้
๒๑.ต้องมีช่วงเรียน ช่วงพัก ไม่ควรสอนเด็กต่อเนื่องใช้เวลานานเกินไป    การใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ ไม่มีประโยชน์โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียน ควรใช้เวลาเป็นช่วงๆ เรียน  พัก  มีเวลาทำกิจกรรม อื่นๆคั่นเวลา (break) เพื่อเตรียมพร้อมจะเรียนรู้อีกครั้ง มีการวิจัยทางสมองพบว่า แม้นเวลาที่เรียนราวสี่สิบนาที ก็ยังมีช่วงเวลาที่เป็นนาทีทองprime time  ช่วงขาลงdowntime   ในช่วงสิบถึงยี่สิบนาทีแรกเป็นช่วงการเรียนรู้ที่ดีที่ของสมอง  หลงจากนั้นสิบนาทีที่สองจะเป็นช่วงตกลงมา อีกสิบนาทีหลังสมองจะกลับมาเรียนรู้ได้ดีอีกครั้งถือเป็นช่วงนาทีทองที่สอง  ความรู้จากการวิจัยนี้อาจนำมาใช้ได้ในห้องเรียน แต่ต้องดูตัวแปรอื่นด้วย

 ๒๒.

๒๓.  การนอนหลับมีผลสำคัญต่อสมอง   อย่ากดดันให้เด็กทำการบ้านจนดึกจนดื่น เพราะการนอนหลับเป็นการพักผ่อนของสมอง จำเป็นสำหรับการพัฒนาความจำ ยิ่งนอนน้อยสมองก็ยิ่งจำแย่   ในตอนกลางคืนสมองยังทำงานอยู่โดยเฉพาะส่วนฮิปโปแคมปัส  ซึ่งจะทำงานส่วนย้ำข้อมูลที่ได้บันทึกตอนกลางวันให้เป็นความจำที่ถาวร(long term memory) ถ้าเด็กนอนไม่พอความจำจะแย่ลง ให้สังเกตุว่าช่วงที่เด็กที่นอนไม่พอ ความจำจะแย่ลง การเรียนจะไม่ดี ไม่มีสมาธิในการเรียน  เด็กควรนอนวันละ ๙-๑๐ ช.ม.  จึงจะเพียงพอ
ขอบคุณข้อมูลจาก Brain Base Learning Thailand

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอนุบาล

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอนุบาล ๑


อยากนำมาแบ่งปันกัน เพื่อเราจะได้มีลูกหลานไทยที่ฉลาดๆมากๆ แล้วช่วยกันพัฒนาประเทศไทยกันน่ะค่ะ ซลสมอง ของเด็กสามารถแยกรับเสียงภาษาต่างๆได้ตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 8-12 เดือนแรก เด็กจะแยกแยะเสียงต่างๆได้ดีแล้ว การเรียนรู้จะไปได้ดี จนถึงอายุ 7 ปี หลังจากนั้นจะกระตุ้นได้ยากขึ้น การอ่านหนังสือเป็นการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาที่ดี เด็กควรได้รับฟังบทเพลงภาษาท้องถิ่นและดนตรีต่างวัฒนธรรมได้ตั้งแต่ขวบปีแรก ดังนั้นการเปิดเพลงภาษาที่หลากหลายและสนทนาให้เด็กฟัง ตั้งแต่วัยเด็กเป็นสิ่งที่ดี ที่ผู้ดูแลเด็กควรทำอย่างสม่ำ   เสมอ การกระตุ้นภาษาที่ต่างกันในวัยเด็ก คือที่มาของความเหลื่อมล้ำในพัฒนาการทางภาษา อารมณ์และจิตใจของเด็ก


๑. ทำไมสมองจึงฉลาดขึ้น? :
จุดเริ่มต้นของความเฉลียวฉลานคือการกระตุ้นสมองให้ทำงาน โดยธรรมชาติคือการลงมือทำสิ่งต่างๆ

งานที่สมองถนัดที่สุดก็คือ "การเรียนรู้" (learning) ระบบในสมองก็ออกแบบมาเพื่อทำการเรียนรู้ จุดเริ่มต้นของความเฉลียวฉลาดก็คือ การกระตุ้นให้สมองทำงาน โดยธรรมดาที่สุด ก็คือ ลงมือทำกิจวัตรต่างๆ เพราะเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว ก็แปลว่าสมองกำลังทำงาน และการทำงานของร่างกายก็ย้อนกลับขึ้นไปพัฒนาสมองอีกทีหนึ่ง

หลักการสำคัญที่จะทำให้สมองฉลาดขึ้น คือ...

๑.สมองของเราฉลาดขึ้นโดยการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับโลก

เซลสมองจะมีเดนไดรท์ (แขนของเซล) งอก แตกแขนง เมื่อผ่านเหตุการณ์แปลกใหม่ และเมื่อฝึกฝนซ้ำๆ เป็นสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ยังยืนยันว่า ยิ่งเราสร้างวงจรในสมองมากเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันถ้าสมองไม่เข้าไปมีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั่งเคยมีแต่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อมา กลุ่มเซลที่เคยทำงานแน่นแฟ้นก็จะคลายลง จนกระทั่งสลายตัวไป ความรู้นั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่ในสมองของเราอีก

๒.สมองจะฉลาดขึ้น ถ้าได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับอายุและช่วงวัย

หลักการสำคัญ คือ
- เด็กทารกและเด็กเล็ก : เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างวงจรควบคุมการรับรู้สัมผัสและการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ สมองเด็กจะมีความ "ไว" เป็นพิเศษในการตอบรับต่อการพัฒนาอายตนะทั้งหมด
- เด็กวัยประถมปลายเป็นต้นไป : สมองส่วนสัมผัสและเคลื่อนไหว "พร้อม" ระดับหนึ่ง หลังจากนี้จะได้ทำการพัฒนาจินตนาการและความคิดต่างๆ โดยอาศัยการสัมผัส จับต้อง มองเห็น จากของจริงที่เป็นรูปธรรม และใช้ศักยภาพในการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ ทำการสำรวจ เก็บสะสม รวบรวมข้อมูล และประสบการณ์รอบตัวต่างๆ
- เด็กวัยรุ่น : เป็นช่วงที่สมองมีความพร้อมมาก แต่ยังไม่มากเท่าผู้ใหญ่ ช่วงวัยรุ่นนี้เด็กต้องการใช้ สมอง และร่างกายทดลองปฏิบัติการ ทำการเรียนรู้อย่างจริงจัง ก่อรูปความคิดนามธรรมต่างๆ สร้างวิธีคิดหรือทฤษฎีที่ตนเองจะอธิบายโลกได้ เข้าใจโลกได้ บางครั้งความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากจนอาจถึงระดับ "เสี่ยง" เด็กวัยนี้ยังต้องการใช้ร่างกายเข้าร่วมในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ครูผู้สอนจะเน้นเฉพาะการบรรยายอย่างเดียวไม่ได้

พรพิไล เลิศวิชา : ครูเก่งเด็กฉลาด,สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.2552
See More

๒.
สมองจำเป็นต้องใช้พลังงาน : สมองมีขนาดเล็กกว่าร่างกายมาก แต่สมองต้องการพลังงาน ถึง20 % ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน

พลังงานสำคัญที่สมองได้รับนั้น มีที่มาสำคัญคือ มาจากเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง เลือดจะนำกลูโคส โปรตีน และสารอื่นๆ รวมทั้งออกซิเจนขึ้นไปเลี้ยงสมอง
- สมองต้องการอาหารและน้ำ : เช่นเดียวกับร่างกาย วันหนึ่งสมองต้องการน้ำประมาณ 8-12 แก้ว หากขาดน้ำสมองจะเหนื่อยล้า...
- สมองต้องการออกซิเจน : สมองใช้ออกซิเจน 20% ของปริมาณออกซิเจนทั้งหมดที่ร่างกายรับเข้าไป ถ้าสมองขาดออกซิเจน สมองจะไม่ทำงาน ร่างกายจะเป็นอัมพาต และถึงแก่ชีวิต
- สมองต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่างๆ : อาหารที่ถือว่าบำรุงสมอง คือ กรดอะมิโน จำพวกไทโรซีน (tyrosine) และเฟนนิลอะลานีน (phenylalanine) ซึ่งมาจากอาหารโปรตีนสูง ได้แก่ เป็ด ไก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และอาหารทะเล ซึ่งมีไอโอดีน ที่ร่างกายใช้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ หากฮอร์โมนไทรอยด์ไม่พอ สมองจะทำงานช้าและเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง
- สมองต้องการเสียง (sound) : เป็นที่มาของพลังงานที่สำคัญของสมองเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เสียงเพลง ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานกล (ที่หูส่วนกลาง) แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าป้อนเข้าสู่สมอง ดังนั้น เด็กๆ ควรจะได้ฟังเพลงเป็นอาหารสมองด้วยอีกทาง ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เปิดดนตรีเบาๆ เวลาเด็กอนุบาลนอน หรือในบางชั่วโมงขณะเรียนหนังสือ

