วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เกล็น โดแมน คือใคร??

เกล็น โดแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ของเด็กเล็ก

เกล็น โดแมน คือใคร??

หลายๆ ท่านคงพอได้ยินหรือทราบข้อมูลเกี่ยวกับ เกล็น โดแมน กันมาบ้างแล้วนะคะ แต่คงมีหลายๆคนที่เคยได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังเกี่ยวกับโดแมนแต่ไม่รู้ว่าท่านคือใคร วันนี้จะพาเพื่อนสมาชิกมาทำความรู้จักกับ เกล็น โดแมน กันค่ะ
เกล็น โดแมน เป็นนักกายภาพบำบัดและผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาสมองของเด็ก และในปี 1955 ได้จัดตั้งสภาบันการสร้างความสำเร็จของศักยภาพของมนุษย์ขึ้นมา ( The Institute for the Achievement of Human Potential- IAHAP)สถาบัน นี้เป็นองกรณ์การกุศล ไม่แสวงหากำไร จัดเตรียมโปรแกรมการสอนและหนังสือที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กปกติ และเด็กที่สมองพิการ
เริ่มแรก IAHAP  นั้นจัดตั้งมาเพื่อพัฒนาความสามารถของเด็กที่สมองพิการผ่านโปรแกรมกระตุ้น ร่างกายและจิตใจอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ปี 1950-1960 เป็นต้นมา IAHAP ก็เริ่มมีหลักสูตรสำหรับเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการของเด็กปกติ โดยหลักการสอนต่างๆก็มีลักษณะคล้ายกันกับการสอนเด็กที่มีความพิการทางสมอง
หนังสือของ เกล็น โดแมน มีดังนี้คือ
How to Teach Your Baby to Read: The Gentle Revolution
How to Teach Your Baby Math: A Remarkable Guide to Inceasing Your Baby’s Intelligence
How to Multiply Your Baby’s Intelligence: More Gentle Revolution
How Smart Is Your Baby?: Develop and Nurture Your Newborn’s Full Potential (Gentle Revolution)
How to Teach Your Baby to Be Physically Superb

ปรัชญาการสอนของ IAHAP หลักๆแล้วมีดังนี้

เด็กทุกคนสามารถเป็นอัจริยะได้
โดแมนเชือว่า เด็กทุกคนเกิดมามีศักยภาพและความฉลาดสูงสุดกันทุกคน และมีมากยิ่งกว่า ลีโอนาโด ดา วินชี่ เคยนำมาใช้เสียอีก
การกระตุ้นคือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของเด็ก
โดแมนคิดว่า คนส่วนใหญ่คิดว่าการเจิรญเติบโตของสมองเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้วและเปลี่ยน เเปลงไม่ได้ แต่จริงๆแล้ว โดแมนได้ค้นพบว่าการเจริญเติบโตและพัฒนาของสมองเป็นกระบวนการที่มีพัฒนาไป แนวเดียว ซึ่งในที่นี้คือเป็นกระบวนการที่ถูกทำให้หยุดลงได้ (จากการกระทบกระเทือนและบาดเจ็บอย่างรุนแรง) เป็นกระบวนการที่ถูกทำให้ชลอตัวลงได้ (จากการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บปานกลาง) แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการพัฒนาและเติบโตของสมองนั้นก็สามารถเร่งได้เหมือนกัน
การเรียนการสอนควรเริ่มตั้งแต่เกิด
ช่วงขวบปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ นี่คือเวลาที่สมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และสมองเติบโตอย่างแท้จริงโดยการใช้งาน และถ้าเราใช้งานสมองอย่างเต็มที่ สมองก็จะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่เหมือนกัน และถ้าเราไม่ได้ใช้งานสมองเลย โดยเฉพาะในช่วง12 เดือนแรกของชีวิต เราจะสูญเสียเซลล์สมองและไม่มีพลังสมองเท่าที่ควรจะเป็น
ยิ่งเด็กอายุน้อย ก็จะยิ่งเรียนรู้ได้ง่าย
ก่อนที่จะอายุห้าขวบ เด็กจะสามารถซึมซับข้อมูลได้มหาศาล ถ้าเด็กที่อายุน้อยกว่าสี่ขวบ ก็จะรับข้อมูลง่ายกว่าเด็กห้าขวบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเด็กอายุไม่ถึงสามขวบจะยิ่งเรียนรู้ได้ผลดีและรับข้อมูลได้ดีกว่าเด็ก อายุสี่และห้าขวบ และช่วงเวลาที่มีมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือเด็กอายุก่อนสองขวบ
เด็กๆรักการเรียนรู้
เด็กๆชอบเรียนรู้มากกว่าการกินข้าว เด็กๆชอบเรียนรู้มากกว่าเล่น เพราะสำหรับเด็กเล็กๆแล้ว การเรียนรู้ก็คือการเล่นนั่นเอง
พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดของลูก
ไม่มีใครรู้จักและรักลูกเรามากเท่าเรา ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันดีหรือวันร้าย คนที่จะสอนและเป็นครูที่ดีที่สุดให้กับลูกของเราได้คือตัวเราเอง
การสอนและการเรียนรู้ควรเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
พ่อแม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความรู้สึกชื่นชมยินดีในการได้สอนลูกด้วยตน เอง และลูกเล็กๆของเราก็มีสิทธิ์ที่จะซาบซึ้งถึงการเรียนรู้โดยมีพ่อแม่เป็นคน สอนด้วยตนเอง
การสอนและการเรียนไม่ควรจะมีการทดสอบ
การสอนลูกก็เหมือนกับการให้ข้อมูลกับลูกแบบไม่หวังผลตอบแทน หากเราไปทดสอบมันก็เหมือนกับเราหวังสิ่งตอบแทนและขอให้ลูกให้ข้อมูลนั้นคืน กับเรา
หลักการสอนของโดแมน
หลักการสอนของโดแมนที่หลายคนคุ้นเคยกันคือการสอนคณิตศาสตร์และการอ่าน หนังสือให้กับเด็กเล็ก ซึ่งหลักการสอนที่โดแมนใช้สอนนั้นคือการเเฟรช ซึ่งก็คือการให้ลูกดูบัตรคำในอัตรความเร็วสูงเพื่อใช้ ประโยชน์จากความสามารถของสมองซีกขวาของเด็กเล็กในการรับข้อมูลมหาศาลในเวลา อันรวดเร็ว ตามหลักของโดแมน จะมีการเเฟรชบัตรคำกันวันละสามรอบ และเริ่มได้ตั้งแต่เด็กอายุได้สามเดือน
นอกจากนั้นก็มีการพัฒนาร่างกายของเด็กเล็ก กิจกรรมต่างๆก็จะมีตั้งแต่การช่วยให้เด็กคลานตั้งแต่เเรกเกิดไปจนถึงการ พัฒนาความสมดุลของร่างกาย การสอนให้เด็กรู้จักการโหนเเก่วงไกว รายละเอียดเพิ่มเติม จะอยู่ในหนังสือของโดแมนชื่อ How to Teach Your Baby to Be Physically Superb
นอกจากนั้นยังมีการสอนดนตรีตามหลักของโดแมนด้วย แต่ยังไม่มีหนังสือออกมาจำหน่าย หลักสูตรต่างๆก็มี จัดทำกันที่สถาบัน IAHAP ค่ะ
หวังว่าเพื่อนสมาชิกจะรู้จัก เกล็น โดแมน กันมากขึ้นนะคะ ^_^
ที่มา : Brillbaby

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การเลี้ยงดู และพฤติกรรมเด็กวัย 3 ขวบ

การเลี้ยงดู และพฤติกรรมเด็กวัย 3 ขวบ
บทความแรกจากหนังสือ สารานุกรมการเลี้ยงดูเด็ก
ผู้เขียน นายแพทย์ มิชิโอะ มัตสุดะ
แปลและเรียบเรียงโดย พรอนงค์ นิยมค้า
โดย สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน



เมื่อเด็กอายุ2-3ขวบ

จะ สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง ได้หลายอย่างแล้ว เลิกใช้ผ้าอ้อม และกินข้าวได้เอง จดจำคำพูดได้มากจนกระทั่งคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง และเป็นตัวของตัวเอง

เมื่อคนเราเริ่มเป็นตัวของตัวเอง ย่อมมีความต้องการอยู่กับพวกพ้อง เด็กจึงอยากเล่นกับเพื่อน แต่เมื่อให้เล่นกับเพื่อนจริงๆ เด็กวัยนี้ยังเล่นไม่ค่อยได้ เดี๋ยวเดียวก็ทะเลาะกัน

เด็กรู้จักพึ่งตนเองบ้างแล้ว แต่ยังไม่รู้จักการร่วมมือกับคนอื่น และถ้าขาดความร่วมมือก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้

ใน สังคมเมือง การอบอรมเด็กวัย2-3ขวบนี้ มีปัญหาอยู่ที่การหัดให้เด็กรู้จัก ร่วมมือปรองดองกับคนอื่น ครอบครัวสามารถสอนให้เด็ก รู้จักพึ่งคนเองได้
แต่เด็กไม่ค่อยยอมร่วมมือ แม้แต่พ่อกับแม่ เรามักเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า”วัยต่อต้าน”

วัย ต่อต้านนี้ มิได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน แต่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กที่ถูกเลี้ยง อยู่แต่ในครอบครัว เด็กที่ถูกเลี้ยงรวมหมู่ ในสถานเลี้ยงเด็กจะไม่มี”วัยต่อต้าน”

และเมื่อถึงวัย2-3ขวบนี้ เด็กที่อยู่รวมหมู่ จะเริ่มรู้จักเล่นกับเพื่อน ด้วยความสามารถสามัคคีปรองดองกัน

การ ที่เด็กมี”วัยต่อต้าน”นั้น เป็นเพราะถูกเลี้ยงดูแต่เฉพาะในครอบครัว ซึ่งไม่สามารถสอนให้เด็ก รู้จักความร่วมมือกับคนอื่น เด็กจึงเกิดอาการ”ต่อต้าน”

เด็กสมัยก่อนและเด็กในชนบท ซึ่งเติบโตขึ้นมาในครอบครัวนั้น มีโอกาสเรียนรู้ เรื่องความร่วมมือเมื่อเริ่มพึ่งตนเองได้ เพราะเด็กสามารถ ออกไปเล่นนอกบ้านได้อย่างอิสระ ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ โดยไม่ต้องกลัวอันตรายจากรถหรือโจรผู้ร้าย

เด็กสมัยก่อนรวมกลุ่มเล่น กันมากๆ มีตั้งแต่เด็กโตจนถึงเด็กรุ่นจิ๋ว เด็กโตยอมให้เด็กเล็กเล่นด้วย เพราะเล่นหลายๆคนสนุกดี ดังนั้นเด็กเล็กๆจึงเรียนรู้เรื่องการ ร่วมมือรอมชอมกันไปตามธรรมชาติ เพราะรู้ว่าถ้าเอาแต่ใจตนเอง
แล้วตัวก็จะเข้าร่วมวงเล่นกับคนอื่นไม่ได้

แต่เด็กในเมืองสมัยนี้ ถูกห้ามให้ออกนอกบ้าน เนื่องจากมีภยันตรายนานัปการ และถึงออกไปได้ ก็ไม่มีสนามกว้างให้เด็กได้เล่นร่วมกันเป็น
โดยไม่มีผู้ใหญ่ควบคุม

เด็กสมัยก่อนมีโอกาสเช่นนี้ แม้การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวจะเข้มงวด แต่เด็กก็ยังมีช่องสำหรับระบาย

เด็ก สมัยนี้ที่ขลุกอยู่แต่ในบ้าน อาศัยโทรทัศน์เป็นเพื่อน และไม่ค่อยได้พูดเล่นหัวกับเพื่อน มักจะพูดช้า บางคนอายุเกือบ3ขวบ แล้วพูดได้เพียงแค่คำว่า พ่อ..แม่..หม่ำ เท่านั้น ทำให้พ่อแม่เกิดความกลัวว่า ลูกของตนจะสติปัญญาด้อยกว่าเด็กคนอื่น

แต่ถ้าหูของเด็กฟังเสียงได้ยิน (เมื่อเรียกชื่อจากด้านหลัง แล้วเด็กหันกลับมาก็แปลว่าหูได้ยิน) และทำกิจกรรมอื่น ได้เหมือนเด็กปกติ
เด็ก จะพูดได้เองแน่นอน เด็กบางคนพูดได้ช้า ตามธรรมชาติของเขา เราไม่ควรใจร้อนนัก แต่ต้องพยายามหาโอกาส ให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่างอิสระบ่อยๆ

เด็ก สมัยก่อนและเด็กในชนบท ได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน เพื่อเผาผลาญพลังงานในกาย แต่เด็กในเมืองสมัยนี้ ต้องหาทางใช้พลังงานนั้นภายในบ้าน

บ้านก็ แคบกว่าเมื่อก่อน ถ้าอยู่ห้องแถวหรือทาวน์เฮาส์ ยิ่งไม่มีที่เล่นนอกบ้านเลย เด็กต้องการใช้พลังงาน จึงลากเก้าอี้มาต่อเล่นบ้าง ปีนป่ายบันไดบ้าง ปีนตู้ หรือชั้นหนังสือบ้าง

เมื่อเด็กเล่นผาดโผนเช่นนี้ ผู้ใหญ่ก็ว่า “นี่เดี๋ยวเก้าอี้พังหมด” “อย่ารื้อของเลอะเทอะซีลูก” “วิ่งเล่นในบ้านไม่ได้นะ”ฯลฯ เมื่อเด็กถูกห้าม และหมดโอกาสที่จะใช้พลังงานส่วนเกิน จึงหันมา “ต่อต้าน” พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน

การที่เด็กโกรธ แกจะร้องไห้อาละวาด หรือขว้างปาสิ่งของนั้น ไม่ใช่เพราะเด็กเกลียดแม่ แต่เพราะเด็กทนอยู่เฉยๆไม่ได้เท่านั้นเอง และมีเด็กบางคนที่ใช้ วิธีระบายอารมณ์ ด้วยการเล่นอวัยวะเพศ

เด็กวัย2ขวบขึ้นไป ควรมีโอกาสได้เล่นกับเพื่อนอย่างอิสระ ในที่กว้าง และมีเครื่องเล่นตามสมควร เด็กที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านร้าง ท่ามกลางคลื่นรถยนต์นั้น จะไม่มีโอกาสเรียนรู้วิธีอยู่ในสังคม ด้วยความรอมชอม

สังคมเมืองจึงจำเป็น ต้องมีสถานเลี้ยงเด็ก เพื่อให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนจำนวนมาก

สถาน เลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาลในเมือง มักจะคับแคบ เด็กถูกบังคับให้อยู่แต่ในห้อง เพราะผู้เลี้ยงเกรงว่า ถ้าเกิดอันตรายขึ้นแก่เด็กจะทำให้เสียชื่อเสียง

สนามเด็กเล่นส่วนใหญ่ มีเอาไว้ประดับโรงเรียนเท่านั้น เด็กไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งเล่น โลดโผนโจนทะยานกันเลย เมื่อถูกอัดให้อยู่แต่ในห้อง
พลังงานของเด็กจะถูกอัด อยู่ในร่างกายไม่มีโอกาสระบายออก

อย่าง ไรก็ตาม มิได้หมายความว่าการเลี้ยงดูเด็ก ในครอบครัวนั้น ด้อยคุณภาพกว่าการเลี้ยงรวมหมู่ เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ ถึงการอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องด้วย

นอกจากนั้นเด็กต้องรู้จักอดทน ต่อความเหงา เมื่ออยู่เพียงคนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่น มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็น คนที่ติดคนอื่นแจ จนขาดความเป็นตัวของตัวเอง

การเลี้ยงดูอบรมเด็กจึง ต้อง อาศัยทั้งครอบครัวและการอยู่รวมหมู่ แม้ว่าการเลี้ยงดูในครอบครัว จะไม่ช่วยให้เด็กรู้จักวิธีอยู่เป็นกลุ่ม แต่ก็สามารถสอนให้เด็กรู้จักเล่นคนเดียวได้

