วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้และเข้าใจพัฒนาการเด็กวัยแรกเกิด - 4 ปี

รู้และเข้าใจพัฒนาการเด็กวัยแรกเกิด - 4 ปี
ศูนย์พัฒนาเด็ก
วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
 

 พัฒนาการของเด็กวัยแรกเกิด - 1 ปี
เด็กวัยแรกเกิด - 1 ปี จะเรียนรู้จากการมองเห็น การได้ยินและการสัมผัส สนใจวัตถุที่ยื่นเข้ามาใกล้ วัตถุที่เคลื่อนไหว วัตถุสีสดใส มี
การเคลื่อนไหวร่างกายในท่าต่าง ๆ เรียนรู้ ในการทรงตัว ท่านั่ง ท่ายืน พัฒนาการเด็กวัยนี้ในแต่ละด้าน เป็นดังนี้
- พัฒนาการด้านการเคลอื่นไหว
อายุแรกเกิด - 3 เดือน เริ่มชันคอได้ และเมื่ออยู่ในท่านอนคว่ำเด็กจะยกศีรษะและหน้าอก
อายุ 3-6 เดือน เริ่มพลิกตะแคงตัวคว่ำได้ เอื้อมมือหยิบของเล่นเริ่มคืบไปข้างหน้า
อายุ 6-9 เดือน นั่งตามลำพังได้เป็นพัก ๆ เมื่อจับยืนจะกระโดดยกตัวด้วยความพอใจ นั่งได้เอง คลานได้เอง เริ่มเกาะยืน เกาะเดินไป
ด้านข้าง ๆ ได้ 4 - 5 ก้าว
อายุ 9 - 12 เดือน เริ่มเกาะเดินไปข้าง ๆ ตามข้างฝา เดินไปข้างหน้าโดยช่วยจูงมือเด็กทั้ง 2 ข้าง และเริ่มเดินได้เอง
- พัฒนาการด้านกล้ามเนอื้ มัดเลก็ และสตปิ ัญญา
อายุแรกเกิด - 3 เดือน เริ่มมองวัตถุสีสันสดใส ขณะนอนหงายจะนำมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน มือจะอยู่ในท่ากำ
อายุ 3 - 6 เดือน จะมองวัตถุจากวัตถุชิ้นหนึ่งไปยังวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง เริ่มกางนิ้วออกหยิบวัตถุสิ่งของ ปล่อยคลายวัตถุออก และเปลี่ยนถ่ายวัตถุจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่งได้
อายุ 6 - 9 เดือน เริ่มใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วอื่น ๆ หยิบวัตถุขึ้นจากพื้น เริ่มใช้นิ้วมือจิ้มชอนไชตามซอกรูต่าง ๆ
อายุ 9 - 12 เดือน จีบนิ้วหยิบจับสิ่งของได้ ใส่วัตถุลงในถ้วยได้
- พัฒนาการด้านความเขา้ ใจภาษา
อายุแรกเกิด - 3 เดือน ตอบสนองหรือเคลื่อนไหวร่างกายเมื่อได้ยินเสียง
อายุ 3 - 6 เดือน หันตามเสียงเรียก
อายุ 6 - 9 เดือน สนใจคนพูด เปลี่ยนสีหน้าตอบสนองต่อเสียงที่อ่อนโยน หรือเสียงเกรี้ยวกราด เริ่มทำตามคำสั่งง่าย ๆ เมื่อใช้ท่าทางประกอบ
อายุ 9 - 12 เดือน หันตามเสียงเรียกชื่อ ตอบสนองต่อคำสั่งที่หนักแน่นโดยหยุดกระทำรู้จักสมาชิกในบ้านเมื่อเอ่ยชื่อ
- พัฒนาการด้านการใช้ภาษา
อายุแรกเกิด - 3 เดือน เปล่งเสียงในลำคอ ส่งเสียงอ้อแอ้เมื่อมีคนคุยด้วย
อายุ 3 - 6 เดือน เริ่มเปล่งเสียงสระ เล่นเสียงริมฝีปาก เล่นเสียงพ่นน้ำลาย มีการเลียนแบบการออกเสียงพยัญชนะและสระง่าย ๆ
อายุ 6 - 9 เดือน ออกเสียงซ้ำ ๆ ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจเลียนแบบการกระทำ
อายุ 9 - 12 เดือน เลียนแบบการกระทำคู่กับเสียง เลียนแบบการกระทำโดยใช้ส่วนของใบหน้า เช่น กระพริบตา จู๋ปาก แลบลิ้น ยิ้มหวาน

- พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม
อายุแรกเกิด - 3 เดือน ยิ้มหรือส่งเสียงตอบเมื่อมีผู้พูดคุยและแตะต้องตัว
อายุ 3 - 6 เดือน ยิ้มเอง ยื่นแขนให้อุ้ม พยายามคว้าจับของเล่น
อายุ 6 - 9 เดือน กลัวคนแปลกหน้า เล่นของเล่นได้ตามลำพังดื่มน้ำจากถ้วยแก้วเมื่อมีการช่วยเหลือ เคี้ยวและกลืนอาหารที่บดหยาบได้ ใช้นิ้วมือหยิบอาหาร
อายุ 9 - 12 เดือน ร่วมเล่นจ๊ะเอ๋ ถือช้อนและพยายามเอาอาหารเข้าปากและเคี้ยวกลืนได้
- พัฒนาการด้านการแสดงออกทางอารมณ์
เด็กอายุแรกเกิด - 1 ปี จะร้องไห้เสียใจเมื่อหวิ;ไม่สบาย ถูกแยกจากพ่อแม่ จะยิ้มดีใจเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะโกรธเมื่อถูกแยกจากคนที่รักหรือ ไม่ได้รับการตอบสนองในสิ่ง ที่ทำให้ตนพอใจ และจะรักคนที่ตนเองพอใจและตอบสนองความต้องการของตนเองได้

พัฒนาการของเด็กวัย 1 - 2 ปี
เด็กวัย 1 - 2 ปี จะเป็นวัยที่มีความต้องการเป็นตัวของตัวเอง ชอบเล่นเชิงสำรวจ และชอบการเลียนแบบ พฒันาการเดก็ ในวัยนี้ในแต่ละด้าน เป็นดังนี้
-          พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
เดินได้เอง เดนิ ขนึ้ / ลงบนั ได พักเท้าแต่ละขั้น มือจับราวบันได
-          พัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา
สามารถขีด เขียนเส้นที่ไม่มีความหมาย เป็นระเบยีบลงบนกระดาษได้ ใช้นวิ้มือไดค้ลอ่งขึ้น จับคู่วัตถุที่เหมือนกัน ต่อก้อนไม้ สี่เหลี่ยมลูกบาศก์เป็นหอสูงได้ และวางรูป ในช่องกระดานรูปแบบได้
- พัฒนาการด้านความเข้าใจภาษา เลือกวัตถุและรูปภาพที่คุ้นเคยได้ตามสั่ง ชี้อวัยวะของร่างกายได้ 7 ส่วน ทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้ 3 อย่าง มีความตั้งใจฟังนิทานเรื่องสั้นจนจบ
-          พัฒนาการด้านการใช้ภาษา เลียนแบบการพูด และพูดเป็นคำ ๆให้ผู้ใหญ่เข้าใจได้
- พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม ดื่มน้ำรับประทานอาหารได้เองโดยไม่หก ถอดกางเกงเอวยางยืดได้ เริ่มถ่ายอุจจาระเป็นเวลา เริ่มกลั้นปัสสาวะได้ในช่วงเวลากลางวัน สามารถเข้าไปเล่นกับเด็กคนอื่นแบบต่างคนต่างเล่น และปกป้องสิ่งของเมื่อถูกแย่ง
- พัฒนาการด้านการแสดงออกทางอารมณ์ เมื่อ โกรธจะแสดงออกทางร่างกายอย่างรุนแรง พึงพอใจเมื่อได้รับคำตอบจากเรื่องที่อยากรู้ กลัวสิ่งที่เกิดจากจินตนาการ รักและเรียนรู้ที่จะสร้าง ความผูกพันกับคนใกล้ชิด
พัฒนาการของเด็กวัย 2 - 3 ปี
เด็กวัย 2 - 3 ปี จะเป็นเด็กช่างสงสัย เต็มไปด้วยคำถาม การเฝ้าดูการสังเกตและการเลียนแบบเชิงสำรวจ มีความสนใจในการฝึกทักษะอย่างมากชอบทำกิจกรรมซ้ำ ๆ วัยนี้จึงเป็นช่วงสำคัญที่จะทำให้เด็กเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ชอบขีดเขียนเป็นเส้นยาววงกลม และตั้งชื่อเส้นที่ขีดเขียนได้ พัฒนาการเด็กวัยนี้ในแต่ละด้าน เป็นดังนี้
- พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ถีบจักรยานสามล้อได้ ยืนด้วยขาข้างเดียวได้ กระโดดอยู่กับที่ได้ เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้ เล่นกระดานลื่นได้เอง ขว้างลูกบอล วิ่งไปเตะลูกบอลได้
- พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก ประกอบรูปจิ๊กซอว์ 3 - 6 ชิ้นได้จับคู่รูปภาพ รูปเรขาคณิต จับคู่สีได้ รู้จักแม่สีหรือสีพื้น ๆ วาดรูปง่าย ๆวาดรูปคนได้ ปั้นดินน้ำมันเป็นก้อนกลม ๆ เป็นแท่งหรือบิดเป็นเกลียวร้อยลูกปัดขนาดเล็กได้ ดูหนังสือได้ด้วยตนเอง
- พัฒนาการด้านความเข้าใจภาษา ทำตามคำสั่งที่เกื่ยวข้องกับการกระทำได้ 2 - 3 อย่าง ต่อวัตถุ 2 - 3 ชนิด ในประโยคเดียวกัน ชี้อวัยวะของร่างกายได้ 10 ส่วน เลือกรูปภาพตามสั่งได้ วางวัตถุไว้ข้างบน ข้างใต้ และข้างในได้ สนใจฟังนิทานได้นาน 10 นาที เลือกจัดกลุ่มวัตถุตามประเภทได้
- พัฒนาการด้านการใช้ภาษา พูดเป็นประโยคสมบูรณ์โดยใช้คำ3 - 5 คำ เล่านิทานจากรูป หรือหนังสือง่าย ๆ ได้ พูดตอบโต้คำถามต่าง ๆ  3 คำถาม ในเรื่องเดียวกัน พูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปใหม่ ๆ ได้
- พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม เริ่มเล่นสมมติรู้จักรอคอย ไม่ร้องไห้เมื่อแยกจากแม่ ใช้หลอดดูดของเหลวได้ ใช้ส้อมจิ้ม อาหารรับประทานได้ ใส่ - ถอดเสื้อ / กางเกงได้ บอกเมื่อจะขับถ่าย แปรงฟันได้โดยผู้ใหญ่ช่วย ล้างมือและเช็ดมือได้
- พัฒนาการด้านการแสดงออกทางอารมณ์ เมื่อรู้สึกโกรธจะแสดงออกโดยท่าทางร่วมกับภาษากลัวสิ่งที่เกิดจากจินตนาการมากขึ้นรักและเรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันกับคนนอกบ้าน