ที่มา : พรพิไล เลิศวิชา. ครูเก่งเด็กฉลาด,สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.2552


๓. อารมณ์สำคัญต่อสมองหรือไม่
: สมองจะเก็บเฉพาะข้อมูลและที่ดึงดูดความสนใจ มีความหมาย มีความสำคัญ ดังนั้นอารมณ์จึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เราจำหรือลืมไป
ข้อมูลที่ดึงดูดอารมณ์ หรือความสนใจของสมองจนทำให้สมองสามารถบันทึกข้อมูลนั้นไว้ได้ดี มีลักษณะที่สำคัญ คือ
๑.ข้อมูลนั้นมีความแปลกใหม่
๒.ข้อมูลนั้นมีความเข้มข้นจัดจ้าน
๓.ข้อมูลนั้นมีการเคลื่อนไห
๔.ข้อมูลนั้นมีความหมาย...
๕.ข้อมูลนั้นกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก

ดังนั้นในการออกแบบแผนการสอน สื่อการสอน เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจเรียนรู้ และสมองจำข้อมูลได้ดี คุณครูจึงควรคำนึงถึงหลักการทั้ง ๕ ข้อข้างต้นเป็นสำคัญ

๔. อ่านให้หนูฟังหน่อย :
ถ้าจะให้สมองของเด็กอนุบาลพัฒนา ต้องพัฒนาสมองส่วนควบคุมภาษาพัฒนาให้ดีเสียก่อน โดยการอ่านหนังสือให้เด็กฟังและพูดคุยกับเด็ก


๕. EQดี มาจากสมองแบบไหน : การพัฒนาศักยภาพทางอารมณ์เป็นการพัฒนาทางภาพรวม สิ่งสำคัญคือให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหวและใช้ประสาทสัมผัส ซื่งเป็นการพัฒนาการสำคัญของสมองเด็กปฐมวัย
ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเด็ก มีดังต่อไปนี้

1. เด็กได้เล่นมากแค่ไหน?
2. เด็กได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ ในการฟัง พูด อ่าน เขียน มากแค่ไหน และเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร
3. เด็กมีของเล่นมากพอหรือเปล่...
4. มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวหรือเปล่า
5. เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนหรือเปล่า
6. เด็กได้รับความรัก ความเอ็นดู ความชื่นชมบ้างหรือเปล่า
7. ในบ้านมีการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติหรือเปล่า
8. มีกิจกรรมอะไรที่เป็นการลับสมอง เช่น เล่นทายปริศนา หรือเกมต่างๆ บ้างหรือไม่ ได้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันที่บ้าน ในชุมชน และในโรงเรียนหรือเปล่า
9. ในชีวิตของเด็ก เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์หรือ เปล่า ว่าทุกอย่างมีข้อจำกัด ต้องมีการควบคุม และต้องมีวินัย (ทั้งการตามใจจนเกินไป และเข้มงวดจนเกินไป ก็ล้วนแต่มีผลเสียต่อความมั่นคงทางอารมณ์และบุคลิกภาพ)

สิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกระตุ้น และเปลี่ยนแปลงเด็กอยู่ทุกวัน ปัจจัยทั้ง 9 ประการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีผลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็กในแต่ละวันที่ผ่านไป


๖. ขณะที่เล่นสิ่งที่สมองทำคือ

-ก่อรูปท่วงท่าหรืออิริยาบทถัดไป ของปฎิบัติการที่จะทำไว้ในสมอง
-ก่อรูปหรือคาดการณ์ผลที่จะเกิดจากปฎิบัติการนั้นไว้ในสมอง
-เมื่อลงมือทำตามที่คาดคิดไว้แล้ว ก็รอรับรู้ว่าผลที่จะเกิดขึ้นของการปฎิบัติการว่าเป็นไปตามที่สมองคิดไว้หรือไม่
-รับรู้ผลที่เกิดขึ้น แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผลที่คาดการณ์ไว้
-สมองจัดการปรับแต่งปฎิบัติการให้ตรงกับความเป็นจริงยิ่งขึ้นต่อไป
ดังนั้น การเล่นจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้นั่นเอง

๗.บุคคลิกภาพและนิสัยใจคอต้องฝึกตั้งแต่เด็ก อย่าคิดว่า รอให้โตเสียก่อน
การปลูกฝังไม่ใช่เพียงการสอนด้วยคำพูดและการให้เหตุผล ที่สำคัญต้องให้เด็กได้ประสบการณ์จริงจากชีวิตจริง รู้จักร้อนเป็น หนาวเป็น เหนื่อยเป็น หิวเป็น ไม่ใช่รู้จักแต่ความสุข แต่ต้องรู้จักความทุกข์ของตัวเองและคนอื่น ไม่ควรประคับประคองหรือทำแทนเด็กหมดทุกอย่าง สมองจะเรียนรู้สิ่งใดได้ดี ต้องรู้จักเอาร่างกายลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง

๘. ควรยกระดับวิธีคิด วิธีพูดวิธีใช้เหตุผลของเด็กให้โตขึ้นและก้าวหน้าขึ้นตามวัย
วิธีที่หนึ่งคือ สนทนา(dialogue)กับเด็กจริง อย่าคุยพอผ่านๆไปควรใช้ตรรกะของความเป็นจริงและชีวิตมาพูดคุยกับเด็กโดยสมำ ่เสมอ แสดงให้เห็นโลกหลายด้าน ภาษาที่ใช้เป็นสิ่งหนึ่งทีจะช่วยยกระดับความคิด หรือวิธีคิดของเด็ก ควรเลือกใช้คำพูด คำศัพท์ คำอุปมาอุปมัย ยกอุทาหรณ์สุภาษิต เพื่อยกระดับ ความสามารถในการคิดของด็ก เช่น อย่าเขียนเสือให้วัวกลัว คนล้มอย่าข้าม วัวหายล้อมคอก เสียน้อยเสียมาก เสียมากเสียง่าย เหล่านี้ควรพูดเป็นประจำเพื่อปลูกฝังวิธีคิดของเด็กตั้งแต่ยังเล็ก

๙. ภาพยนต์เป็นสี่อที่เป็นแรงจูงใจ และสร้างวิธีคิดให้เด็กซึมซับได้ดีวิธีหนึ่ง
ควรหาภาพยนต์ดีๆทั้งของไทยและสากล ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรนั่งดูอยู่ด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นครอบครัว ทั้งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รู้จักความคิดของคนในครอบครัวซึ่งกันและกัน โดยผ่านตัวละครและช่วยกระตุ้นพัฒนาการความคิด นอกจากภาพยนต์ชีวิตแล้ว ควรดูสารคดี ตั้งแต่ยังเด็ก อย่าสอนให้เด็กดูแต่ละครเจ้าชายเจ้าหญิง หรือภาพยนต์เบาสมอง ควรมีภาพยนต์ดีๆอยู่ในมือ ไม่ใช่จัดหาไปตามกระแสโฆษณา

๑๐.อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นประจำ เราควรจะอ่านหนังสืออะไรให้เด็กฟังบ้าง? ควรเริ่มจากหนังสือภาพที่มีตัวอักษรน้อยๆ จนถึงไม่มีภาพ กระจายประเภคของหนังสือที่อ่านให้กว้างขวาง เช่นหนังสือประเภควรรณกรรมเด็ก สารคดีที่สอดคล้องกับวัยของเด็ก แม้นมีศัพย์ยากปนบ้างก็ไม่เป็นไรอย่ากังวล ถ้าหนังสือน่าสนใจ เด็กจะอยากฟังและจะสนใจเรียนรู้คำศัพท์ยากโดยวิธีลัดคือเทียบเคียงถอดความ เข้าใจ จากกระบวนความตามเรื่องที่ได้ฟัง ยิ่งอ่านมากเด็กยิ่งมีคลังคำศัพท์( word bank) อยู่ในสมองและพัฒนาการด้านการคิดจะดีขึ้น การอ่านให้ฟังควรทำไปจนถึงชั้นประถมปลาย เพียงแต่ลดความถี่ลง หนังสือบางเล่มอ่านให้ฟังเพียงบทเดียว เด็กสนใจก็จะตามอ่านต่อเอง
หวัง ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับทุกๆท่านน่ะค่ะ  เด็กจะเติบโตแบบมีคุณภาพ เป็นคนดีมีความสามารถ ก็ขึ้นกับผู้ใหญ่รอบตัวเด็กช่วยกันพัฒนาเด็กๆเหล่านี้น่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก  Brain based learning  