เมื่อเด็กอายุเกิน2ขวบ ควรสอนให้เด็กรู้จักเล่นคนเดียว เด็กวัยนี้ไม่ใช้มือกำดินสอเทียนแล้ว แต่จะใช้ปลายนิ้วจับเอาไว้ รู้จักต่อแท่งไม้สูงๆ รู้จักใช้เสียมเล็กๆขุดดิน แม่ควรคิดหาทางใช้ความสามารถ เหล่านี้ของเด็กและหัดให้เล่นคนเดียว

สำหรับเด็กผู้หญิงที่ชอบตุ๊กตา ก็ซื้อตุ๊กตาและชุดหม้อข้าวหม้อแกง หรือชุดเครื่องเรือนให้ และปล่อยให้เล่นคนเดียว ซึ่งมองเห็นแม่ได้

เมื่อ เด็กวาดมโนภาพเก่งขึ้นจะ หมกหมุ่นอยู่กับการเล่น จนไม่สนใจแม่ว่าจะอยู่ด้วยหรือไม่ แม้ว่าสนามที่บ้านจะเล็ก มีที่ว่างเพียงวาเดียว ก็น่าจะสร้างสนามทราย ไว้เป็นที่เล่นของเด็ก ที่จะขนของเล่นไปเล่นคนเดียวที่นั่น

สำหรับเด็กที่ชอบหนังสือ ก็ซื้อหนังสือให้ แกจะเปิดดูภาพในหนังสือเพลินทีเดียว

เด็ก ที่ชอบเขียนภาพ ควรหาสีเทียนและกระดาษแผ่นใหญ่ๆ ให้แกขีดเขียนไปพลาง พูดพร่ำพรรณาไปเรื่อย ควรให้กระดาษแผ่นใหญ่ๆ เพราะถ้ากระดาษไม่พอ เด็กจะขีดพื้นขีดผนังบ้าน

วันไหนอากาศร้อน การให้เล่นน้ำจะดีที่สุด เวลาซื้อสระน้ำพลาสติก ไม่ควรเลือกขนาดใหญ่และลึกเกินไป เพราะถ้าเด็กล้มในน้ำแล้วอาจลุกไม่ขึ้น นอกจากนี้ ยังเสียเวลาใส่น้ำเทน้ำอีกด้วย

ถ้าแม่ไม่กลัวว่า เสื้อผ้าเด็กจะเปื้อนเปรอเลอะเทอะ ก็หาดินเหนียวมาให้เล่น
เด็กจะชอบมากและเล่นอยู่ได้นาน

เด็กที่ชอบดนตรีน่าจะเปิดเพลงให้ฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิค ลูกทุ่ง ลูกกรุง หรือเพลงแจ๊ส เพลงรำวงก็เพลงเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยให้เด็ก เล่นอยู่แต่ในบ้านทั้งวันด้วย การเล่นต่างๆดังกล่าวข้างต้น

พัฒนาการ ทางร่างกาย ของเด็กวัยนี้ก้าวหน้าเร็วมาก วิ่งเร็วขึ้น และหกล้มน้อยลง เดินด้วยเท้าเปล่าได้ เด็กบางคนสามารถเดินบนท่อนไม้เดียว ที่วางพาดข้ามคูคลองได้ตั้งแต่อายุ3ขวบ และเล่นชิงช้างเองได้โดยไม่กลัว แต่เราต้องไม่ลืมว่า เด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน

เด็กวัยนี้ สนใจที่จะเล่นกับของเล่นใหญ่ๆ หรือใช้พลังงานในร่างกาย พ่อแม่จะมักซื้อจักรยานสามล้อให้ขี่เล่น แต่การเล่นนอกบ้าน ควรมีเพื่อนเล่นด้วยจึงจะสนุก

ถ้าเด็กยังไม่ไปสถานเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล เด็กควรมีโอกาสได้เล่นนอกบ้าน กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ในสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างน้อยวันละครั้ง ประมาณ3-4ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายของเด็กแข็งแรง

เด็กวัย2ขวบบางคน ไม่นอนกลางวันเลย โดยเฉพาะเด็กซน มักเล่นสนุกเพลิดเพลินจนลืมนอน เด็กแบบนี้สมควรบังคับให้นอน หรือไม่ต้องสังเกตเปรียบเทียบเอาว่า

ถ้า แกไม่นอนจะเกิดปัญหา สัปหงกตอนเย็นจนกินข้าวไม่ทันหรือไม่ แต่หน้าร้อน ควรให้เด็กนอนกลางวันบ้าง มิฉะนั้นจะเหนื่อยเกินไป และตัวเด็กเองก็คงอยากนอนด้วย

เด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ จะนอนรวดเดียวในตอนกลางคืน ตั้งแต่2ทุ่มครึ่ง ถึง7โมงเช้า แต่เด็กบางคนก็ชอบดึก นอน4ทุ่ม ตื่น9โมงเช้า

ถ้าพ่อแม่ไม่เดือดร้อน เรื่องเวลานอนของเด็ก ก็ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติ

การให้อาหารเด็ก อย่าคำนึงถึงแต่ด้านโภชนาการ ควรหัดให้เด็กพึ่งตนเอง
และยินดีตักกินเอง
การจับเด็กนั่งโต๊ะ และมีแม่คอยป้อนใส่ปากให้ทุกคำ หรือพาเดินเที่ยวเล่น
ไปพลางป้อนข้าวไปล่างนั้นไม่ควรทำ ความสุขในการกินคือความอยากกินด้วยตนเอง (ไม่ใช่ถูกบังคับ) และความสุขในการร่วมวงกับครอบครัว
ซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งชีวิตมนุษย์

พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า เลี้ยงให้เด็กมีความสุข ดีกว่าเลี้ยงให้เด็กอ้วน

เด็ก ที่เคยอ้วนตัวกลมสมัยก่อน เมื่อเติบโตถึงวัยนี้จะยืดสูงขึ้น แต่น้ำหนักตัวกลับไม่ค่อยเพิ่ม เด็กจึงดูผอมลง แม่อาจพยายามบังคับให้ลูกกินมากขึ้น ด้วยความเป็นห่วง

ถ้าแม่นั่ง ป้อนมือหนึ่งเป็นชั่วโมงทุกวัน เด็กคงกินได้มากกว่า เวลากินด้วยตนเองแน่นอน น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่แคลอรีส่วนที่เกินนี้ จะกลายเป็นไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง ในทางโภชนาการ

เด็กที่ไม่ค่อยกินข้าว ก็ให้กินนมช่วยได้ ถ้าคิดในทางกลับกันคือ กลัวว่าเด็กกินนมแล้วจะไม่กินข้าว จึงงดนมทั้งหมดให้กินแต่ข้าว กลับมีผลลบในทางโภชนาการ

เด็กอายุ2-3ขวบ ควรดื่มนมวันละ2-3ขวด และให้กินขนมบ้างพอควร แต่ถ้าเด็กไม่อยากกินขนม ก็ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้กิน

มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ยอมกินผัก เมื่อพยายามหาทางต่างๆแล้ว แต่เด็กยังไม่ยอมกิน ก็ต้องให้กินผลไม้แทนไปพลางก่อน

เด็ก อายุ2-3ขวบนี้ สามารถบอกฉี่ได้แล้ว แต่ยังมีหลายครั้งที่เด็กเล่นเพลิน จนบอกไม่ทัน จึงทำให้เลอะเทอะ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเด็กไม่รู้สึกตัว แต่เป็นเพราะเด็กยังถอดกางเกงไม่เก่งจึงไม่ทัน

ดังนั้นแทนที่แม่จะดุว่าเด็ก “รีบบอกเร็วๆหน่อยซิจ๊ะ” ควรสอนวิธีถอดเสื้อผ้าให้ลุกดีกว่า