พัฒนาการของเด็กวัย 3-4 ปี
เริ่มเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เฝ้าในการเล่น ใช้พลังงานไปกับการเล่น จะรู้สึกดีที่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตนต้องการ เต็มใจลองของใหม่และสิ่งแปลกใหม่ พัฒนาการเด็กวัยนี้ในแต่ละด้าน เป็นดังนี้
- พฒันาการด้านการเคลอื่ นไหว เด็กสามารถเดินด้วยปลายเท้าเดินบนเส้นตรงกว้าง 5 ซม. ในขณะที่วิ่งแล้วหยุดวิ่ง เลี้ยวหรือหลบสิ่งกีดขวางได้เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้ ปีนตาข่ายเชือกได้ ขว้างและรับลูกบอลขนาดเล็กได้วิ่งไปเตะลูกบอลได้โดยไม่ต้องหยุดเล็ง กระโดดสองเท้าได้ไกล 30 ซม. หรือกระโดดลงจากบันไดขั้นสุดท้ายได้ ถีบจักรยาน 3 ล้อได้
- พัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ประกอบชิ้นส่วนของรูปภาพได้ วางเรียง ก้อนไม้ที่มีขนาดต่างกัน เรียงตามลำดับได้ จับคู่และแยกรูปภาพ สี วัตถุ ตัวอักษรได้ เลียนแบบการเขียนเครื่องหมายบวก(+) ตัววี (V) วาดรูปคนที่มีส่วนของร่างกายอย่างน้อย 3 ส่วน ร้อยลูกปัดขนาดเล็ก ใช้กรรไกรตัดกระดาษได้สั้น ๆ
- พัฒนาการด้านความเข้าใจภาษา ชี้อวัยวะของร่างกายได้มากขึ้นเลือกรูปภาพชายหญิงได้ รู้จัก ผิวสัมผัสแข็งและนิ่ม รู้จักคำว่าปิดเปิด เลือกรูปภาพที่แสดงสีหน้า สุข เศร้า โกรธ รู้ขนาดใหญ่และเล็ก รู้ตำแหน่ง เช่น ข้างหน้า ข้างหลัง ข้าง ๆ ห่าง ๆ ตอบคำถามง่าย ๆ ได้ โดยการพูดหรือชี้ในขณะฟังนิทาน
พัฒนาการด้านการใช้ภาษา พูดกระซิบหรือตะโกน ร้องเพลงง่าย ๆ ได้ พูดโต้ตอบสนทนา บอกหน้าที่อวัยวะของร่างกายได้ และบอกประโยชน์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น ห้องน้ำ เตาไฟ สามารถเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปได้ บอกชื่อจริง นามสกุลเต็มของตนเองได้ พูดคำที่มีความหมายตรงข้ามได้พูดเป็นประโยคได้
- พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม เล่นกับเด็กอื่น โดย วิธีการผลัดกันเล่น บอกเพศของตนเองได้ ช่วยงานง่าย ๆ ได้ สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายได้ ใช้ช้อนส้อม รับประทานอาหารได้ เทน้ำจากเหยือกได้โดยไม่หก ถอดกระดุมเม็ดใหญ่ได้ ถอดเสื้อผ้าได้ ไม่ปัสสาวะรดที่นอนในเวลากลางคืน ล้างมือล้างหน้าได้เอง
- พัฒนาการด้านการแสดงออกทางอารมณ์ เมื่อรู้สึกโกรธจะแสดงออกโดยการร้องไห้ กระทืบเท้า กลัวแสดงออกโดยการหลบซ่อน วิ่งหนีรักและเรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันกับเพื่อน มีการอิจฉาริษยา อยากรู้ อยากเห็น  มากขึ้น
เด็กอายุ 3 - 5 ปี เป็นวัยที่มีการพัฒนาทักษะในการรับรู้ทางความคิด สติปัญญา และความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เด็กจะเริ่มคิด เริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ และชอบถามคำถามบ่อยๆ เช่น นั่นอะไร ทำไม เป็นต้น ซึ่งพ่อแม่/ผู้ดูแลเด็กบางคนไม่เข้าใจ อาจจะดุเด็กได้จนเด็กบางคนขยาดหวาดกลัวว่า จะทำผิด เพราะถูก ผู้ใหญ่ว่ากล่าวมาแต่เล็ก ความรู้สึกนี้มาปิดกันความคดิ ของเดก็ และจะติดตัวจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฉะนั้นพ่อ แม่ / ผู้ดูแลเด็กจึงไม่ควรดุว่าเด็ก เมื่อเด็กถามคำถามควรตอบสั้นๆ ง่ายๆ ให้เด็ก เข้าใจทุกครั้ง และอาจตั้งคำถามเพื่อถามเด็กตามความสนใจของเด็ก โดยใช้คำถามปลายเปิด ช่วยขยายความคำตอบของเด็ก ชมเชยเมื่อเด็กตอบได้ดี ช่วยเหลือเท่าที่เด็กต้องการในบรรยากาศที่สนกุ สนานร่วมกัน เป็นการฝึกนิสัย ช่างซัก ช่างถามให้กับเด็กการอ่านหนังสือ เล่า
นิทาน จะเป็นการกระตุ้นการซักถามของเด็กได้ดี นอกจากนี้เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่เด็กอยากให้เพื่อนรัก อยากให้เพื่อนชอบ เด็กต้องการที่จะเอาใจเพื่อน อยากเป็น เหมือนเพื่อน เด็กจะยอมทำกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เขาชอบ เด็ก มักชอบร้องเพลงชอบเต้นระบำ อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากจะออกไปหาเพื่อนข้างบ้าน อยากจะไปเล่นกับเพื่อน ๆ ครู/พี่เลี้ยงควรสนับสนุนให้เด็กเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่ม ในวัยนี้เด็กอาจจะดื้อเพราะมีความเป็นตัวของตัวเอง ที่สำคัญผู้ดูแลต้องใจเย็น ไม่หงุดหงิด อารมณ์เย็น ควรอธิบายให้เด็กฟัง ถ้าผู้ดูแลโกรธ ดุ หรือใช้วิธีลงโทษที่ไม่เหมาะสม เด็กจะยิ่งมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเด็กในช่วงนี้กำลังเรียนรู้สิ่งที่ถูกที่ผิด ไม่เข้าใจรายละเอียดของ
จริยธรรมของความดี เช่น ถ้าเด็กทำของแตก เด็กจะคิดว่าไม่ดี ผู้ดูแลต้องอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และความตั้งใจทำให้ของเสียและจะต้องแยกตัวเด็กออกจากพฤติกรรมของเขา เช่น จะต้องบอกว่า ครูรักหนู แต่ครูไม่ชอบในสิ่งที่หนูทำ หนูทำแจกันแตกเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันทำให้เกิดอันตราย แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ คราวหน้าหนูควรทำอย่างนี้ และที่สำคัญครูควรต้องระวัง ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของเด็ก ควรให้เด็กคิดถึงสิ่ง
ที่เขาควรทำได้ สำหรับวัยนี้และจะต้องชมเชยเมื่อเด็กทำได้ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเอง รวมทั้งเรื่องความคิด การตัดสินใจ การสร้างทัศนคติที่ดี ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีความสามารถที่จะทำได้

สิ่งที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้
แลนเดร็ธ (Landreth) กล่าวว่า ในการเรียนรู้ของเด็กนั้น เด็กในวัยนี้
ควรได้รับการฝึกฝนให้พัฒนาทักษะทางด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ทักษะเกี่ยวกับประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวพื้นฐาน
2. กระบวนการคิดและตัดสินใจ
3. การเกิดความคิดรวบยอด
4. การฝึกรูปแบบในการพูด
               ทั้งนี้ เพื่อ ให้เด็ก เกิด ความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ สิ่งต่างๆ รอบตัวจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเรียนรู้ของเด็ก ครู/พี่เลี้ยงควรมีความเข้าใจแต่ละช่วงของพัฒนาการว่าเด็กสามารถเรียนรู้ อะไรได้โดยวิธีใด ทั้งนี้เพื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กพัฒนาการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นรูปแบบการเรียนของเด็ก เป็นกระบวนการที่ ก้าวหน้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการในการเรียนรู้ ที่มีความสัมพันธ์กัน 17 ประการดังนี้
1. เด็กจะเรียนรู้การใช้ประสาทสัมผัสเพื่อนำไปสู่การแยกประเภทและการเรียนรู้สัญลักษณ์
2. เด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เพี่อนำไปสู่การควบคุมการสร้างความสัมพันธ์ การหาแนวทางของตน และการเลียนแบบในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย
3. เด็กจะพัฒนาการออกเสียงอ้อแอ้ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษา
4. เด็กจะเรียนรู้การอ่านภาพที่เป็นสัญลักษณ์ เพื่อนำไปสู่การอ่านหนังสือ
5. เด็กจะเรียนรู้การขีดเขียน เพื่อนำไปสู่การเขียนหนังสือ
6. เด็กจะเรียนรู้จากการได้รับประสบการณ์ เพื่อนำไปสู่การศึกษาข้อมูล
7. เด็กจะเรียนรู้ สิ่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
8.  เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับสตัวและพืชเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ ระบบของร่างกายและระบบนิเวศวิทยา
9. เด็กจะเรียนรู้ จากการลากเส้น การแต้มสีและการละเลงสีเพี่อนำไปสู่การวาดภาพ
10. เด็กจะเรียนรู้จากการทำสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปสู่การใช้เครื่องมือง่ายๆ และการพัฒนาทักษะในการสร้างงานฝีมือ
11. เด็กจะเรียนรู้จากการเขย่าและโยกตัวไปสู่การเต้นรำ
12. เด็กจะเรียนรู้จากการฮัมเพลงไปสู่การร้องเพลง
13. เด็กจะเรียนรู้การได้ยินเนื้อเพลง เพื่อนำไปสู่การฟังเพลง
14. เด็กจะเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงความต้องการของผู้อื่น เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกับผู้อื่น
15. เด็กจะเรียนรู้จากการได้รับการดูแลจากผู้อื่นเพื่อนำไปสู่การดูแลตัวเอง
16. เด็กจะเรียนรู้ที่จะเป็นสมาชิกของบ้านหรือศนูย์ฯ เพื่อนำไปสู การเป็นสมาชิกของชุมชน
17. เด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เป็น ของฉัน เพื่อนำไปสู่การรู้สึกว่าฉันเป็นใคร
                        เด็กวัยแรกเกิด - 5 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาไอคิวและอีคิว ดังนั้น ผู้ ที่มีหน้าที่ดูแลเด็กจึงควรมีความรู้ ความเข้าใจในพัฒนาการของเด็กแต่ละด้าน และลักษณะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เพื่อที่จะได้ดูแลจัดการเรียนการสอนให้เด็กเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ

เด็กแต่ละปี ควรทำอะไรได้บ้าง (บันทึกพัฒนาการ)

บันทึกพัฒนาการเด็กวัยตั้งแต่อายุ 1 เดือน - 6 ขวบ 

ข้อแนะนำในการใช้บันทึกพัฒนาการเด็ก สำหรับคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง

1 .คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย สติ ปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักและเข้าใจ ให้โอกาสเด็กได้เรียน รู้ และฝึกทำ

2 .คุณพ่อคุณแม่ และทุกคนในบ้านเป็นแบบอย่างที่จะปลูกฝังให้เด็กมีลักษณะนิสัย และความ เป็นอยู่ที่ดี เหมาะสมกับสภาพของชุมชน ตลอดจนเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีความสามารถได้

3 .บันทึกพัฒนาการเด็กต่อไปนี้ แสดงความสามารถตามวัยของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจมี พัฒนาการเร็ว - ช้า แตกต่างกัน ถ้าถึงอายุที่ควรทำได้แล้วเด็กทำไม่ได้ ควรให้โอกาสฝึกก่อน ใน 1 เดือน ถ้าไม่มีความก้าวหน้า ควรปรึกษาแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

4 .ถ้าลูกมีลักษณะต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
  • 4.1 ถ้าลูกอายุ 3 เดือน แล้วลูกไม่สบตา หรือ ยิ้มตอบ ไม่ชูคอในท่านอนคว่ำ 
  • 4.2 ถ้าลูกอายุ 6 เดือน แล้วไม่มองตาม หรือ ไม่หันตามเสียง หรือ ไม่สนใจคนมาเล่นด้วย ไม่ พลิกคว่ำหงาย 
  • 4.3 ถ้าลูกอายุ 1 ปี ยังไม่เกาะเดิน ไม่สามารถใช้นิ้วมือหยิบของกินเข้าปาก ไม่เลียนแบบท่าทาง และเสียงพูด 
  • 4.4 ถ้าลูกอายุ 1 ปี 6 เดือน แล้วยังไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ เช่น นั่งลง สวัสดี เดินมาหา แม่ 
  • 4.5 ถ้าลูกอายุ 2 ปี ยังไม่พูดคำต่อกัน 
  • 4.6 พัฒนาการล่าช้ากว่าวัย น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ เจ็บป่วยบ่อยๆ 

หมายเหตุ: การบันทึกพัฒนาการ คุณพ่อคุณคุณแม่ ผู้ปกครองเด็ก บันทึกพัฒนาการเด็กในช่อง "ลูกของท่านทำได้ เมื่ออายุ…….."
=======================================

พัฒนาการเด็กเมื่ออายุ 1 เดือน 

สบตา, จ้องหน้าแม่

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กินนมแม่อย่างเดียว
ยิ้มแย้ม มองสบตา เล่นพูดคุยกับลูก
เอียงหน้าไปมาช้าๆ ให้ลูกมองตาม
อุ้มบ่อยๆ อุ้มพาดบ่าบ้าง

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 2 เดือน

คุยอ้อแอ้ ยิ้ม
ชันคอในท่าคว่ำ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กินนมแม่อย่างเดียว
เล่นกับลูกโดยแขวนของสีสด ห่างจากหน้าลูกประมาณ 1 ศอกให้ลูกมองตาม
พูดคุยทำเสียงต่างๆ และร้องเพลง
ให้ลูกนอนคว่ำในที่นอนที่ไม่นุ่มเกินไป

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 3 เดือน

ชันคอได้ตรงเมื่ออุ้มนั่ง
ส่งเสียงโต้ตอบ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กินนมแม่อย่างเดียว
อุ้มท่านั่ง พูดคุยทำเสียงโต้ตอบกับเด็ก
ให้ลูกนอนเปล หรืออู่ ที่ไม่มืดทึบ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 4 เดือน

ไขว่คว้า
หัวเราะเสียงดัง
ชูคอตั้งขึ้นในท่าคว่ำ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กินนมแม่อย่างเดียว
จัดที่ที่ปลอดภัยให้เด็กหัดคว่ำ คืบ
เล่นกับลูกโดยชูของเล่นให้ลูกไขว่คว้า
ชมเชย ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกทำได้

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 5 เดือน

คืบ
พลิกคว่ำ พลิกหงาย

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
หาของเล่นสีสดชิ้นใหญ่ที่ปลอดภัยให้หยิบ จับ และให้คืบไปหา
พ่อแม่ช่วยกันพูดคุย โต้ตอบ ยิ้มเล่นกับเด็ก
พูดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่กับเด็ก เช่น อาบน้ำ กินข้าว

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 6 เดือน

คว้าของมือเดียว
หันหาเสียงเรียกชื่อ
ส่งเสียงต่างๆ โต้ตอบ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
เวลาพูดให้เรียกชื่อเด็ก
เล่นโยกเยกกับเด็ก
หาของให้จับ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 7 เดือน

นั่งทรงตัวได้เอง
เปลี่ยนสลับมือถือของได้

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
อุ้มน้อยลง ให้เด็กได้คืบและนั่งเล่นเอง โดยมีคุณแม่คอยระวังอยู่ข้างหลัง
ให้เล่นสิ่งที่มีสี และขนาดต่างกัน เช่น ลักษณะผิวเรียบ - หยาบ อ่อน - แข็ง
ให้หยิบจับสิ่งของ เข้า - ออก จากถ้วย หรือกล่อง

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 8 เดือน

มองตามของที่ตก
แปลกหน้าคนที่พบ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กลิ้งของเล่นให้เด็กมองตาม
พูดและทำท่าทางเล่นกับเด็ก เช่น จ๊ะเอ๋ จับปูดำ แมงมุม จ้ำจี้ ตบมือ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 9 เดือน

เข้าใจเสียงห้าม
เล่นจ๊ะเอ๋ ตบมือ
ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือหยิบของชิ้นเล็ก

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
หัดให้เกาะยืน เกาะเดิน
หัดให้เด็กใช้นิ้วหยิบ จับของกินชิ้นเล็กเข้าปาก เช่น ข้าวสุก มะละกอหั่น มันต้มหั่น ฟักทอง ต้ม
ห้ามใช้ถั่ว หรือของที่จะสำลักได้ 

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 10 เดือน

เหนี่ยวตัว เกาะยืน เกาะเดิน
ส่งเสียงต่างๆ "หม่ำ หม่ำ", "จ๊ะ จ๋า"

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
จัดที่ให้เด็กคลาน และเกาะเดินอย่างปลอดภัย
เรียกเด็ก และชูของเล่นให้เด็กสนใจเพื่อลุกขึ้นจับ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 

ตั้งไข่
พูดเป็นคำที่มีความหมาย เช่น พ่อ แม่
เลียนเสียง ท่าทางและเสียงพูด

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ให้เด็กมีโอกาสเล่นสิ่งของโดยอยู่ในสายตาผู้ใหญ่
พูดชมเชย เมื่อเด็กทำสิ่งต่างๆ ได้
พูดคุย ชี้ และบอกส่วนต่างๆ ของร่างกาย

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 3 เดือน

เดินได้เอง
ชี้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามคำบอก
ดื่มน้ำจากถ้วย

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
พูดคุย โต้ตอบ ชี้ชวนให้เด็กสังเกตของและคนรอบข้าง
ให้หาของที่ซ่อนใต้ผ้า
ชี้ให้ดูภาพ และเล่าเรื่องสั้นๆ ให้เด็กฟัง
ให้เด็กหัดตักอาหาร ดื่มน้ำจากถ้วย และแต่งตัวโดยช่วยเหลือตามสมควร

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 6 เดือน

เดินได้คล่อง
รู้จักขอ และทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ให้โอกาสเด็ก เดิน วิ่ง และหยิบจับสิ่งของโดยระมัดระวังความปลอดภัย
ร้องเพลง คุยกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว เล่นเกมส์ง่ายๆ
จัดหา และทำของเล่นที่มีสี และรูปทรงต่างๆ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 8 เดือน

พูดแสดงความต้องการ
พูด 2-3 คำ ติดต่อกัน
เริ่มพูดโต้ตอบ
ขีดเขียนเป็นเส้นได้

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
เมื่อเด็กพยายามทำสิ่งใด ควรสนใจ ชี้แนะ และให้กำลังใจ โดยให้เด็กคิดเอง และทำเอง บ้าง
ฝึกลูกให้ช่วยตัวเอง เช่น ขับถ่ายให้เป็นที่ รู้จักล้างมือก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย
ให้เด็กมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 2 ปี 

เรียกชื่อสิ่งต่างๆ และคนที่คุ้นเคย
ตักอาหารกินเอง

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
คุณพ่อคุณแม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีตลอดเวลา และอบรมสั่งสอนลูกด้วยเหตุผลง่าย
สอนลูกให้รู้จักทักทาย ขอบคุณ และขอโทษในเวลาที่เหมาะสม

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 2 ปี 6 เดือน

ซักถาม "อะไร" พูดคำคล้องจอง
ร้องเพลงสั้นๆ
เลียนแบบท่าทาง
หัดแปรงฟัน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
พาเด็กเดินรอบบ้าน และบริเวณใกล้ๆ ชี้ชวนให้สังเกตสิ่งที่พบเห็น
หมั่นพูดคุยด้วยคำพูดที่ชัดเจน และตอบคำถามของลูกโดยไม่ดุ หรือแสดงความรำคาญ
ชวนลูกแปรงฟัน เมื่อตื่นนอนและก่อนนอนทุกวัน

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 3 ปี 

บอกชื่อ และเพศตนเองได้
รู้จักให้และรับ รู้จักรอ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
สนับสนุนให้ลูกพูด เล่าเรื่อง ร้องเพลง ขีดเขียน และทำท่าทางต่างๆ
สังเกตท่าทีความรู้สึกของเด็ก และตอบสนองโดยไม่บังคับ หรือตามใจลูกเกินไป ควรค่อยๆ รู้จักผ่อนปรน
จัดหาของที่มีรูปร่าง และขนาดต่างๆ ให้เด็กเล่น หัดขีดเขียน หัดนับแยกกลุ่ม และเล่นสมมุติ