การเล่นของลูกเพื่การพัฒนาสมองน้อยๆ

การเล่นของลูกเพื่การพัฒนาสมองน้อยๆ
  ได้มีโอกาสไปเรียนกับคุณหมอจันท์ฑิตา พฤกษานานนท์  ปีที่แล้ว รู้สึกชอบมากๆ วันนี้ไปเจอบทความของบุ๊คฟอร์คิดส์ จึงขอนำมาแบ่งปันบางส่วนน่ะค่ะ
"ปล่อยให้น้อง ๆ เล่นคนเดียวบ้างนะคะ น้อง ๆ จะได้มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ค่ะ 


ความสำคัญของการเล่นคนเดียว โดย พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ /คลินิกเด็ก.คอม

แม้ว่าการเล่นกับผู้ใหญ่ และเด็กคนอื่นๆ นั้นสำคัญต่อการพัฒนาการของเด็กมาก แต่ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการเด็กนั้น จะมีความเห็นว่า เด็กเองก็ ควรที่จะมีเวลาเป็นของตนเอง โดยปล่อยให้อยู่คนเดียว... และเล่นของเขาเองบ้าง ซึ่งในการที่เด็กได้อยู่คนเดียวนั้น ทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ลองทำอะไรเอง แม้ว่าจะผิดจะถูก และหัดการพึ่งตนเอง ฝึกสมาธิ ได้ทำอะไรตามที่ตนเองต้องการทำ โดยไม่มีใครมากวนหรือชี้นำ

ที่ สำคัญคือ การที่เด็กได้มีโอกาสทำอะไรเอง และฝึกที่จะเล่นคนเดียวบ้าง ทำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองดีขึ้น และมีความภูมิใจในตนเอง (self-esteem)

ในขั้นตอนการพัฒนาการของเด็กปกตินั้น เด็กจะเริ่มรู้สึกว่า ตนเองมีตัวตน และแตกต่างจาก พ่อและแม่ ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน การให้เด็กเล่นคนเดียว เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักตนเอง และเป็นเพื่อนของตนเองได้ เด็กจะไม่รู้สึกเหงา หรือกลัว เมื่อต้องอยู่คนเดียว ดังนั้นเมื่อเขาโตขึ้น และเริ่มออกไปสู่โลกภายนอก เขาจะสามารถหาเพื่อนใหม่ได้เสมอ เพราะเขาชอบที่จะมีเพื่อน ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว

ข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ของการปล่อยให้เด็กเล่นเองคนเดียวบ้างก็คือ คุณพ่อคุณแม่พอที่จะมีเวลาว่างเพื่อ ไปทำสิ่งอื่นๆ ได้ เช่น การโทรศัพท์ติดต่อธุระ หรือการพักผ่อนสักครู่ เพื่อเติมพลังก่อนที่จะมาดูแลเขาใหม่ แต่การปล่อยให้เด็กอยู่เล่นคนเดียว ไม่ใช่เป็นการปล่อยทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวในห้อง หรือบนเตียงที่ทำเป็นคอกไว้

ก่อนที่คุณจะฝึกให้ลูกอยู่เล่นเองคนเดียว คุณควรที่จะเตรียมตัวลูกให้พร้อม ที่จะอยู่เล่นเองคนเดียวได้ โดยคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

สิ่งแรกคือ คุณควรจะรู้ถึง ขั้นตอนการพัฒนาการของเด็กในแต่ละอายุด้วย เพราะเด็กที่อายุมากขึ้น จะสามารถเล่นเองคนเดียว ได้นานมากขึ้น เช่น เด็กอายุ 6 เดือน จะสามารถอยู่เองคนเดียว ได้ประมาณ 5 นาที, อายุ 1 ขวบ จะเล่นเองคนเดียว ได้ประมาณ 15 นาที พออายุ ขวบครึ่ง จะประมาณ 15 ถึง 20 นาที ขณะที่อายุ 2 ขวบขึ้นไป จะได้ประมาณครึ่งชั่วโมง

นอกจากนี้ คุณควรที่ดูลักษณะนิสัยส่วนตัวของลูก ด้วย เด็กบางคนอาจจะชอบร้องกวน โวยวาย ให้มีคนอุ้ม หรืออยู่ด้วยตลอดเวลา แต่บางคนอาจจะอยู่คนเดียว บนเตียงของเขาเองได้ตั้งแต่เล็ก ซึ่งจะทำให้การฝึกให้ลูกเล่นเองคนเดียว ทำได้ง่ายขึ้น

เมื่อคุณเริ่มฝึกลูก คุณควรที่จะเริ่มทำทีละน้อย และสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กคุ้นเคยก่อน เลือกหาที่ที่จะให้เด็กอยู่ได้ตามลำพัง โดยควรเป็นที่ที่สำรวจดูแล้วว่า จะปลอดภัยต่อเด็กไม่เกิดอุบัติเหตุอื่นได้ง่าย พยายามพาลูกมาเล่นในบริเวณนี้ทุกวัน หาหนังสือ หรือของเล่นที่เขาชอบมาไว้ให้ และในช่วงแรก คุณควรที่จะเล่นกับเขาให้เขาคุ้นเคยก่อน จนเริ่มที่จะเล่นเอง จากนั้นคุณจึงค่อยถอยห่างออกไปในแต่ละวัน จนคุณแน่ใจว่า เขาสามารถดูแลตนเองได้ จึงค่อยปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังได้

แต่สำหรับเด็กเล็กกว่า 1 ขวบ มักจะไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ คุณควรจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงใน ห้อง และคอยตอบสนองเขา เมื่อเขาเรียกหา ถ้าเด็กโตขึ้น อาจจะเล่นเองได้นานขึ้น คุณก็อาจจะทำงานอยู่ในห้องข้างๆ ที่จะสามารถได้ยินเสียงลูกร้อง และแวะเข้ามาดูเขาบ้างเป็นครั้งคราว คอยพูดคุยกับเขา ให้เขาสบายใจว่า คุณยังอยู่ใกล้ๆ และจะมาหาเขาได้เสมอ เมื่อเขาต้องการ แต่ถ้าลูกหยุดเล่นทันทีที่เห็นคุณทำท่าจะจากไป คุณควรจะให้เวลาเล่นกับเขาต่ออีกสักหน่อย แล้วค่อยๆ ผละออกไปสักพัก (ไม่กี่นาที) แล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่ เพื่อให้เขาวางใจว่าคุณไม่ได้หายไปไหน

เด็กบางคนจะกลัวการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว กลัวการพลัดพราก (separation anxiety) เนื่องจากเด็กยังไม่ความเข้าใจความ หมายของเวลา และการคอย เขาไม่รู้ว่า เมื่อเห็นคุณเดินออกไปจากห้อง (หรือหายไปจากสายตาเขา) อีกนานเท่าไรคุณจึงจะกลับมาอีก ทำให้เขามีอาการเกาะติดคุณแจ เมื่อเห็นว่าคุณกำลังจะจากไป คุณจึงควรฝึกเขา และให้ความมั่นใจแก่เขาว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในห้อง แต่คุณก็อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง ซึ่งเมื่อคุณทำอย่างนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง ลูกก็จะวางใจ และสนใจในของเล่นของเขา มากกว่าที่จะคอยจ้องดูว่า คุณจะหลบออกไปจากเขาเมื่อไร

