เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ได้มีโอกาสไปฟังการอบรมหลักสูตรการดูแลเด็กวัย 0-3 ปีสำหรับพี่เลี้ยง จัดโดยสมาคสมอนเตสเชอรี่แห่งประเทศไทย ขอบคุณอาจารย์กรรณิการ์ บัต ครูตู่ ผู้ที่ทำให้ได้รับข่าวว่ามีการอบรมและได้ีโอกาสไปร่วม เนื่องจากเวลาในการอบรมไม่มากผู้สอน อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านนี้(หนึ่งในห้าของโลก ได้ยินมาแบบนี้น่ะค่ะ) ท่านบอกว่าคงแบ่งปันได้ไม่ลึกนักเพราะเรียนจริงๆอย่างน้อยหกเดือน นี่มีโอกาสเพียงสิบกว่าวัน แต่ก็ได้อะไรดีๆแยะๆ จะขอนำมาแบ่งปันกันน่ะค่ะ
เด็ก วัยก่อนอนุบาลจะเป็นเด็กที่พร้อมเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวของเขาให้โต ขึ้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อาจารย์มาเรียได้บอกว่า ในทฤษฎีมอนเตสเชอรี่ จะมีลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัย 0-6 ปี ว่าแบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงแรก 0-3 ปี เป็นการเรียนรู้แบบรับเข้ามาหมดทุกอย่างเปรียบเหมือนฟองน้ำที่จะดูดน้ำ ไม่เลือกว่าอันนี้เอาอันนั้นไม่เอา ท่านเรียกว่า จิตซึมซับ (Aborbent Mind) คือบันทึกเข้ามาหมดเหมือนถ่ายรูปแล้วไปเก็บไว้ในสมองและนำมาพัฒนาตัวเอง เป็นการรับรู้แบบไม่รู้ตัว (unconcious)
ต่อมาเป็นวัย 3-6 ปีเด็กก็ยังมีจิตซึมซับก็ซึมซับเข้ามาเหมือนกัน แต่รู้ตัวว่ากำลังรับรู้อะไรอยู่
จิต ซึมซับ เป็นภาวะที่เด็กเรียนรู้โดยการรับรู้ทุกอย่างเข้ามาหมด ไม่เลือกว่าจะรับเรื่องนี้ ไม่รับเรื่องนั้น และจะบันทึกเข้าไปเพื่อการเตรียมตัวที่จะมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การซึมซับของเด็กจะทำให้เกิดการพัฒนาตัวตนของเด็กเองทั้งภายนอกภายในในการ ที่จะเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต่อไปในอนาคต ตัวอย่างเช่น เราจะพบว่า เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นที่ตนเองอยู่อาศัยโดยไม่ต้องเข้าโรงเรียน เพื่อเรียนพูด นี่ก็คือจิตซึมซับ
การเรียนรู้ไว (Sensitive period .....) ดร.มาเรีย มอนเตสชอรี่ ได้ค้นพบว่า ในพัฒนาการของเด็กนั้น เด็กจะมีแต่ละช่วงของชีวิต ไม่เกินหกขวบโดยประมาณ ที่จะมีช่วงเวลาของการเรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างและเป็นการเรียนรู้ด้วย สมาธิที่จดจ่อ ไม่ยอมหยุด เหมือนการลุ่มหลงอยู่กับสิ่งนั้น และจะสามารถรับรู้ได้ดีที่สุดของเขา ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรไปหยุดกลางคันเพราะจะทำให้การเรียนรู้เรื่องนั้นจะไม่ สมบูรณ์และเมื่อผ่านไปแล้ว เมื่อโตขึ้นเด็กกลับมาเรียนสิ่งนั้นใหม่ก็จะไม่ได้ดีเท่าขณะของการเรียนรู้ ตอนนั้นและเป็นช่วงของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นและเมื่อผ่านช่วงนี้ไปแล้วก็จะ ไม่มีการหวนคืนกลับมาอีก