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 4 ปี 

ซักถาม "ทำไม"
ล้างหน้า แปรงฟันเองได้
บอกขนาด ใหญ่ เล็ก ยาว-สั้น
เล่นรวมกับคนอื่น รอตามลำดับก่อนหลัง
ไม่ปัสสาวะรด

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ตอบคำถามของเด็ก
เล่าเรื่องจากภาพ คุย ซักถาม เล่าเรื่อง
ฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้า ติด และกลัดกระดุม รูดซิป

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 4 ปี 6 เดือน

รู้จักสีถูกต้อง 4 สี
ยืนทรงตัวขาเดียว และเดินต่อเท้า
เลือกของที่ต่างจากพวกได้
นับได้ 1-10 รู้จักค่าจำนวน 1-5

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ให้ลูกหัดเดินบนไม้กระดานแผ่นเดียว หัดยืนทรงตัวขาเดียว และกระโดดข้ามเชือก
เล่นทาย "อะไรเอ่ย" กับลูกบ่อยๆ
ฝึกหัดนับสิ่งของและหยิบของตามจำนวน 1-5 ชิ้น

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 5ปี 

พบผู้ใหญ่รู้จักไหว้ทำความเคารพ
รู้จักขอบคุณ
รู้จักเล่าเรื่องสั้นๆ

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ให้ลูกช่วยงานบ้านง่ายๆ และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ เช่น ซักผ้า
ฝึกให้ลูกสังเกต รู้จักเปรียบเทียบสิ่งที่แตกต่าง และจัดกลุ่มสิ่งที่เหมือนกัน

=======================================

พัฒนาการของเด็กวัย 6 ปี 

นับได้ 1-30 รู้ค่าจำนวน 1-10
รู้จักซ้าย ขวา
เริ่มอ่านและเขียนตัวอักษรและตัวเลข

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
ให้ลูกนับสิ่งของที่พบเห็น หัดอ่าน เขียนรูป และตัวอักษร
พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ และประเพณีท้องถิ่น
ให้ลูกวาดรูปตามความคิดของตน และเล่าเรื่องจากรูปที่วาด หรืออธิบายสิ่งที่ตนพบเห็น

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของปฐมวัย

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หมายถึงคุณลักษณะ ที่มีความจำเป็นต้องมีในตัวของผู้ที่จะต้องอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการ แก้ปัญหา หรือปฏิบัติงานต่าง ๆ ซึ่งมี 13 ทักษะดังนี้
ทักษะการสังเกต
                ทักษะการสังเกต คือความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัส อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เพื่อหาข้อมูลหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไป เห็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ได้ยินอย่างไร ได้กลิ่นอย่างไร หรือรสชาติเป็นอย่างไร ก็ตอบไปตามนั้น ประสาทสัมผัสมี 5 ชนิด คือ
1. ประสาทตา สังเกตได้โดยการดู เพื่อบอกรูปร่าง สัณฐาน ขนาด สี สถานะ
2. ประสาทหู สังเกตโดยการฟัง เพื่อบอกเสียงที่ได้ยินว่า เสียงดัง เสียงค่อย เสียงสูง เสียงต่ำ หรือเสียงดังอย่างไรตามที่ได้ยิน
3. ประสาทจมูก สังเกตโดยการดมกลิ่น เพื่อบอกว่ามีกลิ่นหรือไม่ หอม เหม็น ฉุน
4. ประสาทลิ้น สังเกตโดยการชิมรส เพื่อบอกว่ามีรสชาติว่า หวาน ขม เผ็ด เค็ม เปรี้ยว ฝาด แต่ในการสังเกตโดยการชิมนี้ ต้องแน่ใจว่าสิ่งนั้นไม่มีอันตรายและสะอาดเพียงพอ
5. ประสาทผิวกาย สังเกตได้โดยการสัมผัส เพื่อบอก อุณหภูมิ ความหยาบ ความละเอียด ความเรียบ ความลื่น ความเปียกชื้น ความแห้งของสิ่งนั้น
นอกจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ชนิดสังเกตโดยตรงแล้ว การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ ได้ก็จัดว่าเป็นทักษะการสังเกตเช่นเดียวกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างสัณฐาน การเปลี่ยนแปลงขนาด การเปลี่ยนแปลงกลิ่น รส อุณหภูมิ ฯลฯ



ทักษะการวัด
                การวัดหมายถึงความสามารถในการเลือกและใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทำการวัดหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง โดยมีหน่วยที่ใช้วัดกำกับ ตลอดจนสามารถอ่านค่าที่วัดได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง ในการวัดจะต้องพิจารณาว่า
1. จะวัดอะไร เช่น วัดความยาวเส้นรอบรูปของลูกบอล ชั่งน้ำหนักก้อนหิน วัดอุณหภูมิของน้ำ วัดระยะเวลาที่ใช้ในการต้มน้ำ วัดปริมาตรของของเหลวในขวด วัดขนาดของมุม วัดความชื้นของอากาศ วัดแรงกดดันของอากาศ วัดแรงดันของไฟฟ้า ฯลฯ
2. จะใช้เครื่องมืออะไรวัด เช่น ใช้เชือกและไม้บรรทัดวัดเส้นรอบรูปของลูกบอล ใช้ตาชั่งสปริงชั่งน้ำหนักของก้อนหิน
3. เหตุใดจึงใช้เครื่องมือนั้น เช่นทำไมจึงเลือกใช้เชือกและไม้บรรทัดวัดเส้นรอบรูปลูกบอล จะใช้เครื่องมืออื่นได้หรือไม
่ 4. จะวัดอย่างไร เช่น เมื่อมีเชือกและไม้บรรทัดแล้วจะทำการวัดอย่างไร มีเทคนิคอย่างไร
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการวัดแต่ละครั้ง คือความเที่ยงตรง แน่นอนในการวัดและค่าที่ถูกต้อง การวัดปริมาณใด ๆ มักจะเกิดความคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ เช่นเกิดจากการอ่านค่าผิดพลาด หรือบันทึกผิด หรือเกิดจากการใช้วิธีวัดไม่ถูกต้อง วิธีแก้ความคลาดเคลื่อนทำได้โดยการวัดหลาย ๆ ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ย การที่นักเรียนจะมีทักษะในการวัด จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอยู่บ่อย ๆ เช่น ก่อนการวัดต้องศึกษาเครื่องมือ วิธีการใช้ สเกลการวัด เป็นต้น ความสามารถที่แสดงว่านักเรียนเกิดทักษะการวัด คือ
1. เลือกเครื่องมือได้เหมาะสมกับสิ่งที่จะวัด
2. บอกเหตุผลในการเลือกเครื่องมือได้
3. บอกวิธีวัดและวิธีใช้เครื่องมือวัดได้ถูกต้อง
4. ทำการวัดปริมาณต่าง ๆ ได้ถูกต้อง
5. ระบุหน่วยของตัวเลขที่ได้จากการวัดได้
การวัดปริมาณต่าง ๆ ได้ตรงกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ
1. เทคนิคการวัด
2. มาตราฐานของเครื่องมือ
3. ความระมัดระวัง ความละเอียดรอบคอบ


ทักษะการจำแนก
                การจำแนก หมายถึงการจำแนกหรือการจัดจำพวกวัตถุหรือเหตุการณ์ ออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยมีเกณฑ์ในการจำแนกหรือจัดจำพวก เกณฑ์ที่ใช้อาจพิจารณาจากลักษณะที่เหมือนกัน แตกต่างกัน หรือสัมพันธ์กัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ การกำหนดเกณฑ์อาจทำได้โดย การกำหนดขึ้นเอง หรือมีผู้อื่นกำหนดให้ การจำแนกประเภทอาจทำได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่กำหนด เช่น การแบ่งประเภทสิ่งของ เกณฑ์ที่ใช้มักเป็น สี ขนาด รูปร่าง ลักษณะผิว วัสดุที่ใช้ทำ ราคา หรือการนำไปใช้ ส่วนพวกสิ่งที่มีชีวิตมักจะใช้เกณฑ์ ลักษณะ รูปร่าง อาหาร ที่อยู่อาศัย การสืบพันธุ์ ประโยชน์ เป็นต้น การจำแนกประเภทไม่จำกัดอยู่เฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้ในสาขาวิชาอื่น และในชีวิตประจำวันได้ เช่น การจัดสิ่งของภายบ้านที่ต้องแยกออกตามประโยชน์ใช้สอย เช่น ของใช้ภายในครัว ของใช้ภายในห้องน้ำ ของใช้ภายในห้องนอน หรือของใช้ในร้านค้าต่าง ๆ ห้างสรรพสินค้าในปัจจุบันจะพบว่าสินค้าต่าง ๆ ที่วางขายในแต่ละส่วนนั้น จะถูกแบ่งแยกออกตามประโยชน์ใช้สอยทั้งสิ้น เช่นส่วนขายเสื้อผ้าเด็ก ส่วนขายเสื้อผ้าผู้หญิง ส่วนขายเครื่องไฟฟ้า เป็นต้น ในการจำแนกสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจะช่วยให้เกิดความสะดวกในการหยิบใช้ และเป็นระเบียบสวยงาม
จุดมุ่งหมายของทักษะการจำแนก
โดยใช้เกณฑ์ที่ตนเองกำหนดขึ้น
1. แบ่งพวกสิ่งของ โดยใช้เกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้ หรือโดยใช้เกณฑ์ที่ตนเองกำหนดขึ้น
2. เรียงลำดับสิ่งของ โดยใช้เกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้ หรือในการแบ่งพวกสิ่งของที่ผู้อื่นจำแนกไว้แล้ว
3. บอกเกณฑ์ ในการเรียงลำดับสิ่งของที่ผู้อื่นเรียงลำดับไว้แล้ว


ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา
                ความรู้เรื่องสเปส ( SPACE ) สเปส หมายถึง ที่ว่าง สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุครองอยู่ ถ้าจะให้เห็นภาพภาพพจน์ที่ชัดเจน ขอให้ลองนึกว่า ถ้าตัวเราลงไปแช่อยู่ในน้ำซึ่งอยู่ในถังจนมิดหัว แล้วนำไปแช่เย็นจนแข็ง ตัวเราก็จะถูกฝังอยู่ในก้อนน้ำแข็งนั้น หากเรามีความสามารถพิเศษหายตัวออกจากก้อนน้ำแข็งนั้นไป ที่ว่างที่อยู่ในก้อนน้ำแข็งนั้นก็คือ สเปสของตัวเรานั่นเอง
ลักษณะของผู้ที่มีทักษะในการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส มีดังนี้
  • 1. บอกจำนวนมิติของวัตถุที่พบเห็นได้
  • 2. ชี้บ่งรูป 2 มิติ และวัตถุ 3 มิติได้
  • 3. บอกชื่อรูปและรูปทรงทางเรขาคณิตได้
  • 4. วาดรูป 2 มิติ จากวัตถุหรือรูปทรง 3 มิติได้
  • 5. บอกความสัมพันธ์ระหว่างรูป 2 มิติ กับวัตถุ 3 มิติได้ ซึ่งแบ่งเป็น
    • 5.1 บอกรูป 3 มิติที่เห็นเนื่องจากการหมุนรูป 2 มิติ
    • 5.2 บอกรูปทรงของวัตถุ ( 3 มิติ ) ที่เป็นต้นกำเนิดเงา เมื่อเห็นเงา ( 2 มิติ ) ของวัตถุ
    • 5.3 บอกเงา ( 2 มิติ ) ของวัตถุที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นวัตถุ ( 3 มิติ )
    • 5.4 บอกรูป ( 2 มิติ ) ที่เกิดจากรอยตัด เมื่อตัดวัตถุ ( 3 มิติ ) ออกเป็น 2 ส่วน
  • 6. บอกตำแหน่งหรือทิศของวัตถุได้
  • 7. บอกความสัมพันธ์ของสิ่งที่อยู่หน้ากระจกเงา และภาพที่ปรากฏในกระจกเงาได้
รูป 2 มิติ
                รูป 2 มิติ คือรูปที่มีเพียง 2 ด้าน คือ ด้านกว้าง และด้านยาว ซึ่งมีชื่อเรียกกันหลายอย่าง เช่น รูป ชื่อ รูปสามเหลี่ยม(Triangle) รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส(Square) รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า(Rectangle) รูปวงกลม(Circle) รูปวงรี รูปไฮเปอร์โบล่า(Hyperbola) รูปพาราโบล่า(Parabola) รูปห้าเหลี่ยม(Pentagon) รูปหกเหลี่ยม(Hexagon)
รูปทรง 3 มิติ
                รูปทรง 3 มิติ จะมีลักษณะต่างจากรูป 2 มิติ คือนอกจากจะมีด้านกว้างและด้านยาวแล้ว ยังมีด้านสูง หรือด้านลึก เพิ่มขึ้นมาอีก หนึ่งด้าน และจะเรียกคำนำหน้าชื่อว่า "ทรง" เช่น รูปทรง ทรงพิรามิดฐานสามเหลี่ยม, ทรงพิรามิดฐานสี่เหลี่ยม, รูปกรวย(Cone), รูปทรงกลม, รูปไข่, รูปปริซึมฐานสามเหลี่ยม, รูปปริซึมฐานสี่เหลี่ยม เป็นต้น


ทักษะการคำนวณ
ลักษณะของการคำนวณ มีดังต่อไปนี้
1. นับจำนวน
2. ใช้ตัวเลขแสดงจำนวนที่นับ
3. บอกวิธีคำนวณ
4. คิดคำนวณ
5. แสดงวิธีคิดคำนวณ
6. บอกวิธีการหาค่าเฉลี่ย
7. หาค่าเฉลี่ย
8. แสดงวิธีหาค่าเฉลี่ย


ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
                ข้อมูล หมายถึงข้อเท็จจริงที่จะนำไปใช้ในการอ้างอิงหรือคำนวณ เราแบ่งข้อมูลตามระดับความยากง่ายในการทำความเข้าใจได้ 2 ประเภทคือ
1. ข้อมูลดิบ เป็นข้อมูลที่ทำความเข้าใจยาก ได้จากการสังเกต การวัด การจำแนก การคำนวณ ฯลฯ
2. ข้อมูลที่จัดกระทำแล้ว เป็นข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งได้มาจากการนำข้อมูลดิบมาดัดแปลงใหม่นั่นเอง การดัดแปลงข้อมูลดิบให้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นดังกล่าว สามารถทำได้ 4 วิธี คือ
                2.1 หาความถี่
                2.2 จัดลำดับ
                2.3 แยกประเภท
                2.4 คำนวณหาค่าใหม่


ทักษะการสื่อความหมายข้อมูล
การสื่อความหมายข้อมูลหมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จัดกระทำแล้วมาแสดงหรือนำเสนอในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นอีก รูปแบบใหม่ที่สามารถแสดงหรือนำเสนอมีหลายรูปแบบเช่น
1. ตาราง                2. แผนภูมิ
3. วงจร                  4. กราฟ
5. สมการ              6. บรรยาย

ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล
                การลงความเห็นจากข้อมูล หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัส สัมผัสสิ่งของหรือเหตุการณ์ให้ได้ข้อมูลอย่างหนึ่ง แล้วเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไปให้กับข้อมูลนั้น ความคิดเห็นส่วนตัวอาจได้มาจาก ความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม หรือเหตุผลต่าง ๆ ดังนั้นการลงความเห็นจากข้อมูล จึงมีลักษณะ ดังนี้
1. อธิบายหรือสรุป เกินข้อมูลที่ได้จากการสังเกต
2. เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไป
เช่น นำใบไม้ชนิดหนึ่งที่นักเรียนไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อนให้นักเรียนสังเกต แล้วถามว่าได้ข้อมูลอะไรจากใบไม้นั้นบ้าง
-ใบไม้มีสีเขียว ( ทักษะการสังเกต )
- ใบไม้มีขน ( ทักษะการสังเกต )
- ใบไม้มีรู 2 รู ( ทักษะการสังเกต )
- ใบไม้มีกลิ่นหอม ( ทักษะการสังเกต )
- ใบไม้คล้ายใบอ้อย ( ลงความเห็นจากข้อมูล )
- ใบไม้ถูกหนอนกินเป็นรู ( ลงความเห็นจากข้อมูล )
                การลงความเห็นจากข้อมูลที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น เป็นการลงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งของหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เท่านั้น ไม่ได้เป็นการลงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งของและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากเป็นการลงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งของหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะเรียกว่าการทำนาย


ทักษะการพยากรณ์
                การพยากรณ์ หมายถึงการทำนายผล เหตุการณ์ หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยข้อมูล ความสัมพันธ์ของข้อมูล หลักการ กฎ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่ทำนาย
ทักษะการตั้งสมมุติฐาน
                การตั้งสมมุติฐาน หมายถึงการทำนายผล เหตุการณ์ หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ทราบ หรือไม่มีความสัมพันธ์ของข้อมูล กฎ หลักการ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่ทำนาย ดังตัวอย่าง
ข้อมูล อากาศบ่ายวันนี้อบอ้าว มีเมฆดำลอยต่ำอยู่เต็มท้องฟ้า มดดำคาบไข่ออกจากรังย้ายไปอยู่บนที่สูง
พยากรณ์ ฝนกำลังจะตก ( อาศัยประสบการณ์ หรือความรู้เดิม )
ข้อมูล นายแดงเคยกินปูเค็มมาแล้ว 6 ครั้ง เขาพบว่าภายหลังที่กินปูเค็มทุกครั้งเขาจะมีอาการท้องเสีย
พยากรณ์ ถ้านายแดงกินปูเค็มอีกเขาจะท้องเสีย ( อาศัยความสัมพันธ์ของข้อมูล )
คำถาม ถ้านายแดงกินกุ้งแช่น้ำปลา จะเกิดผลอย่างไร
จะตอบคำถามนี้ได้ต้องตั้งสมมุติฐาน ( ทำนายอนาคต โดยไม่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของข้อมูล กฎ หลักการ หรือทฤษฎี )


ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
                ในการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมุติฐานนั้น อาจมีคำ หรือข้อความ ในสมมุติฐานที่มีความหมายได้หลายอย่าง ทำให้เข้าใจไม่ตรงกัน และอาจสังเกตหรือวัด หรือตรวจสอบได้ยาก จึงจำเป็นต้องกำหนดความหมายของคำ หรือข้อความนั้น ให้สามารถเข้าใจตรงกันได้ และสามารถสังเกตหรือตรวจสอบได้ง่าย อันเป็นการจำกักขอบเขตของการศึกษาทดลอง การกำหนดความหมายของคำหรือข้อความจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ เช่น
ตั้งสมมุติฐานว่า การทาบกิ่งมะม่วงทำให้ได้มะม่วงดี
คำว่า "มะม่วงดี" มีความหมายได้อย่าง และตรวจสอบว่ามะม่วงดี ทำได้ยาก จึงควรกำหนดความมหายของคำว่า มะม่วงดี เสียก่อน เช่น มะม่วงดีหมายถึง มะม่วงที่ให้ผลเร็ว หรือ มะม่วงดี หมายถึงมะม่วงที่มีลักษณะเหมือนต้นแม่ เป็นต้น
ดังนั้นการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ จึงมีจุดประสงค์เพื่อ
1. ให้เข้าใจตรงกัน
2. ให้สังเกตหรือวัด หรือตรวจสอบได้ง่าย
ลองพิจารณานิยามต่อไปนี้
ก. นิยามทั่วๆ ไป อ๊อกซิเจน หมายถึง ธาตุชนิดหนึ่งมีสถานะเป็นก๊าซ มีน้ำหนักอะตอม 16 และมีเลขอะตอมเป็น 8
ข. นิยามเชิงปฏิบัติการ ออกซิเจน หมายถึง ก๊าซที่ช่วยให้ไฟติด เมื่อนำธูปที่ติดไฟเป็นถ่านแดงแหย่ลงไปในกระกอกเก็บก๊าซนี้ จะเกิดเป็นเปลวไฟขึ้น
จะเห็นว่านิยาม ก. แตกต่างจากนิยาม ข. คือ นิยาม ก. ทดสอบได้ยาก ส่วนนิยาม ข. ทดสอบได้ง่าย
นิยามต่อไปนี้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการหรือไม่
ก. น้ำสะอาด หมายถึง น้ำที่ต้มแล้ว และไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรส
ข. น้ำสะอาห หมายถึง น้ำที่ปราศจากเชื้อโรค
( ก. เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ เพราะตรวจสอบได้ง่าย โดยการสังเกต ส่วน ข. ไม่เป๋นนิยามเชิงปฏิบัติการสำหรับนักเรียนระดับต่ำ แต่อาจเป็นนิยามเชิงปฏิบัติการของนักเรียนนักศึกษาระดับสูงได้ )
นิยามต่อไปนี้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการหรือไม่
ก. ไก่สมบูรณ์ คือ ไก่ที่อ้วนมาก
ข. ไก่สมบูรณ์ คือ ไก่ที่มีน้ำหนักมาก
( ข เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ เพราะตรวจสอบได้ง่ายโดยการชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่ง ส่วน ก. ไม่เป็น เพราะ "อ้วน" ตรวจสอบได้ยาก ไก่น้ำหนักน้อยแต่ขนพอง ก็มองดูอ้วนได้ )


ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร
                ตัวแปร หมายถึง วัสดุ สิ่งของ หรือสถานการณ์ หรือปริมาณ ที่สามารถทำให้ผลของการทดลองออกมาผิด หรือถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่ แบ่งได้ 3 ชนิด คือ
1. ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ คือตัวแปรที่เป็นต้นเหตุ ให้เราคาดว่าทำให้ผลออกมาต่างกัน
2. ตัวแปรตาม คือผลที่เกิดจากตัวแปรต้น
3. ตัวแปรที่ต้องควบคุม คือสิ่งที่เราต้อง หรือควบคุมให้เหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจว่า ผลการทดลองเกิดจากตัวแปรต้นเท่านั้น
เช่น
ดินอะไรปลูกข้าวเจ้าได้ดี
ถ้าจะออกแบบการทดลอง โดยการนำเมล็ดข้างเจ้ามาเพาะลงในกระถาง โดยแยกใส่ดินให้ต่างกันชนิดละ 1 กระถาง แล้วดูผลการเจริญเติบโต ที่คาดว่าจะแตกต่างกัน ตัวแปรที่เกี่ยวข้องคือ เมล็ดข้าว กระถาง ดิน การดูแลรักษา สถานที่ และระยะเวลา ดังนั้นจึงต้องกำหนดและควบคุมตัวแปรดังนี้
- ตัวแปรต้น คือ ชนิดของดิน
- ตัวแปรตาม คือ การเจริญเติบโตของข้าวเจ้า
- ตัวแปรควบคุม คือ เมล็ดข้าว กระถาง การดูแลรักษา สถานที่ทดลอง ระยะเวลาที่ทดลอง
วัสดุใดนำความร้อนได้ดี
ถ้าจะทดลองโดยการนำแท่งวัสดุต่างชนิดกัน มาติดด้วยเทียนขี้ผึ้ง แล้วนำปลายวัสดุแต่ละชนิดไปลนไฟ เพื่อดูว่าเทียนขี้ผึ้งที่ติดอยู่บนวัสดุใด หลอมเหลวและหลุกออกไปก่อนกัน ตัวแปรที่เกี่ยวข้องคือ
- ตัวแปรต้น คือ ชนิดของแท่งวัสดุ
- ตัวแปรตาม คือ ระยะเวลาที่เทียนขี้ผึ้งหลุดจากแท่งวัสดุ
- ตัวแปรควบคุมคือ ความร้อนของไฟ ระยะของก้อนเทียนขี้ผึ้ง ขนาดและรูปร่างของก้อนเทียนขี้ผึ้ง ความแน่นของก้อนเทียนขี้ผึ้งที่ติดกับแท่งวัสดุ


ทักษะการทดลอง
การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติการเพื่อทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งขึ้น
ในการทดลองจะประกอบด้วยกิจกรรม 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1. การออกแบบการทดลอง
2. การปฏิบัติการทดลอง
3. การบันทึกผลการทดลอง
การออกแบบการทดลอง เป็นการวางแผนการทดลอง เพื่อ
- บอกวิธีทดลอง ให้รู้ว่าจะทำการทดลอง หรือปฏิบัติอย่างไร
- เลือกอุปกรณ์ เครื่องมือ วัสดุ หรือสารเคมีที่จะใช้ทดลอง ให้รู้ว่าจะต้องใช้อะไร จำนวนเท่าไร และใช้อย่างไร
การออกแบบการทดลองที่ดี ต้องสามารถทดลองได้สะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว เที่ยงตรง เห็นผลได้ชัดเจน และประหยัด
การปฏิบัติการทดลอง เป็นกิจกรรมที่ต้องลงมือปฏิบัตจริง ซึ่งจะต้องใช้ทักษะด้านอื่นๆ ประกอบอีกมาก เช่น ทักษะการวัด ทักษะการสังเกต ทักษะการใช้เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น
การบันทึกผลการทดลอง เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากการปฏิบัติกาารทดลอง กล่าวคือ เมื่อผู้ทดลองได้สังเกต ได้วัดปริมาณ ได้นับจำนวน หรือได้ให้คะแนน อย่างไร ก็บันทึกผลตามนั้น ลงในแบบบันทึกที่ได้เตรียมไว้ ซึ่งแบบบันทึกนี้จัดเป็นวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ต้องเตรียมไว้
อาจสรุปได้ว่าผู้มีทักษะการทดลองควรมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้
- ออกแบบการทดลองได้เหมาะสม ( เที่ยงตรง รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัด ฯลฯ )
- เลือกวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้ในการทดลองได้เหมาะสม
- ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว ปลอดภัย
- บันทึกผลการทดลองได้เหมาะสม
- ทำความสะอาด จัดเก็บ อุปกรณ์หรือเครื่องมือได้


การตีความหมายของมูล หมายถึงการแปลความหมาย หรือการบรรยายลักษณะ และสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ ในการตีความหมายของข้อมูลนั้น อาจต้องใช้ทักษะอื่น ๆ ด้วย เช่นทักษะการสังเกต ทักษะการคำนวณ เป็นต้น สำหรับการลงข้อสรุป หมายถึงการสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด
 ตัวอย่าง จากการทดลอง ทดสอบผงชูรสตัวอย่าง ด้วยวิธีการเผาและใช้กระดาษขมิ้นได้ผลดังนี้

วิธีทดสอบ
ร้านค้าอาหาร
A
B
C
D
เผา
สีเหมือน
สีน้ำตาลไหม้
มีสีขาวปะปน
สีเหมือน
สีน้ำตาลไหม้
สีเหมือน
สีน้ำตาลไหม้
ทดสอบ
ด้วยกระดาษขมิ้น
ไม่เปลี่ยนสี
ส้มอ่อน
ไม่เปลี่ยนสี
ไม่เปลี่ยนสี
ตารางแสดงผลการทดสอบ ผงชูรสจากร้านค้าอาหารจำนวน 4 ร้าน
จากตารางแสดงว่า ผงชูรสจากร้านค้าอาหาร B มีผลการทดลอง แตกต่างจากร้านค้าอาหาร A C และ D คือเมื่อทดสอบด้วยการเผา มีสีขาวปนอยู่ในสีดำ และทำให้กระดาษขมิ้นเปลี่ยนจากสีเหลือง เป็นสีส้มอ่อน แสดงว่ามีสารบอแร๊กซ์เจือปน จากข้อมูลสรุปได้ว่า
จากการสำรวจ การใช้ผงชูรสของร้านค้าอาหาร ภายในวิทยาลัยฯ ทั้ง 4 ร้าน ปรากฎว่ามีอยู่ 1 ร้านคือร้าน B ที่พบว่ามีสารบอแร๊กซ์เจือปนอยู่ในผงชูรส สำหรับร้านค้าอาหารอื่น ๆ อีก 3 ร้าน ไม่พบว่ามีสารบอแร็กซ์เจือปน สำหรับสารอื่น ๆ ที่อาจเจือปนในผงชูรสนั้น จาการทดสอบครั้งนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากวิธีการตรวจสอบด้วยการเผา และการใช้กระดาษขมิ้นนั้น เป็นวิธีการตรวจสอบสารบอแร็กซ์ ที่อาจเจือปนในผงชูรสเท่านั้น

พัฒนาการด้านการอ่าน (Reading Stage)

โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
http://www.iamsmartkids.com 
พัฒนาการด้านการอ่าน (Reading Stage)
วัยเด็กทารก (อายุ -1 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : มีการเลียนแบบเสียงจากที่พวกเขาได้ยิน
  • มีการตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย
  • ใช้การดูรูปภาพ
  • พยายามที่จะเอื้อมหยิบหนังสือและเปลี่ยนหน้ากระดาษต้องมีคนช่วยเหลือ
  • ตอบสนองต่อเนื้อเรื่องและรูปภาพโดยมีการเปล่งเสียงและตบมือ
วัยเตาะแตะ ( อายุ 1-3 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : ตอบคำถามเกี่ยวกับวัตถุที่มีอยู่ในหนังสือได้ เช่น “วัวอยู่ที่ไหน” หรือ “วัวร้องอย่างไร”
  • บอกชื่อภาพที่คุ้นเคยได้
  • ชี้บอกชื่อวัตถุได้อย่างถูกต้อง
  • แสร้งทำเหมือนอ่านหนังสือได้
  • บอกเนื้อหาตอนจบของหนังสือที่เค้ารู้จักเป็นอย่างดีได้
  • มีการขีดเขียนลงบนกระดาษ
  • ทราบชื่อหนังสือและสามารถระบุภาพบนปกหนังสือได้
  • เปลี่ยนหน้ากระดาษได้ด้วยตนเอง
  • มีหนังสือเล่มโปรดและขอให้อ่านบ่อย
วัยก่อนอนุบาล (อายุ 3 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : ค้นหาหนังสือด้วยตนเอง
  • ฟังเรื่องราวที่มีความยาวได้และมีการอ่านออกเสียงตาม
  • อยากฟังนิทานเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา
  • สามารถอ่านตัวอักษรได้
  • เริ่มร้องเพลงตัวอักษรที่มีการชี้แนะหรือบอกแนวทางได้
  • มีการวาดสัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับการเขียน
  • แสดงท่าทางเลียนแบบการอ่านหนังสือแบบออกเสียงได้
วัยเตรียมอนุบาล (อายุ 4 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : รู้จักคุ้นเคยกับสัญลักษณ์และป้ายเครื่องหมาย โดยเฉพาะสัญลักษณ์กับภาชนะที่ใส่
  • สร้างคำที่มีเสียงสอดคล้องกันได้
  • จดจำและเขียนตัวอักษรบางตัวได้
  • บอกชื่อตัวอักษรหรือออกเสียงคำขึ้นต้นได้
  • จับคู่ตัวอักษรให้ตรงกับเสียงของตัวอักษรได้
  • นำตัวอักษรที่คุ้นเคยมาลองเขียนให้เป็นคำ
 