บางครั้งอาจจะไม่ใช่อยู่ที่ตัวลูกเอง ที่ไม่อยากอยู่คนเดียว แต่เป็นจากตัวคุณพ่อคุณแม่เองด้วย เนื่องจากสมัยนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร หลายคนจะได้ยินเกี่ยวกับโรคของเด็ก เช่น โรคออทิสติค ฯลฯ เลยมีความรู้สึกว่า จะต้องกระตุ้นพัฒนาการของลูกให้มากๆ จึงพยายามที่จะทำอะไรๆ กับลูกตลอดเวลา จนบางทีทำให้เด็กเหนื่อย และหงุดหงิด อีกทั้งไม่ได้มีโอกาส “ลองทำเอง” ดูบ้างอย่างที่ตนเองต้องการ ทำให้กลายเป็นเด็กที่ติดพ่อแม่ และไม่กล้าที่จะอยู่คนเดียว เล่นคนเดียว คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะรู้สึกผิด ถ้าไม่ได้เล่นกับลูกให้มากๆ แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา จึงพยายามกระตุ้นลูกทุกวินาที จนเด็กเบื่อไปเลย  ซึ่งอยากให้คุณพ่อคุณแม่เดินสายกลาง คือ ปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสเล่นโดยลำพังของเขาเองบ้าง กับมีโอกาสเล่นกับคนอื่นๆบ้าง แม้ว่าอาจจะยาก ที่เราจะทำนิ่งเฉยปล่อยให้เด็กเล่นอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่เราเองก็ว่าง

แต่ในบางครั้งเราต้องรู้ว่า การที่ลูกได้มีโอกาสทำอะไรเอง และเล่นคนเดียวเองบ้างนั้น เป็นการเสริมพัฒนาการของเขาเองเช่น กัน ถ้าคุณได้ลองสังเกตลูกดูว่า เขาเล่นของเขาเองอย่างไร คุณอาจจะประหลาดใจ ที่เด็กจะมีความคิด และวิธีการเล่นสิ่งของต่างๆ (แล้วแต่วัยของเขา) ที่ฉลาดและน่าทึ่งทีเดียว ซึ่งผู้ใหญ่เอง ก็อาจจะได้เรียนรู้จากเด็กด้วย เพราะมีคุณพ่อคุณแม่หลายคน อาจจะใช้เวลาเล่นกับลูก แต่ก็พยายามฝึกให้ลูกต้องทำต้องเล่น แบบที่ผู้ใหญ่ทำกัน ซึ่งในบางครั้ง อาจเป็นการปิดกั้นการมีความคิดสร้าง สรรค์ หรือมุมมองของเด็ก ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ทำให้เด็กสูญเสียความสามารถ ในการพัฒนาตนเอง ในแง่เหล่านี้ไป เพราะถูกผู้ใหญ่ตีกรอบไว้ ให้หมดแล้ว

ในแง่ของการเลี้ยงดูลูกแบบสมัยใหม่ ที่จะให้เด็กได้มีอิสระ และใช้ความสามารถในตัวเขาเอง ในการเล่นและแก้ปัญหา การที่คุณพ่อคุณแม่ได้มีโอกาส ปล่อยให้เขาเล่นเองตามลำพังบ้าง ก็จะช่วยให้เขาได้ฝึกฝน การเป็นตัวของตัวเอง และได้ลองใช้ความสามารถส่วนตัวของเขา ในการสังเกต และการใช้ สายตา,มือ, เท้า และ ระบบประสาทอื่นๆ ในการเล่น คุณพ่อคุณแม่ยังควรใช้เวลาอันมีค่ากับเขา เช่น การเล่านิทานก่อนนอน หรือการร้องเพลงกล่อมเด็ก ในช่วงก่อนนอน เพื่อให้เขาสัมผัสได้ ถึงความรักความอาทรที่เรามีต่อเขา เพื่อที่เด็กจะได้เติบโต ไปเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะที่เหมาะสมไปตามวัย
ขอบคุณข้อมูลจาก บุ๊คฟอร์คิด และขอบคุณคุณหมอจันฑิตา  ที่มีข้อมูลดีๆมาเสมอค่ะ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ของแถมค่ะ

เด็กรู้สึกว่าถูกรัก เมื่อได้รับการสวมกอด การหอม คำชมเชย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำแสดงความชื่นชมยินดีในตัวของเขา
เด็กรู้สึกว่าได้รับการให้เกียรติ เมื่อมีคนยอมนั่งฟัง สิ่งที่เค้าอยากจะพูด
เด็กรู้สึกว่า คนรอบข้างของเขา รักเขาด้วยความจริงใจ  ให้ความใส่ใจ เต็มไปด้วยสัมผัสที่อบอุ่น

Smiley Smiley

สมอง ของมนุษย์เรามีระบบความจำสองแบบ คือ การจำแบบท่องจำ(Explicit memory) เช่นการจำข้อมูล การท่องจำวิชาต่างๆ และแบบที่สองคือ การจำแบบลงมือทำ (Implicit memory) เช่นการขี่จักรยาน การเล่นคอมพิวเตอร์ การเล่นเปียนโน ความทรงจำสองแบบนี้รับส่งลูกกันตลอดเวลาเพื่อสร้างความทรงจำระยะสั้นและระยะ ยาวให้กับเราตลอดชีวิต
Smiley Smiley

ฝึกคัดแยก (Sorting)

การ ฝึกให้สมองรู้จักสังเกต เป็นงานสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้คนรู้จักสังเกตได้ง่ายๆ ในกิจกรรมนี้ สมองจะจัดการแยกแอปเปิลไปทางหนึ่ง กีวีไปทางหนึ่ง ส้มไปทางหนึ่ง ขณะที่จับแยกนั้น สมองเรียนรู้ สังเกตโดยปริยายว่า ลักษณะของมะเฟืองเป็นแบบนี้ (รูปดาว) ลักษณะของกีวีเป็นแบบนี้ การใช้มือจับซ้ำ ก็คือการฝึกทักษะในการสังเกต (observation) อย่างต่อเนื่องกันนั้นเอง

ที่มา : 100 ideas สื่อการสอนปฐมวัย

มอนเตสซอรี่- เมื่อมีโอกาสได้ไปร่วมอบรมการดูแลเด็กสำหรับผู้ช่วย/พี่เลี้ยงดูแลเด็กวัย 0-3 ปี

มอนเตสซอรี่- เมื่อมีโอกาสได้ไปร่วมอบรมการดูแลเด็กสำหรับผู้ช่วย/พี่เลี้ยงดูแลเด็กวัย 0-3 ปี


เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ได้มีโอกาสไปฟังการอบรมหลักสูตรการดูแลเด็กวัย 0-3 ปีสำหรับพี่เลี้ยง จัดโดยสมาคสมอนเตสเชอรี่แห่งประเทศไทย ขอบคุณอาจารย์กรรณิการ์ บัต ครูตู่ ผู้ที่ทำให้ได้รับข่าวว่ามีการอบรมและได้ีโอกาสไปร่วม เนื่องจากเวลาในการอบรมไม่มากผู้สอน อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านนี้(หนึ่งในห้าของโลก ได้ยินมาแบบนี้น่ะค่ะ) ท่านบอกว่าคงแบ่งปันได้ไม่ลึกนักเพราะเรียนจริงๆอย่างน้อยหกเดือน นี่มีโอกาสเพียงสิบกว่าวัน แต่ก็ได้อะไรดีๆแยะๆ จะขอนำมาแบ่งปันกันน่ะค่ะ
เด็ก วัยก่อนอนุบาลจะเป็นเด็กที่พร้อมเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวของเขาให้โต ขึ้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อาจารย์มาเรียได้บอกว่า ในทฤษฎีมอนเตสเชอรี่ จะมีลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัย 0-6 ปี ว่าแบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงแรก 0-3 ปี เป็นการเรียนรู้แบบรับเข้ามาหมดทุกอย่างเปรียบเหมือนฟองน้ำที่จะดูดน้ำ ไม่เลือกว่าอันนี้เอาอันนั้นไม่เอา ท่านเรียกว่า จิตซึมซับ (Aborbent Mind) คือบันทึกเข้ามาหมดเหมือนถ่ายรูปแล้วไปเก็บไว้ในสมองและนำมาพัฒนาตัวเอง เป็นการรับรู้แบบไม่รู้ตัว (unconcious)
ต่อมาเป็นวัย 3-6 ปีเด็กก็ยังมีจิตซึมซับก็ซึมซับเข้ามาเหมือนกัน แต่รู้ตัวว่ากำลังรับรู้อะไรอยู่
จิต ซึมซับ เป็นภาวะที่เด็กเรียนรู้โดยการรับรู้ทุกอย่างเข้ามาหมด ไม่เลือกว่าจะรับเรื่องนี้ ไม่รับเรื่องนั้น และจะบันทึกเข้าไปเพื่อการเตรียมตัวที่จะมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การซึมซับของเด็กจะทำให้เกิดการพัฒนาตัวตนของเด็กเองทั้งภายนอกภายในในการ ที่จะเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต่อไปในอนาคต ตัวอย่างเช่น เราจะพบว่า เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นที่ตนเองอยู่อาศัยโดยไม่ต้องเข้าโรงเรียน เพื่อเรียนพูด นี่ก็คือจิตซึมซับ
การเรียนรู้ไว (Sensitive period .....) ดร.มาเรีย มอนเตสชอรี่ ได้ค้นพบว่า ในพัฒนาการของเด็กนั้น เด็กจะมีแต่ละช่วงของชีวิต ไม่เกินหกขวบโดยประมาณ ที่จะมีช่วงเวลาของการเรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างและเป็นการเรียนรู้ด้วย สมาธิที่จดจ่อ ไม่ยอมหยุด เหมือนการลุ่มหลงอยู่กับสิ่งนั้น และจะสามารถรับรู้ได้ดีที่สุดของเขา ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรไปหยุดกลางคันเพราะจะทำให้การเรียนรู้เรื่องนั้นจะไม่ สมบูรณ์และเมื่อผ่านไปแล้ว เมื่อโตขึ้นเด็กกลับมาเรียนสิ่งนั้นใหม่ก็จะไม่ได้ดีเท่าขณะของการเรียนรู้ ตอนนั้นและเป็นช่วงของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นและเมื่อผ่านช่วงนี้ไปแล้วก็จะ ไม่มีการหวนคืนกลับมาอีก
ผู้ใหญ่ที่อยู่ดูแลเด็กมีหน้าที่ที่จะต้องสัง เกตุให้ออกว่า เด็กกำลังมีช่วงของการเรียนรู้อะไร ก็ควรเสริมสิ่งนั้นเข้าไปเช่น ตอนนี้เด็กสนใจด้านดนตรี การเล่นเปียนโน ถ้าได้ให้เรียนในช่วงนี้เด็กจะเรียนได้ดีมากที่สุด หรือกำลังทดลองต่อเลโก้เป็นอะไรสักอย่างและก็ทำแล้วทำอีกทำอยู่นั่นไม่หยุด ไม่วาง เหมือนลุ่มหลงอยู่นั่น ลองปล่อยให้เด็กค่อยๆคิด ค่อยทำไปจนกว่าจะพอใจแล้วหยุดด้วยตัวของเด็กเอง ไม่ต้องกลัวลูกเครียดน่ะค่ะ เพราะเมื่อเขาเสร็จสิ้นงานชิ้นนั้นเขาประสบความสำเร็จ เด็กจะรู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย ไม่เครียดค่ะ แต่ถ้าคุณไปหยุดตอนนั้น เด็กอาจไม่ยอมอาละวาด(ในเด็กบางคน)ไปเลย
และขอสรุปคร่าวๆ ช่วงการเรียนรู้ไวของเด็ก น่ะค่ะ
แรกเกิด - ตลอดชีวิต ภาษา
แรกเกิด - สามขวบ ประสบการณ์ด้านระบบประสาทสัมผัส
แรกเกิด - ๑ขวบครึ่ง เรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหว
๑ ขวบครึ่ง - ๓ ขวบ พัฒนาการด้านภาษาพูด
๑ ขวบครึ่ง - ๔ ขวบ พัฒนาการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อ
๒ - ๔ ขวบ เอาใจใส่สิ่งแวดล้อมและกิจวัตรประจำวัน
๒ - ๖ ขวบ ด้านดนตรี
๒ ขวบครึ่ง - ๖ ขวบ ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน พัฒนามารยาทสังคม
๓ - ๖ ขวบ ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ต่อการกระทำของผู้ใหญ่
๓ ขวบครึ่ง - ๔ ขวบครึ่ง การเขียน
๔ ขวบ- ๔ ขวบครึ่ง รับรู้ต่อการสัมผัส
๔ ขวบครึ่ง -๕ ขวบครึ่ง การอ่าน

มีอีกหลายๆอย่างที่อาจารย์มาเรีย ได้พูดแต่มันแยะจนไม่รู้จะมาแบ่งปันไง เดี๋ยวจะเบื่อไปเสียก่อน ขอแบ่งปันเรื่องการแต่งตัวเองของเด็กน่ะค่ะ อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ท่านบอกว่า
- ในห้องน้ำถ้าเด็กต่ำกว่าสามขวบควรมีเก้าอี้เตี้ยๆที่มั่นคงวางไว้สักตัวเพื่อให้เด็กๆได้นั่งลงเพื่อที่จะถอดกางเกงออกจากตัว เพราะ เด็กวัยนี้ถ้าต่ำกว่าหัวเข่าจะยืนได้ไม่มั่นคงนัก คือ เวลาเด็กถอดกางเกงจะเป็นขายาว ขาสั้นหรือกางเกงในก็ตามเมื่อดึงลงมาถึงเข่า ควรมีเก้าอี้วางเพื่อให้ เด็กนั่งลงแล้วถอดกางเกงออกจากตัวได้เอง แล้วไปทำธุระ เมื่อเสร็จก็จะมานั่งที่เก้าอี้เพื่อสวมเข้าไปแล้วค่อยลุกขึ้นเพื่อดึง กางเกงขึ้นมา นึกภาพออกใช่ไหมค่ะ ครูมดเคยอ่านหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่งเค้าเขียนเรื่องการนุ่งกางเกงของเด็กโดย เด็กนอนลงไปแล้วยกก้นขึ้นเพื่อจะดึงกางเกงขึ้นมาที่เอว ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรดูไปอ่านไป แต่เมื่อมาอบรมที่นี่และเข้าใจในเหตุผลของสรีระเด็กจึงอยากนำมาแบ่งปันกันใน นี้น่ะค่ะ
ขอนำภาพประกอบจากที่เคยถ่ายเก็บไว้ จากหนังสือ คู่มือเลี้ยงเด็กเล็ก (the toddler owner's manual) ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ เพราะภาพเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากมายแก่เด็กเล็กๆค่ะ
ดูรายละเอียดที่ .http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jewelmoda&group=19
มีอีกอย่างที่น่าสนใจคืออาจารย์มาเรียได้พูดถึง ระบบระเบียบ (Order) ชีวิตคนเราต้องมีระเบียบแม้นแต่ธรรมชาติก็ต้องมีระเบียบของมันอยู่ถ้าพระ อาทิตย์ไปขึ้นทางทิศตะวันตกคงวุ่นวายแน่ๆเพราะพระจันทร์จะไปตกที่ไหนดี เด็กเช่นกัน ถ้าผู้ใหญ่สอนให้เด็กมีระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก ก็จะทำให้เด็กโตขึ้นมามีระเบียบวินัยในชีวิตทำงานทำการก็เรียบร้อยดี แต่ก็มีในช่วงก่อนวัยรุ่นไปจนถึงโตจะมีช่วงที่เด็กบางคนำตัวไม่มีวินัย ทิ้งอะไรต่ออะไรเละเทะ ให้เราหาข้อตกลงกันน่ะค่ะ อย่าไปดุว่าเพราะเป็นช่วงที่เด็กกำลังจัดระเบียบภายใน ทำให้ละเลยระเบียบภายนอกไป คุณพ่อคุณแม่อาจตกลงให้คุณลูกเละๆเขระขระในห้องของเค้า แต่นอกห้องต้องเรียบร้อย ก็อาจเป็นข้อตกลงที่ดีน่ะค่ะ
แต่สิ่ง ที่ครูมดรู้สึกว่า สำคัญที่สุดที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ คือ อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ได้กล่าวไว้ว่า บทบาทของผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก (ครู ก็ใช่่น่ะค่ะ) สิ่งที่นอกเหนือจากการมีบุคคลิกที่ดูดี เรียบร้อย สะอาด และสุภาพแล้ว ก็คือ ต้องมีใจให้อภัย ปล่อยวางและทุ่มเทที่จะดูแลเด็กอันนำไปสู่การเลี้ยงดูที่ได้คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็ก เพราะถ้าเราไม่มีใจให้อภัย เราจะรักเด็กคนที่ไม่น่ารักไม่ได้ การดูแลเด็กย่อมมีเด็กที่ดื้อ ก้าวร้าว ถ้าเราไม่ให้อภัยสิ่งที่เด็กได้ก้าวร้าวต่อเราแล้ว ใจที่รัก การทุ่มเทต่อเด็กคนนั้นก็จะไม่มีนั่นเอง ซึ่งครูมดชอบมากๆเลยค่ะ การอยู่กับเด็กๆอาจมีเด็กที่ร้องไห้มากมายจนคุณครูรำคาญ ทำให้ไม่น่ารัก เด็กอาจอาเจียนใส่ งอแง ดื้อ ทุบตี ถองเตาะ ถีบ คุณครูด้วยความงอแง อาจอึ ฉี่ราด ทำให้ต้องพาไปทำความสะอาด ก็อาจทำให้ไม่น่ารักในวันนั้น แต่ถ้าในวันถัดไปเราลืมความไม่พอใจที่มีต่อเด็กได้ เราก็จะมีความรักอย่างเต็มเปี่ยมอันนำไปสู่การดุแลที่ดีที่สุดด้วยความเต็ม ใจ จากใจ นั่นคือความหมายหนึ่งของหัวข้อนี้ที่อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ย้ำค่ะ