เด็ก วัยนี้ถ้าเราถอดกระดุมให้ก่อนอาบน้ำ เด็กจะถอดเสื้อผ้าเองได้ หรือแม้แต่กระดุม ถ้าเราค่อยๆสอนให้เด็ก หัดถอดทีละเม็ดๆแกก็ทำได้ ใส่รองเท้าเองได้

ก่อนนอนกลางคืน หากแม่พาไปฉี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน มีเด็กจำนวนไม่น้อย ที่อยู่ได้ถึงเช้าโดยไม่ฉี่รดที่นอน นอกจากเวลาอากาศหนาว หรือดื่มนมก่อนนอนเด็กจะทนไม่ไหว

เด็กผู้ชายฉี่รดที่นอนบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง สำหรับเด็กวัย2-3ขวบนี้ ประมาณ1ใน10ที่ยังฉี่รดที่นอน

เด็ก วัย2-3ขวบเล่นกับเพื่อนมากขึ้น จึงติดโรคต่างๆมามากขึ้น เช่น หัดเยอรมัน อีสุกอีใส คางทูม ฯลฯ เมื่อเด็กมีไข้สูงกระทันหันและเกิดอาการชัก ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัสของไข้หวัด

อาการอาเจียนเป็นระยะ เนื่องจากเหนื่อยเกินไป ก็เกิดขึ้นบ่อยในวัยนี้ เด็กที่เคยเป็นผื่นแพ้ง่ายในวัยทารก และมีเสียงครืดคราดอยู่ในอกเสมอ จะถูกหาว่าเป็น “โรคหืดในเด็ก”ได้ง่าย ขอให้พ่อแม่ทำใจให้มั่นคงเอาไว้ และพยายามช่วยให้ลูก รอดพ้นจากคำกล่าวหานี้ ด้วยการไม่ต้องพาไปฉีดยาประจำ



พฤติกรรมเด็กวัย 3-6 ขวบ..อาการกรี๊ด
บทความวิชาการ..โดย พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์


บ้าน ไหนมีเด็ก คนในบ้านนั้นก็ต้องทำใจต่อเสียงร้องไห้ โวยวาย แต่ถ้าเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก นับวันมีบ่อย ๆ ขึ้น และเกิดวันละหลายครั้ง ก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สาเหตุที่เด็กกรี๊ด
1. เป็นการแสดงออกถึงความโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด อาจจะเป็นภาวะปกติ
ใน ช่วงที่เด็กยังพูดได้ไม่เก่ง (วัย 1 – 3 ปี) ที่เด็กยังแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่พอใจออกมา เมื่อเติบโตขึ้น พฤติกรรมการกรี๊ดร้องจะลดลงจนหายไปหมด แต่เด็กจะพูดออกมาถึงความต้องการหรือคับข้องใจเพิ่มขึ้น
2. เป็นการเรียนรู้ถึงอิทธิพลจากการกรี๊ด ซึ่งทำให้เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
เพราะทีผู้คอยเสริมหรือคอยให้ท้าย พร้อมที่จะยินยอมทำตามเด็กทุกอย่าง
3. เลียนแบบพฤติกรรมชอบกรี๊ดจากผู้ใหญ่
4. มีคนยั่วแหย่ให้เด็กโกรธบ่อย ๆ
5. การเลี้ยงดูที่ตามใจมาก ส่งเสริมให้เด็กเอาแต่ใจตัวเอง
ไม่สอนให้หัดควบคุมอารมณ์ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ
6. เป็นการเรียกร้องความสนใจ
7. ขาดทักษะในการช่วยเหลือตนเอง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ดี

วิธีการแก้ไข
1. ให้ความสำคัญต่อเด็ก เมื่อขณะที่ยังไม่กรี๊ด หรือแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนกรี๊ดได้กรี๊ดดีอยู่ตลอดเวลา แต่พบได้บ่อยในเด็กที่เวลาประพฤติกรรมตัวดี ๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ หรือชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีและเหมาะสมแล้ว แต่พอเด็กกรี๊ดออกมาเท่านั้น ผู้ใหญ่จะรีบวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบหรือให้ความสำคัญ หรือเข้าไปดุ ว่า ตี สั่งสอน ฯลฯ แต่ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญ
ต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเด็กเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจ
2. ในกรณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ทุกอย่างต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวาย เด็กลักษณะนี้
มักจะถูกเลี้ยงดูโดยการตามใจเด็กมากเกินไป จนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด โดยที่พ่อแม่
และพี่เลี้ยงจะพยายามทำทุกอย่างตามที่เด็กต้องการ เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้ และเด็กเอง
ก็เรียนรู้ถึงอิทธิพลของการโวยวายกรี๊ดร้องว่าจะใช้เป็น “ไม้ตาย” เวลาไม่ได้ดั่งใจ เช่นกัน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเลี้ยงดูเด็กใหม่ อย่าคิดว่าการทำทุกอย่าง
เพื่อป้องกันมิให้เด็กร้องไห้นั้น จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมีคนรักคนชอบมากมาย
เด็กเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์ ลดการตามใจ ฝึกให้ช่วยตนเองเพิ่มขึ้น
สิ่งใดที่เล่นไม่ได้ก็อย่าให้เล่นถึงแม้ว่าเด็กจะอาละวาดขนาดไหน ก็อย่าสนใจ
แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น
3. ลดการยั่วแหย่เด็ก หรือทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น
4. ในกรณีที่มีผู้ใหญ่ที่ชอบกรี๊ด หรือโวยวายเป็นต้นแบบของวิธีที่จะเอาแต่ใจตัวเอง
จำเป็นต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อลดแบบอย่าง ถ้าเป็นไปได้
กรณีที่เปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ต้องแยกเด็กให้ห่างออกมา
5. ฝึกให้เด็กควบคุมอารมณ์ อารมณ์รัก ชอบ ดีใจ ไม่พอใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ
เป็น อารมณ์ที่พบได้ในเด็กวัย 3 – 5 ปี หน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนให้เด็กรู้ทันว่าตนเองรู้สุกอย่างไร และฝึกให้หัดควบคุมอารมณ์ หรือฝึกวิธีระบายอารมณ์ ซึ่งมีหลายวิธีตั้งแต่การพูดคุย การทำสิ่งทดแทน เช่นโกรธจัด ๆ ก็ไปเตะฟุตบอล หรือว่ายน้ำ หรือวาดรูปเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น
6. เพิ่มทักษะในการเล่น เช่น การว่ายน้ำ เล่นบอล ถีบจักรยาน วาดรูป เล่นตุ๊กตา เล่นขายของ ฯลฯ เพราะการเล่นในเด็กมีความหมายเท่ากับการทำงานของผู้ใหญ่ ในชีวิตจริงเราพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโรธแค้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่การเล่นและการทำกิจกรรมจะทำให้เด็กผ่านภาวะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ได้มีเวลาไตร่ตรอง และระบายความรู้สึกผ่านการเล่นนี้เอง
7. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ปัญหาของเด็ก 3 – 5 ปี มักหนีไม่พ้นปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ทำน้ำหก ติดกระดุมเขย่ง หารองเท้าไม่พบ ฯลฯ
การฝึกหัดให้เด็กรู้จักแกปัญหาเหล่านี้ จะส่งผลทำให้เด็กมีความชำนาญที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ผิดหวังได้เก่งกว่าเด็ก ที่ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งก็คงทำได้แค่ส่งเสียงกรี๊ด ๆ
รอให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลืออีกตามเคย



พฤติกรรมของเด็กวัย 3-5 ปี
(พ.ญ. แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ)