วัยอนุบาล (อายุ 5 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : เข้าใจเสียงที่สอดคล้องกันและสามารถเล่นเกมส์เติมเสียงที่สอดคล้องกันได้
  • จับคู่คำตามคำบอกได้
  • เข้าใจการอ่านหนังสือว่าต้องอ่านจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง
  • เขียนตัวอักษรและตัวเลขบางตัวได้
  • จำคำที่คุ้นเคยได้
  • ทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในเรื่องที่อ่านได้
  • เล่าเรื่องจากเรื่องที่เราเคยอ่านให้พวกเขาฟังได้
วัยประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 (อายุ 6 – 7 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : อ่านเรื่องที่คุ้นเคยได้
  • ใช้การอ่านออกเสียงหรือแปลคำที่ไม่คุ้นเคยได้
  • ใช้รูปภาพและบริบทของรูปภาพในการเดาคำที่ไม่รู้จัก
  • มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนและมีการเขียนด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่
  • เชื่อมั่นว่าตนเองถูกต้องเมื่อพวกเขาอ่านออกเสียงคำผิด
  • แสดงความเข้าใจเรื่องราวผ่านการวาดภาพ
วัยประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 (อายุ 7 – 8 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : อ่านหนังสือที่มีเนื้อหายาวๆ ได้อย่างอิสระ
  • อ่านออกเสียงโดยมีการเน้นเสียและใช้น้ำเสียงแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
  • ใช้เนื้อหาบรรยายภาพและรูปภาพในการช่วยระบุคำที่ไม่คุ้นเคย
  • สรุปใจความในย่อหน้าและเริ่มใช้การเขียนสรุปใจความ
  • ใช้เครื่องหมายวรรคตอนได้ถูกต้อง
  • สะกดคำง่าย ๆ ได้ถูกต้อง
  • เขียนข้อความสั้น ๆ เช่น ข้อความในโทรศัพท์มือถือหรือ อีเมล์ได้
  • ชอบที่จะเล่นเกมส์ค้นหาคำ
  • มีการใช้คำ วลี คำอุปมาอุปไมยใหม่ ๆ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน
  • ปรับปรุงการเขียนได้ด้วยตนเอง
วัยประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 (อายุ 9 – 13 ปี)
  • เด็กมักจะเริ่ม : สำรวจและทำความเข้าใจบทความต่าง ๆ เช่น ชีวประวัติ บทกวี และนวนิยาย
  • เข้าใจและสามารถค้นหาข้อความที่เป็นการอธิบาย บรรยาย และข้อความที่โน้มน้าวใจได้
  • มีการอ่านเพื่อที่จะดึงข้อมูลที่สำคัญออกมาได้ เช่นการอ่านจากหนังสือวิทยาศาสตร์
  • ระบุส่วนประกอบของคำเช่นคำนาม คำสรรพนาม คำเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย ได้
  • ระบุองค์ประกอบที่สำคัญของเรื่องราวที่อ่านได้ เช่น เวลา สถานที่ เนื้อหาโดยย่อ ปัญหาที่
  • เกิดขึ้น และบทสรุปของเรื่อง
  • อ่านและเขียนจากข้อความที่กำหนดให้และทำความเข้าใจกับบทความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
  • วิเคราะห์ความหมายของบทความ


READING
โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
การฝึกการทรงตัวสามารถช่วยเด็กให้เกิดการเรียนรู้การอ่านได้อย่างไร
การฝึกการทรงตัวเป็นวิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ในการช่วยเหลือเด็กที่มีความ บกพร่องทางการอ่าน เนื่องมาจากระบบการทรงตัวหรือ Vestibular เป็นองค์ประกอบหลักในกระบวนการทางสมองเกี่ยวกับการพูด และการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกการทรงตัว
นอกจากนี้มีการวิจัยเมื่อ10 ปีที่แล้วแสดงให้เราเห็นว่าไม่มีทางใดที่ดีที่สุดในการสอนให้เด็กมีทักษะใน การอ่านออกเขียนได้ การฝึกการทรงตัวเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้ร่วมกันกับการฝึกพื้นฐานการ อ่านออกเสียงด้วยกระบวนการสอนแบบธรรมชาติ เด็กได้ทักษะในการนึกคำและใช้การออกเสียงพยัญชนะและคำเป็นทักษะที่ช่วยให้ เด็กเข้าใจคำที่พวกเขาอ่าน การฝึกการทรงตัวเป็นเพียงเทคนิคการสอนการอ่านที่สามารถช่วยให้เด็กมีทักษะ ที่จำเป็นในการอ่านได้ดีขึ้น
กิจกรรมฝึกการทรงตัว
1.ให้เด็กยืนบนกระดานทรงตัว แล้วถือตระกร้ารับลูกบอล หรือถือไม้ตีลูกบอลที่โยนมา
2.ให้เด็กยืนหรือนั่งบนชิงช้าหยิบของที่วางด้านบนลงมาใส่ในตระกร้า
3.ให้เด็กนั่งบนลูกบอลเอื้อมหยิบห่วงทางด้านซ้ายไปใส่หลักทางด้านขวา
4.ให้เด็กเดินทรงตัวบนสะพานทรงตัวเริ่มจากทางตรง เป็นทางซิกแซก เดินข้ามสิ่งกีดขวาง หรือเดินไปแล้วก้มเก็บของระหว่างทางบนสะพานทรงตัว

READING
โดย มณฑิกา รัตนเรืองศิลป์ (นักกิจกรรมบำบัดประจำศูนย์ฯ)
จะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะอ่านได้อย่างไร
การอ่านออกเสียงและการสะกดคำ (Phonics)
การอ่านออกเสียงและการสะกดคำ เป็นกระบวนการสอนให้เด็กออกเสียงสะกดคำในการอ่านและการเขียนหนังสือ การอ่านสะกดคำนั้นคือ การสอนให้เด็กเชื่อมโยงเสียงจากการสะกดให้เข้ากับตัวอักษรในแต่ละตัว เพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจและนึกภาพตาม และสอนให้เด็กผสมเสียงตัวอักษรเข้าด้วยกันในการอ่านคำที่เด็กไม่เคยรู้จักมา ก่อน การอ่านสะกดคำเป็นกระบวนการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการสอนให้เด็กอ่านและ แปลคำศัพท์ เด็กเริ่มที่จะเรียนรู้การอ่านและใช้การอ่านสะกดคำเมื่อเด็กอายุประมาณ 5 – 6 ปี การสอนให้เด็กอ่านภาษาอังกฤษจะต้องใช้การสะกดคำเป็นสำคัญเพื่อให้เด็กเรียน รู้โดยการเชื่อมโยงรูปแบบตัวอักษรกับเสียงที่เปล่งออกมา
หลักการทางภาษา
จากหลักการทางภาษาศาสตร์ การอ่านสะกดคำในภาษาอังกฤษต้องอาศัยพื้นฐานของหลักการทางภาษา
การที่จะเขียนคำได้จะต้องมีการอ่านออกเสียงสะกดคำแยกเป็นตัว ๆ ก่อน เช่นคำว่า pat จะต้องมีการสะกดส่วนประกอบของคำเป็นพยัญชนะทั้งหมด 3 ตัว คือ p , a และ t เป็นต้น การสะกดคำมีความแตกต่างกันในแต่ละภาษาเช่น ในสเปน การสะกดตัวอักษรจะต้องมีความสอดคล้องกันระหว่างเสียงที่เปล่งกับรูปแบบตัว อักษรที่เป็น ตัวอักษร 1 ตัวมีได้เพียง 1 เสียงเท่านั้น แต่ภาษาอังกฤษไม่เป็นเช่นนั้น ภาษาอังกฤษจะมีการสะกดคำที่ซับซ้อนกว่า เพราะจะมีการออกเสียงของตัวอักษรมากกว่า 40 เสียง แต่มีรูปแบบของตัวอักษรแค่ 26 ตัวเท่านั้น เนื่องมาจากว่าในภาษาอังกฤษจะมีการรวมตัวอักษร 2 ตัวเข้าด้วยกัน แต่การอ่านออกเสียงจะออกเสียงเป็นเพียงเสียงเดียว เช่น t กับ h เมื่อนำมาวางใกล้กันก็จะออกมาเป็นเสียง th เป็นต้น

หนังสือช่วยในการพัฒนาสมองเด็กได้

หนังสือช่วยในการพัฒนาสมองเด็กได้


“หลากเคล็ดลับในการเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับลูกรัก เพื่อการพัฒนาด้านสมองอย่างสมวัย”
 