ผู้ใหญ่ที่อยู่ดูแลเด็กมีหน้าที่ที่จะต้องสัง เกตุให้ออกว่า เด็กกำลังมีช่วงของการเรียนรู้อะไร ก็ควรเสริมสิ่งนั้นเข้าไปเช่น ตอนนี้เด็กสนใจด้านดนตรี การเล่นเปียนโน ถ้าได้ให้เรียนในช่วงนี้เด็กจะเรียนได้ดีมากที่สุด หรือกำลังทดลองต่อเลโก้เป็นอะไรสักอย่างและก็ทำแล้วทำอีกทำอยู่นั่นไม่หยุด ไม่วาง เหมือนลุ่มหลงอยู่นั่น ลองปล่อยให้เด็กค่อยๆคิด ค่อยทำไปจนกว่าจะพอใจแล้วหยุดด้วยตัวของเด็กเอง ไม่ต้องกลัวลูกเครียดน่ะค่ะ เพราะเมื่อเขาเสร็จสิ้นงานชิ้นนั้นเขาประสบความสำเร็จ เด็กจะรู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย ไม่เครียดค่ะ แต่ถ้าคุณไปหยุดตอนนั้น เด็กอาจไม่ยอมอาละวาด(ในเด็กบางคน)ไปเลย
และขอสรุปคร่าวๆ ช่วงการเรียนรู้ไวของเด็ก น่ะค่ะ
แรกเกิด - ตลอดชีวิต ภาษา
แรกเกิด - สามขวบ ประสบการณ์ด้านระบบประสาทสัมผัส
แรกเกิด - ๑ขวบครึ่ง เรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหว
๑ ขวบครึ่ง - ๓ ขวบ พัฒนาการด้านภาษาพูด
๑ ขวบครึ่ง - ๔ ขวบ พัฒนาการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อ
๒ - ๔ ขวบ เอาใจใส่สิ่งแวดล้อมและกิจวัตรประจำวัน
๒ - ๖ ขวบ ด้านดนตรี
๒ ขวบครึ่ง - ๖ ขวบ ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน พัฒนามารยาทสังคม
๓ - ๖ ขวบ ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ต่อการกระทำของผู้ใหญ่
๓ ขวบครึ่ง - ๔ ขวบครึ่ง การเขียน
๔ ขวบ- ๔ ขวบครึ่ง รับรู้ต่อการสัมผัส
๔ ขวบครึ่ง -๕ ขวบครึ่ง การอ่าน
มีอีกหลายๆอย่างที่อาจารย์มาเรีย ได้พูดแต่มันแยะจนไม่รู้จะมาแบ่งปันไง เดี๋ยวจะเบื่อไปเสียก่อน ขอแบ่งปันเรื่องการแต่งตัวเองของเด็กน่ะค่ะ อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ท่านบอกว่า
- ในห้องน้ำถ้าเด็กต่ำกว่าสามขวบควรมีเก้าอี้เตี้ยๆที่มั่นคงวางไว้สักตัวเพื่อให้เด็กๆได้นั่งลงเพื่อที่จะถอดกางเกงออกจากตัว เพราะ เด็กวัยนี้ถ้าต่ำกว่าหัวเข่าจะยืนได้ไม่มั่นคงนัก คือ เวลาเด็กถอดกางเกงจะเป็นขายาว ขาสั้นหรือกางเกงในก็ตามเมื่อดึงลงมาถึงเข่า ควรมีเก้าอี้วางเพื่อให้ เด็กนั่งลงแล้วถอดกางเกงออกจากตัวได้เอง แล้วไปทำธุระ เมื่อเสร็จก็จะมานั่งที่เก้าอี้เพื่อสวมเข้าไปแล้วค่อยลุกขึ้นเพื่อดึง กางเกงขึ้นมา นึกภาพออกใช่ไหมค่ะ ครูมดเคยอ่านหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่งเค้าเขียนเรื่องการนุ่งกางเกงของเด็กโดย เด็กนอนลงไปแล้วยกก้นขึ้นเพื่อจะดึงกางเกงขึ้นมาที่เอว ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรดูไปอ่านไป แต่เมื่อมาอบรมที่นี่และเข้าใจในเหตุผลของสรีระเด็กจึงอยากนำมาแบ่งปันกันใน นี้น่ะค่ะ
ขอนำภาพประกอบจากที่เคยถ่ายเก็บไว้ จากหนังสือ คู่มือเลี้ยงเด็กเล็ก (the toddler owner's manual) ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ เพราะภาพเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากมายแก่เด็กเล็กๆค่ะ
ดูรายละเอียดที่ .http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jewelmoda&group=19