ชอบตั้งคำถาม เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางภาษาค่อนข้างมาก สามารถเล่าเรื่องเป็นประโยคยาวๆได้ ร้องเพลงง่ายๆได้ ทำให้มักชอบตั้งคำถาม ช่างคิด ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ
เริ่มช่วยเหลือตนเองได้ เช่น รับประทานอาหาร แต่งตัว ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยตนเอง และยังชอบช่วยผู้ใหญ่ทำงานเล็กๆน้อยๆ เราควรส่งเสริมให้เด็กเกิดความภูมิใจด้วยการชื่นชมในสิ่งที่เด็กทำ และให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆด้วยตนเอง
เล่นกับเพื่อน มักจะเล่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน 2-3 คน ทำให้ได้เรียนรู้เงื่อนไขทางสังคมใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน เริ่มบอกความแตกต่างระหว่างเพศได้ Piaget นักจิตวิทยากลุ่มที่เน้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) กล่าวว่า เด็ก 3-5 ขวบ เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมจากเพื่อนในโรงเรียนอนุบาลหรือเพื่อนบ้านวัยเดียว กัน แต่เด็กวัยนี้ยังเข้าใจถึงความถูกต้องและความผิดไม่ลึกซึ้งนัก
มีจินตนาการ เด็กวัยนี้ชอบของเล่นที่ใช้ความคิด หากได้เล่นจินตนาการ หรือแสดงบทบาทสมมุติจะเล่นได้เรื่อยๆ เป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมเพราะช่วยให้เด็กได้มีจินตนาการ และเป็นการปลดปล่อย บางครั้งเวลาให้เล่าเรื่องอาจเป็นเรื่องจริงปนเรื่องสมมุติ พ่อแม่และผู้ปกครองควรต้องระวังไม่ให้กลายเป็นติดนิสัยโกหก โดยไม่ควรใช้วิธีดุว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่อาจใช้วิธีการทำให้เด็กรู้ว่ากำลังพูดเรื่องโกหก เช่น
คุณแม่ – ใครทำน้ำหก
หนูเล็ก- พี่แดงทำค่ะ
คุณแม่ – พี่แดงไปโรงเรียนแล้ว จ๊ะ หนูไปเอาผ้ามาเช็ด วันหลังต้องอย่าวิ่งเวลาถือแก้วน้ำนะจ๊ะลูก

เจ้า อารมณ์ เด็กในวัยนี้มักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย เช่น โมโห ไม่พอใจมักแสดงอาการกระทืบเท้า อิจฉาอะไรโดยไม่มีสาเหตุ และกลัวอะไรอย่างสุดขีด อาจเกิดจากสัญชาตญาณหรือระดับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้รู้ว่าสิ่งใดมีอันตราย
ในด้านพฤติกรรมนั้นผู้ใหญ่ควรเข้าใจว่าเด็ก ในวัยนี้มีจินตนาการสูง และกำลังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้สังคมที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน ทำให้การแสดงออกของพฤติกรรมอาจไม่เหมาะสม แต่จะต้องแยกตัวเด็กออกจากพฤติกรรมของเขา เช่น จะต้องบอกว่า “ครูรักหนู แต่ครูไม่ชอบในสิ่งที่หนูทำ หนูทำแจกันแตกเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันทำให้เกิดอันตราย” แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ คราวหน้าหนูควรทำอย่างนี้ และที่สำคัญครูควรต้องระวัง ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ควรให้เด็กคิดถึงสิ่งที่เขาควรทำได้ สำหรับวัยนี้และจะต้องชมเชยเมื่อเด็กทำได้ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเอง รวมทั้งเรื่องความคิด การตัดสินใจ การสร้างทัศนคติที่ดี ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีความสามารถที่จะทำได้ (Erik Homberger Erikson)



รวมแบบฝึกหัดสำหรับเด็กอนุบาล

รวมแบบฝึกหัดสำหรับเด็กอนุบาล

เกมส์ ก.ไก่
http://www.ziddu.com/download/11804864/korkai.rar.htm
ฝึกอ่าน ก.ไก่ นับเลข ระบายสี และเพลงเด็กเป็นคาราโอเกะ

ระบายสี Alphabet http://www.ziddu.com/download/11831315/alphabet.rar.html

book color และหัดเขียนตัวเลข
http://www.ziddu.com/download/11831383/bookcolor.rar.html

แบบฝึกหัดโยงเส้นจับคู่
http://www.ziddu.com/download/11834005/Jubkoo.rar.html
จับคู่ภาพเหมือน โยงภาพกับคำศัพท์ จับคู่ ก.ไก่ โหลดมาแล้ว print ได้เลย

ภาพ การ์ตูนแสดงขั้นตอนการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับเด็ก เช่น ไม่รับของคนแปลกหน้า, ตากฝนมากลับบ้านต้องทำอย่างไร, วิธีปฎิบัติเวลาเกิดไฟไหม้, เมื่อหกล้มทำอย่างไร ฯลฯ สอนด้วยการ์ตูน เด็กจะเข้าใจมากกว่าพูดด้วยปากเปล่ามาก ๆ
http://www.ziddu.com/download/11834364/situation.rar.html

แบบฝึกหัดเกี่ยวกับรูปทรง
http://www.ziddu.com/download/11834526/shape.rar.html

แบบฝึกหัดคัดลายมือภาษาไทย
http://www.ziddu.com/download/11915438/1.pdf.html

เตรียมความพร้อมแรกเรียนสำหรับเด็กอนุบาล
http://www.ziddu.com/download/11915439/3.pdf.html

แบบทดสอบความพร้อมความเข้าใจ เตรียมอนุบาล
http://www.ziddu.com/download/11915440/4.pdf.html

แบบฝึกหัดลีลามือ 1
http://www.ziddu.com/download/11907436/drawing1.rar.html

แบบฝึกหัดลีลามือ 2
http://www.ziddu.com/download/11907434/drawing2.rar.html

แบบฝึกหัดลากเส้นไปตามตัวเลข
http://www.ziddu.com/download/11907435/drawing_by_number.rar.html

แบบฝึกหัดคัดลายมือ 1-10 , A-Z
http://www.ziddu.com/download/11907488/train.rar.html

แบบฝึกหัดบวกเลขเด็กอนุบาล รูปภาพน่ารักมาก ๆ ทำเสร็จก็ระบายสีต่อ
http://www.ziddu.com/download/11907800/plus.rar.html

นิทานมีเสียง เป็นนิทานภาษาอังกฤษ เรื่อง Kinds of Weather
http://www.ziddu.com/download/11915442/Kinds_of_Weather.pdf.html

นิทานมีเสียง เป็นนิทานภาษาอังกฤษ เรื่อง Above Me
http://www.ziddu.com/download/11915441/Above_Me.pdf.html

Fruit Crossword for kid

ไฟล์เป็น pdf Print
Download

http://www.ziddu.com/download/15676345/FruitsCrossword.pdf.html

ขอบคุณที่มาของไฟล์ จาก English-4kids.com

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การพัฒนาสมองของเด็กปฐมวัย (3-6ขวบ) ตามแนวทาง BBL

การพัฒนาสมองของเด็กปฐมวัย (3-6ขวบ) ตามแนวทาง BBL


การพัฒนาสมองของเด็กปฐมวัย (3-6ขวบ)ตามแนวทาง BBL

การเรียนรู้ที่ใช้สมอง เป็นพื้นฐาน หรือ BBL (Brain-Based Learning) คือการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย เป็นการนำองค์ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์

            ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือ  แรกเกิดถึง 7 ปี  หากมาส่งเสริมหลังจากวัยนี้แล้วถือได้ว่าสายเสียแล้ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้จะพัฒนาไปถึง 80 % ของผู้ใหญ่  ครูควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก  ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้อย่างมีความสุข  จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม  ดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสม  เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้อย่างเต็มความสามารถ สมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ  สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ต่างๆ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมายซึ่งจะ ทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น  สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การเรียนรู้ที่ถือสมอง เป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning) เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1.)การทำงานของสมอง  2.)การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก  3.)กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เนื่องจากสมองเรียนรู้ตลอดเวลา  ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง  ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบร่วมมือและผู้เรียนได้เรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้เด็กไทยได้พัฒนาศักยภาพสมองของ เขาอย่างเต็มความสามารถ