ภาพใหญ่คืออาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ค่ะ คนแปลชื่อน้องนุ่น
ศิลปะ อาจารย์ อีกหนึ่งท่านได้แบ่งปัน จำชื่อไม่ได้ขอเป็นภาพแทนน่ะค่ะ.... ท่านได้กล่าวว่า เมื่อเด็กเริ่มที่จะถือดินสอเด็กจะเริ่มการวาดรูปจริง แทนที่จะขีดเส้นเส้นยุ่งเหยิง แม้นว่าภาพที่เห็นนั้นเราอาจมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ในการเริ่มต้นวาดเด็กมักจะเริ่มจากการวาด วงกลมที่ปลายเปิด ก็จะคล้ายๆภาพของเส้นโค้ง ต่อมาก็จะจับปลายของสองด้านมาชนกันเป็นวงกลม (การเริ่มต้นวาดรูปของเด็กมักเริ่มจากภาพคน มีศีรษะ และค่อยประกอบออกมาเป็น แขน ขา และรูปร่างคนในที่สุด เมื่อย่างเข้าสี่ขวบก็จะมีรายละเอียดมากขึ้น เมื่อย่างเข้าวัยห้าขวบเด็กก็จะสามารถเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆเข้าไปได้ เช่น ท้องฟ้า ในวัยนี้เด็กสามารถวาดรูปให้อยู่ในกรอบได้-เพิ่มเติม) แล้วก็จะพัฒนา วาดวงกลมเล็กสองวงในวงใหญ่เพื่อวาดเป็นตา วาดเส้นโค้งๆเป็นปาก ต่อมาภายหลังก็จะวาดรูปร่างค่ะ

วันนี้ขอฝากข้อพระธรรมใน พระธรรมยากอบ บทที่ ๑ ข้อ ๒๗ ความว่า "ธัมมะ ที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก"
ถ้าเด็กได้รับ การดูแลที่ดี ได้รับความรักจากผู้ใหญ่ เด็กก็จะรู้ว่า ความรัก ความเมตตาเป็นอย่างไร เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็จะเรียนรู้ที่จะให้ความรัก ความเมตตา นั้นต่อไปยังเด็กรุ่นอื่นๆต่อไป เรามาให้ความรัก ความเมตตากับเด็กๆรอบตัวเรากันน่ะค่ะ เพื่อช่วยกันสร้างสังคมที่ดีในประเทศไทยในรุ่นต่อๆไปกันค่ะ
สำหรับวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ สวัสดีค่ะ

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

 
การประชุมวิชาการ : การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน
วันที่ 26 – 28 มีนาคม 2555
ณ ห้องประชุมรักตะกนิษฐ2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Dr.Barry Zuckerman, MD
Brain and Child Development : Basic for reading
พัฒนาการพื้นฐานของทักษะการอ่านในช่วงขวบปีแรก
- ระบบประสาทสัมผัส
- กล้ามเนื้อมัดใหญ่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- สติปัญญา
... - พัฒนาการทางภาษา
- สังคมและอารมณ์
เราต้องเข้าใจทิศทางพัฒนาการ เราต้องรู้อะไรว่าเกิดก่อน – หลัง เพราะพัฒนการของเด็กจะเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ
ลำดับพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก : การจับคว้าของ
- 6 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยไม่มีเป้าหมาย
- 8 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
- 9 เดือน สามารถจับสิ่งของชิ้นเล็กโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
พ่อแม่ควรดู / สังเกตวิธีการหยิบของลูกด้วยว่าเขามีวิธีการหยิบอย่างไร เพราะถ้าถึงวัยที่เด็กสามารถใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วได้แล้ว แต่เด็กยังเขี่ยๆ ของอยู่นั่นแสดงว่าอาจมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

ลำดับพัฒนาการของการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- 6 เดือน คว้าของโดยไม่มีจุดหมาย
- 7 – 8 เดือน เริ่มทำมือเพื่อจะหยิบของ เมื่อมือถึงของที่จะหยิบ
- 9 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของในระยะครึ่งทางก่อนที่จะหยิบ
- 12 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของก่อนที่จะหยิบ
ความสามารถของการใช้กล้ามเนื้อมือของเด็กจะมีพัฒนาการ / มีความสามารถในการใช้งานได้ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อมองลึกเข้าไปในสมอง การก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละขั้นจะมีการเกิด Myelination ในสมองที่ทำหน้าที่นั้นอย่างต่อเนื่อง
ลำดับพัฒนาการของการเล่น
- 6 เดือน เริ่มคว้าของ และจะทำในลักษณะ React
- 7 – 8 เอาของเล่นมาเคาะกัน / เขย่า และเอาเข้าปาก
- 9 เดือน เริ่มมีการสำรวจของเล่นโดยใช้ตาและมือประสานกัน
- 12 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม แต่ยังเป็นการเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นหลัก
- 18 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม และเริ่มเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นรอบตัว เช่น ตุ๊กตา
เมื่อเด็กๆ เล่น เขาจะ Explore สิ่งแวดล้อม โดยการเคาะ เขย่า ปา หมุนไป – มา เมื่อเขาได้สำรวจแล้ว การรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสของเขาจะก่อให้เกิดกระบวนการคิดขึ้นในสมอง เช่น เขาจะรู้ว่าอันนี้นุ่ม แข็ง หรือมีเสียง
* ในประเด็นการมัฒนาการถดถอย ถ้าเด็กป่วยหรือมีภาวะอะไรบางอย่างเขาจะแสดงพฤติกรรมถดถอย

ลำดับพัฒนาการทางสติปัญญา : Object permanence
ลำดับขั้นของ Piaget อายุ Object permanence
I แรกเกิด – 1 เดือน มองวัตถุเหมือนภาพที่เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
II 1 – 4 เดือน ถ้าไม่เห็นวัตถุอยู่ในสายตา คือไม่มีวัตถุนั้น
III 4 – 8 เดือน เริ่มมองตามของที่ตก
IV 9 – 12 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ช่วง 9 เดือน+ เมื่อไม่เห็นของเด็กจะเริ่มรู้ว่าเราซ่อนของไว้
V 12 – 18 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนให้เห็นหลายครั้ง
VI 18 เดือน – 2 ปี หาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนโดยไม่ให้เห็น และเข้าใจว่าของสิ่งนั้นยังอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็น
* ช่วง 9 เดือน เด็กเริ่มมีภาพอะไรๆ อยู่ในสมอง เมื่อเขามองไม่เห็นหรือภาพถึงดึงไปเขาจะเริ่มส่งสัญญาณ โดยการร้องออกมา

ความพร้อมของสมองทารก
1 ทารกจะจำเสียงมารดาได้
2 มารดาพูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
3 แยกแยะเสียงได้

ลำดับพัฒนาการทางภาษา
- แยกแยะเสียง
- เปล่งเสียงที่ไม่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “อ” ช่วง 4 – 8 เดือน
- เปล่งเสียงที่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “ป” ช่วง 9 เดือน
- พูดคำที่มีความหมายคำแรก ช่วง 13 เดือน ( -8 – 18 เดือน )
- ถ้าเสียงที่เด็กเปล่งออกไปมีการตอบสนอง มันจะมี Meaning กับเด็กมาก และจะเป็นผลต่อพัฒนการทางภาษาของเด็กในลำดับต่อไป
- เด็กจะมีความสามารถในการแยกแยะภาษาได้ดีเยี่ยม แต่ต้องในกรณีที่เขาต้องได้ยินเสียงนั้นซ้ำๆ และบ่อยๆ

สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอ่า



Trend in Cognitive Sciences
สมองและประสบการณ์แรกเริ่ม

พัฒนาการของสมอง

* พิจารณาจำนวนเซลล์ประสาทเมื่อแรกเกิด และช่วงอายุ 6 ปี จะพบว่า ความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทนั้นมีการเชื่อมโยงและหนามากขึ้น ทั้งนี้เกิดเนื่องจากอิทธิพลของการกระตุ้นและการจัดประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมในช่วงปฐมวัย
* เราจะช่วยให้เด็กมีทักษะในสมองเพื่อการอยู่รอดได้ (Survival brain) ถ้าเราใช้สมองส่วนไหนเยอะส่วนนั้นจะมีพัฒนาการขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
* ในช่วง 6 เดือนแรกควรใช้คนในการกระตุ้นพัฒนาการ เพราะคนสำคัญกว่าการเล่นทั้งหมด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ลำดับพัฒนาการของการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์และสังคม
1 ความผูกพันทางอารมณ์ (Attachment)
- 3 เดือน ผูกพันกับคนโดยเชื่อมกับหน้าที่ที่คนนั้นทำ เช่น ผูกพันกับแม่เพราะแม่ให้กินนม (Differential responsibility )
- 6 เดือน ผูกพันกับคนเชื่อมโยงจากปฏิกิริยารอบข้างที่คนนั้นแสดง เช่น สังเกตว่าแม่กลัว เด็กก็จะกลัวด้วย (Social referencing)
- 9 – 12 เดือน ไม่ชอบการพรากจากคนที่ใกล้ชิด (Separate protest)
- 12 – 24 เดือนจะคอยมองหาคนใกล้ชิดเวลาเล่นหรือเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว (Checking in when exploring)
2 ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)
อุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้
1. ความยากจน คนที่มีเศรษฐานะต่ำ หรือพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่ำ มักจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญ และไม่มีทุนพอที่จะซื้อหนังสือนิทาน หรือสื่ออื่นๆ ให้ลูก
2. วัฒนธรรมการเลี้ยงดู ในบางวัฒนธรรมพ่อแม่พูดคุยกับลูกตั้งแต่แรกเกิด แต่บางวัฒนธรรมมีความเชื่อว่าเด็กเล็กยังไม่รู้เรื่อง จึงยังไม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมกับเด็กมากนัก ซึ่งความเชื่อที่ขาดความรู้ ความเข้าใจบางอย่างอาจจะทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย
การส่งเสริมพัฒนาการในช่วงวัยเด็กเล็ก
1 พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่มารดาตั้งครรภ์
2 ความสามรถในการเข้าถึงหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพ การศึกษาและทางสังคม

การให้การศึกษาที่มีประสิทธิภาพในเด็กเล็ก
1 ครูที่มีทักษะในการสอน
2 จำนวนผู้เรียนในชั้นเรียนน้อย
3 หลักสูตรที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนและสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้
4 สิ่งแวดล้อมที่มีการพูดคุยสื่อสาร
5 การตอบสนองต่อเด็กแบบนุ่มนวล
6 เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Promoting Early Literacy : Reach out and Read
หลักฐานสำหรับการอ่านหนังสือแบบออกเสียงให้เด็กฟัง
1 ความพร้อมของสมองทารก
- ทารกสามารถจำเสียงแม่ได้
- มารดาสื่อสารด้วยคำพูดง่ายๆเพื่อให้เด็กเข้าใจ
- การแยกแยะเสียง ภายใต้เงื่อนไขว่าเด็กต้องได้ยินซ้ำๆ
* หนังสือที่สอนหรือช่วยในการแยกแยะเสียง คือหนังสือประเภทคำกลอน หรือมีจังหวะในการอ่าน ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องจำนวนคำ เวลาที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟังเราควรให้น้ำเสียงหรือคำที่ไม่พูดหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราใช้ภาษาอ่านที่เป็นภาษาเฉพาะพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะดีกว่า
* ช่วงอายุประมาณ 18 เดือน เด็กจะสามารถเรียนรู้การถือหนังสือได้ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงสอนเพื่อให้เข้าใจโครงเรื่อง สอนการลำดับรื่องราวก่อน – หลัง
* ช่วงแรกเราควรให้คำสำคัญกับการรักการอ่าน ให้รักหนังสือมากกว่าการมุ่งเน้นให้ เด็กอ่านได้ พ่อแม่ควรใช้เวลาในการสอน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กจริงๆ ไม่มุ่งเน้นให้รู้หนังสือ แต่มุ่งสนใจที่ตัวเด็กเป็นหลัก ที่สำคัญคือเน้นย้ำเรื่องการทำการอ่านให้เป็นเรื่องสนุกและให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุด

ความสำคัญของการอ่านอ่านหนังสือแบบออกเสียง
1 เรียนรู้การถือหนังสือ การเปิดหน้าหนังสือ การเริ่มอ่านจากหน้าแรก
2 โครงสร้างของเรื่อง การเริ่มต้นเรื่อง ตอนกลางของเรื่อง และตอนท้ายของเรื่อง
3 เข้าใจพื้นฐานของเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำ
4 เข้าใจทักษะพื้นฐานในการอ่าน : รู้จักพยัญชนะ
5 เข้าใจว่าตัวหนังสือที่เห็นเป็นตัวแทนของเสียงพูด
6 เปอร์เซนต์ของจำนวนคำใหม่และคำที่ไม่คุ้นเคยสามารถทำนายพัฒนาการทางภาษาได้

7 พัฒนาการทางอารมณ์
- มีความสนใจร่วม
- ได้รับความสนใจจากพ่อ แม่
- สื่อสารอารมณ์ได้ เช่น เสียใจ อิจฉา ไม่เห็นด้วย ความตาย หนังสือที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
* การอ่านเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ 1 ต่อ 1 ที่สำคัญระหว่างแม่ – เด็ก และในบางครั้งหนังสือถูกใช้หรือเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก – ผู้ใหญ่ เช่น เด็กอาจถือหนังสือเพื่อเอาไปให้แม่อ่าน ในกรณีนี้ บางครั้งเด็กอาจไม่ได้ต้องการอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่เขาใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการที่จะได้ใกล้ชิดหรือได้สัมผัสกับแม่นั่นเอง
* ในกรณีเด็กออทิสติกเราสามารถใช้หนังสือทดสอบเพื่อดูว่า เด็กมีความสัมพันธ์ร่วมกับเรามากแค่ไหน
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 0 – 12 เดือน
- รูปภาพที่มีรูปเด็กอื่น
- สีสันสวยสดใส
- มีรูปภาพสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ลูกบอล
- ขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้เด็กถือได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 12 – 24 เดือน
- หนังสือนิทานที่เด็กสามารถถือไปมาได้
- หนังสือที่มีรูปภาพกิจกรรมที่เด็กคุ้นเคย เช่น การนอน การกิน การเล่น
- หนังสือนิทานก่อนเข้านอน
- หนังสือที่เกี่ยวกับการทักทาย การลา
- หนังสือที่มีตัวหนังสือน้อยๆ ในแต่ละหน้า
- หนังสือที่มีคำคล้องจองหรือมีคำที่เด็กเดาได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 24 – 36 เดือน
- หนังสือนิทานหรือหนังสือที่ทำด้วยกระดาษที่มีหลายหน้า
- หนังสือที่มีเสียงคล้องจอง มีจังหวะเวลาอ่าน หรือมีคำซ้ำๆ ที่เด็กสามารถจำได้ง่าย
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก ครอบครัว เพื่อน อาหารและสัตว์
- หนังสือที่สอนคำศัพท์

สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 2 – 5 ปี
- หนังสือที่มีการดำเนินเรื่อง
- หนังสือที่มีคำง่ายๆ ที่เด็กสามารถจำได้
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก
- หนังสือที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน การมีเพื่อน การไปหาหมอ
- หนังสือที่เกี่ยวกับการนับ ตัวอักษร คำศัพท์
* พัฒนาการนั้นมีลำดับขั้นตอนในตัวของมันเอง แม้ว่าเราพยายามจะผลักดันมากแค่ไหน (ในกรณีที่พ่อแม่เร่งเด็ก) เราก็จำเป็นต้องรอพัฒนาการแต่ละขั้นอยู่ดี เมื่อเด็กพร้อมแล้วเขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งเขาจะแสดงออกมาว่าเขา “สนใจ”
* การจะส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจนที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนั้น ในชุมชนนั้นจะต้องจัดหาสื่อที่เหมาะสมในชุมชนนั้นๆ หรือมีอาสาสมัครในการอ่านหนังสือ และคนที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยการอ่านกับเด็กโดยตรงนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพ่อแม่ แต่จะเป็นใครก็ได้ที่รักเด็ก สามารถทำให้เด็กสนุกกับการอ่านได้ แต่ถ้าเป็นพ่อหรือแม่ก็จะได้เรื่อง Attachment
* ในกรณีที่เจอเด็กที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ในช่วง 9 เดือนแรกจะสังเกตได้อย่างไร? กรณีเด็ก LD ( Learning Disability ) เขาจะไม่มีปัญหา Join Attention ให้วินิจฉัยจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ในกรณีการทำกิจกรรมการอ่านร่วมกันให้สังเกตปฏิสัมพันธ์กับแม่ต้องไปด้วยกัน เช่น มีความสนใจในหนังสือร่วมกัน
* บทบาทของพ่อในการเล่นกับลูก พ่อในสังคมไทยไม่รู้จะเล่นกับลูกอย่างไร.....เราจะใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงและเล่นกับลูก หรือเป็นการพูดคุยกับลูกผ่านหนังสือ วัฒนธรรมไทยโบราณ จะเอากระด้งมาให้ ในกระด้งจะมีหนังสือ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของหนังสือ และเราควรจะต้องชี้แจงว่า ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ ต้องเน้นเรื่อง Person to Person เป็น Social Interaction แล้วเรื่องภาษาจะตามมาทีหลัง
(พญ.นิตยา คชภักดี)
* Dr.Barry Zuckerman พูดถึงระบบการศึกษาของไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัย เริ่มจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ เหตุผล การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย และต้องเป็นอารมณ์เชิงบวก เพราะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัยไม่ได้เป็นการเรียนรู้เพียงแค่ตัวเลข สัญลักษณ์ แต่การเรียนรู้นั้นต้องมาพร้อมกับความสนุกสนานและความพึงพอใจร่วมด้วย
เราสามารถใช้หนังสือประเมินพัฒนาการเด็กได้หลายอย่าง การอ่านหนังสือเป็นความใกล้ชิดกันทางร่างกาย ช่วงที่ใกล้ชิดกันจะมีความสนใจร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นสภาพที่เด็กมีความพึงพอใจมาก และที่สำคัญเป็นการปูพื้นฐานในด้านต้นทุนความเข้มแข็งทางอารมณ์
* การทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจน กับเด็กด้อยโอกาส สิ่งนี้เป็นความหวังของพ่อแม่ที่ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เราทำให้เขามองเห็นอนาคตของลูก
การทำกิจกรรมการอ่าน ความเข้าใจภาษาของเด็กจะมาก่อนการพูดได้ พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจและมีความคาดหวังที่ถูกต้อง ซึ่งกรณีนี้จะมีความเชื่อมโยงกับ IQ กิจกรรมการอ่านจะทำใก้เกิดความสนใจ ร่วมกันระหว่างพ่อ – ลูก, แม่ – ลูก เด็กก่อน 6 เดือนเด็กจะเรียนรู้ภาษา (เข้าใจ) มาก่อนที่เขาจะพูดออกมา และอีก 6 เดือนต่อมา เด็กจึงจะพูดได้ (รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์)
* ความเครียดมีผลต่อสมองอย่างมาก ความเครียดที่ต่อเนื่องกันจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร Steriod hormone called Cortisol มีผลต่อระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สมองส่วนหน้า Frefrontal lobe , Hippocamps, Grey matter ถ้า Cortisol ในระดับที่สูงมาก (Toxic steroid) เนื้อสมองจะยิ่งลดน้อยลง เด็กยากจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องมาจากบริบทและบรรยากาศภายในครอบครัว การถูกทุบตี เด็กเหล่านี้จะมีการตื่นตัวเกินปกติ (Alert) สมอง (ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะสว่างวาบทันที)จะมีการปรับตัวเมื่อพบสภาพ ความรุนแรง การแสดงออกทางลบต่างๆ เช่น ใบหน้าที่โกรธ สมองก็จะมีการตอบสนอง ซึ่งจะตรงข้ามกับอารมณ์ทางบวก ที่จะช่วยให้เกิดการ Synape ได้ง่ายขึ้น และสัมผัส (Attachment) ส่งผลต่อการลดระดับ Cortisol
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สมองของเด็กจะรับรู้และเก็บไว้แล้ว ซึ่งบางครั้งเด็กอาจจะอาจจะไม่ตอบสนองออกมาก็ได้ การปฏิรูปการศึกษาจึงควรจะต้องหันกลับมามองที่วัยของเด็กด้วย สิ่งที่กระทบต่อการเรียนรู้ เช่น เด็กไม่มีหนังสือ หรือกระทั่งความรู้สึกไวต่อสิ่งอันตราย
* ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตัวเด็ก
- ความสามารถในการใช้ภาษาช้าลง ไม่มีการพัฒนาด้านภาษาขึ้นมาเลย พ่อแม่ควรจะตีกรอบหรือตั้งเงื่อนไขว่า จะให้ลูกทำอะไรเมื่อเขาเล่นกับเทคโนโลยี เช่น การให้รู้จักภาพ
จากการศึกษา ไม่พบนัยสำคัญทางบวกเกิดขึ้นทางด้านการเรียนรู้ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ( No Significant+ of Learning occurs < 3 months) เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรใช้เทคโนโลยีประเภทจอภาพ* สื่อโทรทัศน์ที่ส่งผลกระทบทางบวกกับเด็ก เช่น รายการเด็ก Sesami Street** (เหมาะสำหรับเด็ก 3 – 5 ปี : ออกอากาศทาง Thai PBS) รายการนี้ทำให้ความสามารถด้านภาษา คณิตศาสตร์ และทักษะทางสังคมของเด็กดีขึ้น
*โทรทัศน์เป็นสื่อเทคโนโลยีที่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เด็กอาจจะชอบ แต่เราจะพบว่า มันเป็นเพียงแค่สื่อที่ดึงให้สมองสนใจในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมองเลย เด็กที่ติดโทรทัศน์จึงเสี่ยงต่อการมีสมาธิสั้น เพราะสมองถูกกระตุ้นให้สนใจภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และนี่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่นำมาใช้ในการโฆษณา
Role of Medias พบว่า ไม่มีผลกระทบ (Impact) ต่อการเรียนรู้ในช่วง 2 ปีแรก มันมีอิทธิพลแค่การดึงสมาธิและความสนใจ แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมอง และเมื่อเขาพบเห็นภาพความรุนแรงซ้ำๆ ภาพนั้นจะเป็นตัวแบบ (Model)ให้เขา
พบว่าในเด็กอายุ > 2 ปี สื่อเทคโนโลยีจะมีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นการคัดเลือกให้เด็กดูสื่อที่เหมาะสม เช่น รายการ Sesami street จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กได้ ในขณะที่ช่วงอายุ 3 – 5 ปี การศึกษายังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหรือไม่ อย่างไร?
เกมส์ที่เราพบในสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวแทนของความท้าทายที่เด็กต้องการเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงไม่ได้มีพียงแค่การท้าทายเพียงอย่างเดียว ประเด็นคือว่าเราจะนำประสบการณ์จากที่เด็กเล่นเกมส์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือเราควรจะทำเกมส์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น เกมส์ที่ช่วยดึงเด็กที่มีอารมณ์ซึมเศร้ากลับมาสู่ภาวะปกติ เป็นต้น
* เด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor การอ่านจะช่วยพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร? ขณะที่ใช้หนังสือกับเด็กกลุ่มนี้ให้พ่อแม่ดูตรงความสนใจ ความสนุก ปฏิกิริยาที่เขามีต่อหนังสือ ถ้าเขาไม่สนุกก็ให้ทำอย่างอื่น
พญ.นิตยา คชภักดี เคยใช้หนังสือกับเด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor เวลาเราจะให้หนังสือเพื่อให้พ่อแม่นำไปใช้กับลูก ต้องให้เครื่องมือหรือวิธีการที่เขาจะนำไปปรับใช้ได้ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางหู ก็ให้ใช้ภาพช่วย เด็กที่มีปัญหาทางการมองเห็นก็จะใช้การออกเสียงช่วย และใช้มือสัมผัสหนังสือที่เป็นภาพเฉพาะ ใช้วิธีMultisensory ในการเรียนรู้ เช้น พอพูดถึงลูกบอลก็เอาลูกบอลมาให้จับ คือเราต้องหาสิ่งต่างๆมาช่วย Social Interaction ถ้าเป็นการบกพร่องทางหูจะใช้ภาพ บัตรคำ ตัวอักษร (ในเด็กแต่ละ Caseให้ดูที่ระดับ Threshold ของเด็กด้วย ) ในขณะที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เราไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเดียว แต่เรา “ต้องอ่านเด็กด้วย”
พ่อแม่ต้องเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณเจ แห่ง TK Park