มีอีกอย่างที่น่าสนใจคืออาจารย์มาเรียได้พูดถึง ระบบระเบียบ (Order) ชีวิตคนเราต้องมีระเบียบแม้นแต่ธรรมชาติก็ต้องมีระเบียบของมันอยู่ถ้าพระ อาทิตย์ไปขึ้นทางทิศตะวันตกคงวุ่นวายแน่ๆเพราะพระจันทร์จะไปตกที่ไหนดี เด็กเช่นกัน ถ้าผู้ใหญ่สอนให้เด็กมีระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก ก็จะทำให้เด็กโตขึ้นมามีระเบียบวินัยในชีวิตทำงานทำการก็เรียบร้อยดี แต่ก็มีในช่วงก่อนวัยรุ่นไปจนถึงโตจะมีช่วงที่เด็กบางคนำตัวไม่มีวินัย ทิ้งอะไรต่ออะไรเละเทะ ให้เราหาข้อตกลงกันน่ะค่ะ อย่าไปดุว่าเพราะเป็นช่วงที่เด็กกำลังจัดระเบียบภายใน ทำให้ละเลยระเบียบภายนอกไป คุณพ่อคุณแม่อาจตกลงให้คุณลูกเละๆเขระขระในห้องของเค้า แต่นอกห้องต้องเรียบร้อย ก็อาจเป็นข้อตกลงที่ดีน่ะค่ะ
แต่สิ่ง ที่ครูมดรู้สึกว่า สำคัญที่สุดที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ คือ อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ได้กล่าวไว้ว่า บทบาทของผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก (ครู ก็ใช่่น่ะค่ะ) สิ่งที่นอกเหนือจากการมีบุคคลิกที่ดูดี เรียบร้อย สะอาด และสุภาพแล้ว ก็คือ ต้องมีใจให้อภัย ปล่อยวางและทุ่มเทที่จะดูแลเด็กอันนำไปสู่การเลี้ยงดูที่ได้คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็ก เพราะถ้าเราไม่มีใจให้อภัย เราจะรักเด็กคนที่ไม่น่ารักไม่ได้ การดูแลเด็กย่อมมีเด็กที่ดื้อ ก้าวร้าว ถ้าเราไม่ให้อภัยสิ่งที่เด็กได้ก้าวร้าวต่อเราแล้ว ใจที่รัก การทุ่มเทต่อเด็กคนนั้นก็จะไม่มีนั่นเอง ซึ่งครูมดชอบมากๆเลยค่ะ การอยู่กับเด็กๆอาจมีเด็กที่ร้องไห้มากมายจนคุณครูรำคาญ ทำให้ไม่น่ารัก เด็กอาจอาเจียนใส่ งอแง ดื้อ ทุบตี ถองเตาะ ถีบ คุณครูด้วยความงอแง อาจอึ ฉี่ราด ทำให้ต้องพาไปทำความสะอาด ก็อาจทำให้ไม่น่ารักในวันนั้น แต่ถ้าในวันถัดไปเราลืมความไม่พอใจที่มีต่อเด็กได้ เราก็จะมีความรักอย่างเต็มเปี่ยมอันนำไปสู่การดุแลที่ดีที่สุดด้วยความเต็ม ใจ จากใจ นั่นคือความหมายหนึ่งของหัวข้อนี้ที่อาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ย้ำค่ะ
ภาพใหญ่คืออาจารย์มาเรีย เทเรซ่า ค่ะ คนแปลชื่อน้องนุ่น
วันนี้ขอฝากข้อพระธรรมใน พระธรรมยากอบ บทที่ ๑ ข้อ ๒๗ ความว่า "ธัมมะ ที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก"
ถ้าเด็กได้รับ การดูแลที่ดี ได้รับความรักจากผู้ใหญ่ เด็กก็จะรู้ว่า ความรัก ความเมตตาเป็นอย่างไร เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็จะเรียนรู้ที่จะให้ความรัก ความเมตตา นั้นต่อไปยังเด็กรุ่นอื่นๆต่อไป เรามาให้ความรัก ความเมตตากับเด็กๆรอบตัวเรากันน่ะค่ะ เพื่อช่วยกันสร้างสังคมที่ดีในประเทศไทยในรุ่นต่อๆไปกันค่ะสำหรับวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ สวัสดีค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น