การทำงานของสมอง

สมองเริ่มมีการพัฒนา ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  เมื่อคลอดออกมาจะมีเซลล์สมองเกือบทั้งหมดแล้วเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่  สมองยังคงเติบโตไปได้อีกมากในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี เด็กวัยนี้จะมีขนาดสมองประมาณ 80 % ของผู้ใหญ่  หลังจากวัยนี้ไปแล้วจะไม่มีการเพิ่มเซลล์สมองอีกแต่จะเป็นการพัฒนาของโครง ข่ายเส้นใยประสาท  ในวัย 10 ปีเป็นต้นไปสมองจะเริ่มเข้าสู่วัยถดถอยอย่างช้าๆจะไม่มีการสร้างเซลล์สมองมา ทดแทนใหม่อีก  ปฐมวัยจึงเป็นวัยที่มีความสำคัญยิ่งของมนุษย์

สมองประกอบด้วย เซลล์สมองจำนวนกว่า 1 แสนล้านเซลล์ ลักษณะของเซลล์สมองแต่ละเซลล์จะมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นเส้นใยสมองแตกแขนงออก มามากมายเป็นพัน ๆ เส้นใยและเชื่อมโยงต่อกับเซลล์สมองอื่น ๆ  เส้นใยสมองเหล่านี้เรียกว่า แอกซอน (Axon)และเดนไดรท์ (Dendrite)จุดเชื่อมต่อระหว่างแอกซอนและเดนไดรท์ เรียกว่า ซีนแนปส์ (Synapses)เส้นใยสมองแอกซอนทำหน้าที่ส่งสัญญาณกระแสประสาทไปยังเซลล์สมองที่ อยู่ถัดไป  ซึ่งเซลล์สมองบางตัวอาจมีเส้นใยสมองแอกซอนสั้นเพื่อติดต่อกับเซลล์สมองตัว ถัดไปที่อยู่ชิดกัน  แต่บางตัวก็มีเส้นใยสมองแอกซอนยาวเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่ อยู่ห่างออกไป  ส่วนเส้นใยสมองเดนไดรท์เป็นเส้นใยสมองที่ยื่นออกไป อีกทางหนึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณกระแสประสาทจากเซลล์สมองข้างเคียงเป็นส่วนที่ เชื่อมติดต่อกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ เซลล์สมองและเส้นใยสมองเหล่านี้จะมีจุดเชื่อมต่อหรือซีนแนปส์(Synapses) เชื่อมโยงติดต่อถึงกันเปรียบเสมือนกับการเชื่อมโยงติดต่อกันของสายโทรศัพท์ ตามเมืองต่าง ๆ นั้นเอง

         จากการทำงานของเซลล์สมองในส่วนต่าง ๆ  ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบตัวและสร้างความรู้ขึ้นมาได้นั้นคือ  เกิดการคิด  กระบวนการคิด  และความคิดขึ้นในสมอง  หลังเกิดความคิดก็มีการคิดค้นและมีผลผลิตเกิดขึ้น  ยิ่งถ้าเด็กมีการใช้สมองเพื่อการเรียนรู้และการคิดมากเท่าไร  ก็จะทำให้เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองใหม่ ๆ แตกแขนงเชื่อมติดต่อกันมากยิ่งขึ้น  ทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยไปเพิ่มขนาดของเซลล์สมองจำนวนเส้นใยสมองและจุด เชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง  สมองของเด็กพัฒนาจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะความคล่องตัวของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะพัฒนาภายในช่วงเวลา  10 ปีแรก  ดังนั้นถ้าหากเด็กได้ฝึกฝนการใช้มือ  การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของมือจะทำให้สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและจุด เชื่อมต่อและสร้างไขมันล้อมรอบเส้นในสมอง  และเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้มาก ทำให้เกิดทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก
            สมองมีหลายส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานประสานกัน  เช่นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ  และรับรู้การเคลื่อนไหว สี รูปร่างเป็นต้น  หลายส่วนทำหน้าที่ประสานกันเพื่อรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง  เช่น  การมองเห็นลูกเทนนิสลอยเข้ามา สมองส่วนที่รับรู้การเคลื่อนไหว สี  และรูปร่าง  สมองจะอยู่ในตำแหน่งแยกห่างจากกันในสมองแต่สมองทำงานร่วมกันเพื่อให้เรามอง เห็นภาพได้  จากนั้นสมองหลายส่วนทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงให้เราเรียนรู้และคิดว่าคือ อะไร  เป็นอย่างไร  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สมองสามารถเรียนรู้กับสถานการณ์หลาย ๆ แบบพร้อม ๆ กันโดยการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เช่น สมองสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์เชื่อมโยง กันได้  การทำเช่นนี้ได้เป็นเพราะระบบการทำงานของสมองที่ซับซ้อน  มีหลายชั้นหลายระดับ  และทำงานเชื่อมโยงกันเนื่องจากมีเครือข่ายในสมองเชื่อมโยงเซลล์สมองถึงกัน หมด  เครือข่ายเส้นใยสมองเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นแล้ว  ดูเหมือนว่าจะอยู่ไปอีกนานไม่มีสิ้นสุด  ช่วยให้สมองสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ทั้งในส่วนย่อยและส่วนรวม  สามารถคิดค้นหาความหมาย  คิดหาคำตอบให้กับคำถามต่าง ๆ ของการเรียนรู้และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ออกมาได้อีกด้วย

         นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่า  ความเครียดขัดขวางการคิดและการเรียนรู้  เด็กที่เกิดความเครียดจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่นเด็กที่ได้รับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทำให้เกิดความหวาดกลัว  เครียด  บรรยากาศการเรียนรู้ไม่มีความสุข  คับข้องใจ  ครูอารมณ์เสีย  ครูอารมณ์ไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวดี  เดี๋ยวร้าย  ครูดุ  ขณะที่เด็กเกิดความเครียด  สารเคมีทั้งร่างกายปล่อยออกมาจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง  ทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด  เรียกว่า  คอร์ติโซล (Cortisol)  จะทำลายสมองโดยเฉพาะสมองส่วนคอร์เท็กซ์หรือพื้นผิวสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยว กับความคิด  ความฉลาด  กับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสหรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และความจำ  ซึ่งความเครียดทำให้สมองส่วนนี้เล็กลง  เด็กที่ได้รับความเครียดอยู่ตลอดเวลา  หรือพบความเครียดที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้  ส่งผลต่อการขาดความสามารถในการเรียนรู้  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  เพราะเด็กมีสมองพร้อมที่จะเรียนได้  แต่ถูกทำลายเพราะความเครียดทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ได้หายไปตลอดชีวิต

การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก

         การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมองจำเป็นต้องคำนึงถึง กระบวนการทำงานของสมองและการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ของสมองซีกซ้ายและสมอง ซีกขวา  สมองซีกซ้ายควบคุมความมีเหตุผลเป็นการเรียนด้านภาษา จำนวนตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิดวิเคราะห์  ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นด้านศิลปะ  จินตนาการ  ดนตรี ระยะ/มิติ หากครูสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เด็กได้ใช้ความคิดโดยผสมผสานความ สามารถของการใช้สมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกันให้สมองทั้งสองซีกเสริมส่งซึ่งกัน และกัน  ผู้เรียนจะสามารถสร้างผลงานได้ดีเยี่ยม เป็นผลงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถแสดงความมีเหตุผลผสมผสานในผล งานชิ้นเดียวกัน

การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning: BBL)



การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
(Brain based Learning: BBL)
               Brain Based Learning คือ การใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสมองเป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเชื่อว่าโอกาสทองของการเรียนรู้อยู่ระหว่างแรกเกิด – 10 ปี
               Regate และ Geoffrey Caine นักวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับสมองเป็นหลัก ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน 12 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. สมองเป็นกระบวนการคู่ขนาน
            สมองเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุดในร่างกายของคนเรา เพราะการที่มนุษย์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้นั้นจะต้องอาศัยสมองและระบบประสาทเป็นพื้นฐานของ การรับรู้ รับความรู้สึกจากประสาทสัมผัส ได้แก่ ตาทำให้เห็น หูทำให้ได้ยิน จมูกทำให้ได้กลิ่น ลิ้นทำให้ได้รับรส และผิวกายทำให้เกิดกการสัมผัส