"หนังสือคือ เพื่อนที่เงียบที่สุด และซื่อสัตย์ที่สุดพวกเขาเป็นที่ปรึกษาที่เข้าพบได้ง่ายที่สุดและฉลาดที่สุด และเป็นครูที่อดทนมากที่สุด" คำกล่าวของ ชาร์ล ดับบลิว. อีเลียต นักการศึกษาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คงจะเป็นประโยคที่ใช้บอกเล่าถึงคุณประโยชน์ของการอ่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งเพื่อนของการอ่านตามคำนิยามของ ชาร์ล ดับบลิว. อีเลียต นั้นไม่ใช่เพื่อนที่เราพบเจอเมื่อครั้งเป็นผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงเพื่อนแห่งการอ่านเมื่อครั้งสมัยที่เรายังเป็นเด็กเล็กด้วย
ดังนั้นการอ่านจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะส่งเสริมตั้งแต่ยังเป็นเด็กโดยเฉพาะช่วงอายุ 0-6 ขวบหรือช่วงปฐมวัยนั้นเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการเสริมสร้างการพัฒนาการ ด้านสมอง โดยการอ่านหนังสือนั้นจะเป็นวิธีการที่ง่ายและดีที่สุดวิธีการหนึ่งที่จะ ช่วยกระตุ้นการพัฒนาการของสมองได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีส่วนในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจและสติปัญญา ตลอดจนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ได้เป็นอย่างดีดังนั้นการเลือกหนังสือให้เหมาะกับเด็ก รวมถึงการวิเคราะห์ สิ่งที่เด็กจะได้รับจากการอ่านหนังสือและเทคนิคการผลิตสื่อที่สร้างสรรค์จาก หนังสือย่อมมีความสำคัญและช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตขึ้นด้วยนิสัยรักการอ่านต่อไป
 โดยธรรมชาติของเด็ก เล็กๆ แล้วชอบฟังเสียงจากสิ่งรอบตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะเสียงของพ่อแม่และคนใกล้ตัวที่แสดงถึงความรัก ความอ่อนโยนและความผูกพันกันในครอบครัว เราสามารถอ่านหนังสือให้เด็กฟังได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดเลยทีเดียว วันนี้เรามีแนวทางในการเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับลูกๆ ตัวน้อยของเราเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาการให้กับเด็กๆ ด้วยหนังสือเหล่านั้นสำหรับเด็กๆ ในขวบปีแรกนั้น มักจะสนใจหนังสือที่เป็นรูปวาดเด็กเล็กๆ ในวัยใกล้เคียงกันชอบดูรูปลายเส้นง่ายๆ รายละเอียดไม่มากนัก
ส่วนเด็กๆ ในช่วงอายุ 1-3 ขวบ ชอบดูหนังสือที่เป็นลายเส้นสะอาด และชอบดูรูปถ่ายจากของจริง เด็กวัยนี้นั้นจะชอบชี้รูปในหนังสือและบอกได้ว่าอะไรคืออะไร เช่น รูปแมว ต้นไม้ บ้าน ส้ม นอกจากนี้แล้วเด็กวัยนี้ยังชอบดม แตะ แกะ แทะ กัด ฉีก และเลียหนังสือ ดังนั้นควรหาหนังสือที่ทำจากกระดาษหนาและทนมือเด็ก หนังสือผ้า หรือหนังสือลอยน้ำที่เป็นพลาสติก ที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ เด็กวัยนี้จะชอบหนังสือที่มีพื้นผิว นุ่ม หยาบ สาก ลื่น มีเสียงดนตรี กดรูปแล้วจะมีเสียง หนังสือที่ทำให้เขาได้มีส่วนร่วมบ้าง หนังสือที่ทำให้เขาได้ฝึกทักษะด้วยตนเอง เช่น หัดรูดซิป ผูกเชือก เอานิ้วสอดเข้าไปตามหน้าต่างๆ ได้หรือหนังสือ Pop up
แต่เด็กในช่วงวัย 3-4 ขวบนั้น จะชอบเล่นหุ่นนิ้วมือ หุ่นนิ้วและตุ๊กตา ชอบหนังสือเกี่ยวกับตัวการ์ตูนที่รู้จักคุ้นเคย เด็กผู้ชายจะชอบหนังสือเกี่ยวกับรถ รถบรรทุก เครื่องบิน และยวดยานที่มีล้อ เด็กผู้หญิงจะชอบเรื่องจินตนาการ ชอบสัตว์ประหลาดและนางฟ้าใจดี ส่วนเด็กในวัย 5-6 ขวบ จะชอบหนังสือที่มีสัตว์พูดได้ สัตว์มีความรู้สึกนึกคิด และมีสังคมคล้ายๆ สังคมรอบๆ ของเด็ก เด็กในวัยนี้จะชอบนิทานเรื่องแฟนตาซีเกี่ยวกับเจ้าหญิง เจ้าชาย ยักษ์ คนแคระ นางเงือก หนุมาน บางครั้งเด็กก็แยกไม่ออกระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับเรื่องในหนังสือ หรือในจินตนาการ เด็กในวัยนี้นั้นจะนับเลขได้และชอบอ่านหนังสือที่สอนนับเลข ดังนั้นเด็กๆ ควรได้เริ่มอ่านหนังสือภาพง่ายๆ และเด็กๆ ในวัยนี้นั้นจะชอบอ่านหนังสือเล่มใหม่ๆ ที่ไม่เคยอ่านมาก่อน
หนังสือที่เหมาะสมกับ เด็กๆ จึงควรเป็นหนังสือนิทานภาพ นิทานเด็ก หรืออาจะเป็นการเล่าเรื่องหรือร้องเพลงเด็กที่มีคำคล้องจองกันให้ลูกฟังทุก วันอาจเตรียมตะกร้าหนังสือไว้ให้ลูกและในตะกร้าหนังสือนั้นน่าจะมีหนังสือ ไม่น้อยกว่า 7-8 เล่มเพื่อให้ลูกได้ฟังเนื้อเรื่อง น้ำเสียงและดูรูปภาพที่แตกต่างกันออกไปด้วย
ส่วนเด็กในวัยประถมศึกษาอายุ 7-9 ปีนั้น เด็กในวัยนี้จะสามารถแยกแยะถูกผิดและตัดสินใจในสิ่งที่ได้ฟังได้ เด็กในวันนี้จะยึดถือความจริง ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่ทำท่าเหมือนหลอก และไม่ชอบให้ผู้ใหญ่ทำในสิ่งที่บอกเด็กว่าไม่ดี เด็กในวัยนี้อยากเป็นและทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เช่นชอบแต่งตัวเป็นผู้ใหญ่ มีความกระหายใคร่รู้ และมีจินตนาการสร้างสิ่งสมมุติ นับถือตนเองเป็นใหญ่ มีความกลัวสิ่งรอบตัวน้อยลงเช่นเลิกกลัวความมืด เผชิญหน้ากับความจริงใน ชีวิตได้มากขึ้นเช่นความตายของคนในครอบครัว แต่เด็กในวัยนี้นั้นยังไม่เข้าใจสัญลักษณ์และการเปรียบเทียบต่างๆ แต่รู้ความแตกต่างระหว่างเพศและยังเล่นด้วยกันได้ ดังนั้นหนังสือที่เหมาะสมกับเด็กๆ ในวัยนี้นั้นจึงควรเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ หนังสือการ์ตูน เรื่องสืบสวนสอบสวน เรื่องลึกลับ เรื่องเกี่ยวกับมัมมี่หรือชีวิตใต้ท้องทะเล หนังสือประเภทที่สุดในโลก แปลกแต่จริงข้อมูลจากกินเนสส์บุ๊ก
อย่างไรก็ตามยังมี หนังสือที่เหมาะสมและแนวทางที่เหมาะสมกับการเลือกหนังสือให้ลูกรักอีกเป็น จำนวนมากที่เป็นเคล็ดลับสำคัญในการช่วยเสริมสร้างและพัฒนาการเกี่ยวกับการ อ่านให้ลูกรัก.

พัฒนาการด้านการอ่านตามวัยของเด็ก ๆ




 พัฒนาการด้านการอ่านตามวัยของเด็ก ๆ (Pregnancy& Baby)

เรื่อง : Aunty Wee


หลังกลับจากโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ เห็นเด็ก ๆ ที่บ้านอ่านหนังสือกันได้เจื้อยแจ้ว เสียงใส เป็นอะไรที่น่าประทับใจจริง ๆ นะคะ... แต่เคยสงสัยไหมเอ่ยว่า พัฒนาการด้านนี้ของเด็ก ๆ นั้น จะเริ่มต้นตอนไหนและเมื่อไหร่ ลูกจะอ่านหนังสือได้ชัดเจนแจ่มแจ๋ว



เด็กเริ่มเรียนรู้การอ่านได้เมื่อไหร่



การ อ่านของเด็กเริ่มตั้งแต่วัยทารก โดยในช่วงวัย 6-8 เดือนแรก เด็กทุกคนเริ่มสามารถรับรู้ความแตกต่างของหน่วยเสียงที่มีอยู่ในทุกภาษาทั่ว โลกได้ และก่อนอายุ 10 เดือนเด็กจะเริ่มปรับความสามารถให้เข้ากับหน่วยเสียงและไวยากรณ์ของภาษาของ ผู้เลี้ยงดู หลังจากอายุ 10 เดือนความสามารถดังกล่าวจะจำกัดเฉพาะอยู่ในภาษาของผู้เลี้ยงดู เช่น เด็กทารกชาวญี่ปุ่นจะมีความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างเสียง /r/ และ /l/ ได้ ซึ่งความสามารถดังกล่าจะจำกัดและยากมากขึ้นในผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่น หลังจากนั้นทักษะทางการอ่านจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต



วัยไหนเรียนรู้อะไรบ้างเรื่องการอ่าน



จาก การศึกษาของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนเรื่องการแยกแยะเสียงของคำพูด อันเป็นปัจจัยหลักขั้นพื้นฐานสำหรับการอ่าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะมีการเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร และการอ่านสะกดคำต่อไป ซึ่งต่างจากระบบการเรียนการสอนอ่านภาษาไทยในปัจจุบันที่ไม่ได้เน้นเรื่องของ ทักษะการแยกแยะเสียงตั้งแต่ช่วงชั้นปฐมวัย แต่จะเน้นเรื่องของการสอนพยัญชนะ แม้การเชื่อมโยงเสียงต้นกับตัวพยัญชนะ ซึ่งควรพิจารณาปรับใช้และสังเกตการณ์ให้เหมาะสม



วัยทารก (infant) : 1 ขวบปีแรก



6-8 เดือนแรกเด็กทุกคนเริ่มสามารถรับรู้ความแตกต่างของหน่วยเสียงที่มีอยู่ในทุกภาษาทั่วโลกได้



ก่อนอายุ 10 เดือนเด็กจะเริ่มปรับความสามารถให้เข้ากับหน่วยเสียงและไวยากรณ์ของภาษาแม่หรือผู้เลี้ยงดู



หลังจากอายุ 10 เดือนความสามารถดังกล่าวเริ่มจำกัดการพัฒนาอยู่เฉพาะในภาษาแม่



วัยเตาะแตะ (toddler) : 1-3 ปี



เด็กให้ความสนใจเสียงที่เด็กไม่สามารถพูดได้



แสดงความสนใจเสียงหรือกลุ่มเสียงที่เหมือนกันเมื่อมีการอ่านกลอน หรือเล่าเรื่องนิทานที่มีคำคล้องจองเริ่ม มีการเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร เช่น เมื่อเด็กอ่านหนังสือกับผู้เลี้ยงดู เด็กจะชี้และพยายามออกเสียงตามตัวอักษร หรือใช้คำจากภาษาพูดเพื่อเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร เช่น /d/daddy, /b/bee, /ก/ไก่, /จ/จาน



วัยก่อนเรียนระยะต้น(early preschool) : อายุ 3-4 ปี



มีความสนใจเสียงต่าง ๆ ของภาษา โดยเฉพาะ "คำคล้องจอง" (rhyme) ที่มีในเพลงบอกตัวอักษรได้ 10 ตัว โดยเฉพาะตัวอักษรที่อยู่ในชื่อของเด็ก



วัยก่อนเรียนระยะปลาย(late preschool) : อายุ 4-5 ปี



สามารถ แยกพยางค์ในคำที่ฟังได้ (ร้อยละ 50 เด็กสามารถบอกจำนวนพยางค์ในคำที่ฟังได้) wa แก้ว-น้ำ, water (เช่น แก้วน้ำ-ter เป็นคำที่มีสองพยางค์ เป็นต้น)เริ่มแยกหน่วยเสียงย่อย ในคำที่ฟังได้ (ร้อยละ 20 เด็กสามารถบอกจำนวนหน่วยเสียงย่อยในคำที่ฟังได้)



วัยอนุบาลตอนต้น(beginning kindergarten) : อายุ 5-5 ½ ปี



 สามารถเปรียบเทียบคำสองคำที่ฟังว่าคล้องจองกันหรือไม่(เช่นกา-ขา, at-bat)

 สามารถบอกคำที่มีเสียงคล้องจองกับคำที่ฟังได้

 สามารถบอกตัวอักษรได้เกือบทุกตัว

 

 

ขอขอบคุณ

Pregnancy& Baby

Vol.4 ISSUE 30 มกราคม 2555