แนวการจัดกิจกรรมการสอน
            ครูจำเป็นต้องใช้กลวิธีและเทคนิคที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นสมองของนักเรียน ไม่มีวิธีหรือเทคนิคของใครสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นการสอนที่ดีต้องสอดคล้องกับการที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายของการศึกษานั้น ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ของบุคคลนั้นมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และความสามารถพื้นฐานของบุคคลนั้น ๆ หรือ Style การเรียนรู้มีหลายรูปแบบ โดยพบว่าห้องเรียนหนึ่ง ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้อยู่ 4 รูปแบบ คือ นักทฤษฎี นักวิเคราะห์ นักปฏิบัติ และนักกิจกรรม ดังนั้น ครูจึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมและเอื้อต่อผู้เรียนทั้ง 4 แบบอย่างเสมอภาค
กัน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนุกสนานเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ตนถนัด รวมทั้งยังมีโอกาสพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ ที่ตนเองไม่ถนัดด้วยวิธีการหลากหลายอีกด้วย โดยอาจเริ่มจากรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้ววางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนรวมทั้งสร้างโอกาสให้เขาได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

2. สมองกับการเรียนรู้
            สมองไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการ
พัฒนาของอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย ซึ่งจะรวมถึงการคิด การเรียนรู้ การจำ และพฤติกรรมของมนุษย์ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนควรจะมีความรู้เรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานและการพัฒนาของสมอง เพื่อจะได้วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่กระตุ้นให้สมองคิดและทำงานแบบท้าทาย ยั่วยุมากที่สุด ผู้เรียนได้คิดและแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ในทุกด้าน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดและเรียนรู้เต็มตามศักยภาพ เป็นรากฐานไปสู่การเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุขในการดำรงชีวิตและเมื่อเติบโตขึ้นจะได้เป็นเยาวชนพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไป

แนวการจัดการเรียนการสอน
วิธีการเตรียมความพร้อมทางสมอง
1. การดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์ วันละ 6 – 8 แก้ว เพราะถ้าร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะทำให้เซลล์สมองทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งถูกต้องตามหลักโภชนาการ เพราะอาหารจะทำให้เซลล์ประสาท / เซลล์สมองเจริญเติบโต ส่งผลให้ความจำดีและเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
3. การหายใจ ควรฝึกหายใจให้ลึก ๆ ซ้ำ ๆ และมีจังหวะที่แน่นอน เพราะสมองต้องการออกซิเจน และออกซิเจนช่วยให้กระบวนการคิดดี ซึ่งถ้ามีการหายใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เกิดสมาธิ สมองปลอดโปร่ง ลดสภาพการหลง ๆ ลืม ๆ และสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้
4. การฟังเพลง / ดนตรี ควรหาโอกาสฟังเพลง / ดนตรี จะกระตุ้นให้เกิดการรับรู้และกระตุ้นการทำงานของสมองทั้งสองซีกให้สอดคล้องกันทั้งระบบ การฟังเพลงที่มีคุณภาพทำให้สมองผลิต Alpha Waves และ Theta Waves ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและเกิดความคิดสร้างสรรค์ชั้นสูง
5. การคลายความเครียด ความเครียดเป็นอุปสรรค์ต่อการเรียนรู้ ดังนั้น ควรหาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย จัดลำดับความสำคัญของงาน การหัวเราะ / ยิ้ม ทำให้จิตใจเบิกบาน ไม่เครียดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า
6. การบริหารสมอง การบริหารสมองเป็นระบบการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่จะเร้าให้ สมองทำงานอย่างดี เป็นการเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกายกับการทำงานของสมอง
3. การเรียนรู้มีมาแต่กำเนิด
ในการเรียนรู้ของบุคคลเรานั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีชีวิต และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองหรือเป็นการเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง การเรียนรู้กับการเรียนการสอน การที่จะทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นผู้ที่เก่ง ดี และมีความสุขได้นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่ง ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน เพราะหัวใจของการเรียนการสอนคือการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งถ้าหากมีการจัดการเรียนการสอนที่ดี ย่อมก่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีได้
ลักษณะการเรียนการสอนที่ดี มีดังต่อไปนี้
1. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. เน้นความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
3. ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน
4. ต้องเป็นที่น่าสนใจ ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย
5. ต้องดำเนินไปด้วยความเมตตากรุณาต่อผู้เรียน
6. ต้องท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้
7. ต้องตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
8. ต้องสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยการปฏิบัติจริง
9. ต้องสนับสนุนส่งเสริมการเรียนรู้
10. ต้องมีจุดมุ่งหมายของการสอน
11. ต้องสามารถเข้าใจผู้เรียน
12. ต้องคำนึงถึงภูมิหลังของผู้เรียน
13. ต้องไม่ยึดวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้น
14. การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร (Dynamic) คือ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านการจัดกิจกรรม การสร้างบรรยากาศ รูปแบบ เนื้อหาสาระ เทคนิควิธี ฯลฯ
15. ต้องสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป
16. ต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ

            ดังนั้น การเรียนรู้ของผู้เรียนจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าผู้วางแผน การเรียนรู้ได้ คำนึงถึงลักษณะการเรียนรู้ที่ดี วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ หลักการสอนที่มีประสิทธิภาพและลักษณะการเรียนการสอนที่ดี ดังที่นำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป

4. รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล
          ผู้เรียนในห้องเรียนหนึ่ง ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้ตามรูปแบบของตน ครูจึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกรูปแบบอย่างเสมอภาคกัน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนุกสนานและเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบที่ตนถนัด รวมทั้งยังมีโอกาสพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ ที่ตนไม่ถนัดอีกด้วย
แนวการจัดการเรียนการสอน
            การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้มิใช่เกิดจากการสั่ง การสอน การถ่ายทอดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ มีการรับรู้ คือ การแสวงหาและรับข้อมูล ข้อความรู้จากประสาทสัมผัสต่าง ๆ มีการบูรณาการความรู้ เป็นการนำข้อมูลข่าวสาร ความรู้ใหม่ที่ได้รับมาผสมผสานเชื่อมโยงกับประสบการณ์ หรือโครงสร้างขอความรู้เดิม เพื่อขยายหรือสร้างความรู้ใหม่ มีการประยุกต์ใช้ คือการนำความรู้มาใช้ในการดำรงชีวิต หรือ การแก้ปัญหาในการทำงาน ดังนั้น การจัดการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้น จะต้องจัดให้ครบ องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ การรับรู้ การบูรณาการความรู้ และการประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิต
5. ความสนใจมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
            ความสามารถพิเศษของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 8 ด้านด้วยกัน มนุษย์ย่อมมีความ แตกต่างระหว่างบุคคล แต่ละคนมักจะมีความเก่งไม่เหมือนกัน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็น ผู้วางแผนในการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากรู้จักตนเอง รู้จุดเด่น จุดด้อย ค้นหาวิธีการพัฒนาความเก่งให้แก่ตนเองที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีความสุขและเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย
แนวการจัดการเรียนการสอน
            ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูล และรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล คิดและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความถนัด/ความสามารถหรือความเก่งให้เก่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนาด้านอื่น ๆ อีกให้มีความเก่งหลาย ๆ ด้าน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงความสามารถหรือความเก่งสู่
สาธารณชน โดยอาจจัดเวทีให้แสดงอย่างอิสระ
6. สมองมีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้
            สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวา สมองทั้งสองด้านมีความสัมพันธ์กัน สมองมีหน้าที่ ควบคุมการรับรู้ การคิด การเรียนรู้และการจำ ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และควบคุมความรู้สึกและพฤติกรรม จะเห็นได้ว่า สมองไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการพัฒนาของอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย ซึ่งรวมถึงความคิด การเรียนรู้ การจำ และพฤติกรรมของมนุษย์
แนวการจัดการเรียนการสอน
            การจัดการเรียนการสอนที่ดี ครูต้องมีความเข้าใจทักษะที่เกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีก สมองซีกซ้ายสั่งการทำงานเกี่ยวกับ คำ ภาษา ตรรก ตัวเลข/จำนวน ลำดับ ระบบ การคิดวิเคราะห์ และการแสดงออกเป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเกี่ยวกับ จังหวะ ดนตรี ศิลปะ จินตนาการ การสร้างภาพ การรับรู้ การเห็นภาพรวม ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
7. การเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
            สมองจะซึมซับข้อมูลที่บุคคลมีความสนในเรื่องนั้นอยู่แล้ว เชื่อมโยงกับข้อมูล ความรู้ใหม่ ประสานข้อมูลความรู้เข้าด้วยกัน ซึ่งหมายความว่า การเรียนรู้ของมนุษย์จะมี ประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมของผู้เรียนกับการจัด ประสบการณ์ในการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง
แนวการจัดการเรียนการสอน
            ควรจัดเนื้อหาที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกมิติของชีวิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะหลากหลายร่วมกันในลักษณะ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อธรรมชาติ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ
8.การเรียนรู้เกิดขึ้นได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทั้งในแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ตั้งใจ
            การเรียนรู้ของคนส่วนใหญ่มักเกิดการเรียนรู้ขึ้นได้จากสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ในสถานการณ์จริง เช่น ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่โดยไม่ได้คิดในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อน โดยอาศัยประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคลในการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
แนวการจัดกิจกรรมการสอน
            ในกระบวนการเรียนรู้นั้น ขณะที่ผู้เรียนเรียนรู้นั้นอาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ ความเข้าใจอาจเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมายและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองรับรู้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ในระดับที่สามารถอธิบายเชิงเหตุผลได้ ซึ่งบางครั้งการสอนในชั้นเรียนเมื่อจบลงบางบทเรียนไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ เนื่องจากการสอนนั้นไม่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
9. การเรียนรู้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ
            การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากกระบวนการที่สร้างความเข้าใจ และให้ความหมายกับสิ่งที่รับรู้มา มีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง สอน/แนะนำบนพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์และทักษะที่มีอยู่เดิมของผู้เรียน
แนวการจัดการเรียนการสอน
            บางครั้งการจำเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์ แต่การสอนที่เน้นการจำไม่ก่อให้เกิด ความเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ ถ้าครูไม่ได้ศึกษาลีลารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ว่ามีความชื่นชอบ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละประเภท จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
10. การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
          ภาษาแรกของมนุษย์เราถูกเรียนรู้จากประสบการณ์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลากหลาย ด้วยคำศัพท์และไวยากรณ์ ถูกเรียนรู้โดยกระบวนการเรียนรู้ภายในของบุคคลที่เกิดจากการมี ปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมภายนอก
แนวการจัดการเรียนการสอน
         ครูจำเป็นต้องใช้กิจกรรมที่เป็นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย การสาธิต การทำโครงงาน ทัศนศึกษา การรับรู้ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลาย ๆ ประเภท การเรียนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถเรียนรู้ได้ในกระบวนการโดยผ่านเรื่องหรือการเขียน ความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับการใช้ประสาทสัมผัสและให้ผู้เรียนพบประสบการณ์ที่ซับซ้อนและมีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหา ครูไม่ควรเป็นเพียงผู้บรรยาย แต่ควรเป็นผู้กำกับที่ทำให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้
11. การเรียนรู้คือการส่งเสริมให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้
          เซลล์สมองจะเกิดมีการเชื่อมต่ออย่างสูงสุด เมื่อถูกกระตุ้นให้เผชิญกับสถานการณ์ ที่ท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการเล่นอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ปราศจากความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งที่บั่นทอนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
แนวการจัดการเรียนการสอน
           ควรสร้างสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยเพื่อ การเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยง ความสนุกสนาน เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ การถูกทำโทษอันเนื่องมาจากความผิดพลาดจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียน ในการเข้าร่วมกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์แวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้
12. สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกัน
            มนุษย์ทุกคนมีระบบสมองที่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีศักยภาพแตกต่างกันในด้าน ความรู้ความถนัดที่มีอยู่เดิม ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน แต่เราสามารถเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน
แนวการจัดการเรียนการสอน
            ผู้เรียนมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถความเก่งของมนุษย์ คือ ทฤษฎีพหุปัญญา ความเป็นคนเก่งคืออะไร มีคำตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า คนเก่งคือผู้มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะด้าน หรือหลาย ๆ ด้าน ที่แสดงออกถึงความสามารถได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ ในการพัฒนาความเก่งนั้น ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการพัฒนาตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักตนเอง รู้จุดเด่นจุดด้อย ค้นหาวิธีพัฒนาความเก่งให้แก่ตนเองที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีความสุขและเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ภายใต้การดูแล กระตุ้น ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวกของครู พ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความเก่งพัฒนาได้ถ้ารู้วิธีและทำถูกวิธี
เอกสารอ้างอิง
University of Nebraska at Ohama. (1999). Principles of Brain-Based Learning, from http://www.unocoe.unomaha.edu/brainbased.htm.
สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ. การเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ. กรุงเทพมหานคร: ดวงกมลสมัยจำกัด, 2543.
กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา. พบกันทุกวันอังคาร. http://www.moe.go.th/Tuesday/index.shtml.                                                    
ที่มา : http://saintmary.ac.th/?name=knowledge&file=readknowledge&id=2
 

การจัดการเรียนรู้บนฐานสมอง Brain Based Learning (BBL) อ.ปิยะธิดา กุศลรัตน์

การจัดการเรียนรู้บนฐานสมอง Brain Based Learning (BBL)
อ.ปิยะธิดา กุศลรัตน์
โปรแกรมวิชาชีววิทยาและชีววิทยาประยุกต์
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
บริบท
จุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมโครงการปฏิรูปและการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Brain
Based Learning (BBL) ของผู้วิจัยในเบื้องต้นนั้นไม่ได้มาจากสภาพปัญหาของนักศึกษาและสภาพใน
ห้องเรียน แต่มาจากความไม่รู้และเกิดอยากรู้ของผู้วิจัยว่าการจัดการเรียนการสอนแบบ BBL นั้นเป็น
อย่างไร เพราะฟังจากชื่อแล้วและในฐานะที่เป็นผู้สอนชีววิทยาซึ่งในรายวิชาที่สอนนั้นนักศึกษามี
โอกาสได้ฝึกทักษะและปฏิบัติจริงจากการลงมือปฏิบัติการทดลองอยู่แล้ว จึงอยากรู้ว่า BBL คือ
รูปแบบที่เราสอนอยู่หรือไม่ แตกต่างกันอย่างไร คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อสาขาวิชา
ของเรา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL เท่านั้น การสอนแบบ BBL จึง
เป็นสิ่งใหม่สำหรับผู้วิจัย
การศึกษาการจัดการเรียนรู้บนฐานสมองนั้น มีนักวิจัยได้ทำการศึกษามากมายและเสนอเป็น
ทฤษฎีต่างๆ แต่ทฤษฎีที่โดดเด่นคือทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) ของ Howard Gardner ที่
กล่าวถึงปัญญา 8 ด้านของมนุษย์ ได้แก่ ปัญญาด้านภาษา ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ปัญญา
ด้านมิติสัมพันธ์ ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ปัญญาด้านดนตรี ปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์
ปัญญาด้านความเข้าใจตนเอง และปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา โดยมนุษย์แต่ละคนจะมีความสามารถที่
แตกต่างกัน ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่า
1. คนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
2. คนทุกคนมีสติปัญญาทั้ง 8 ด้านที่มากน้อยแตกต่างกัน
3. ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นได้หากได้รับการฝึกฝนที่ดีและมีการ
ให้กำลังใจในสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเรียนรู้
4. ปัญญาด้านต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้
หากพิจารณาจากความแตกต่างของมนุษย์ในด้านต่างๆ แล้ว การจัดการเรียนการสอนก็
ควรสอดคล้องเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในด้านที่แตกต่างกัน
มีรายงานวิจัยต่างๆ มากมายที่สนับสนุนว่าโอกาสทองของการเรียนรู้คือช่วงวัยแรกเกิด-
2
10 ปี โดยเฉพาะ 1-3 ปีแรกที่เซลล์ประสาทมีการสร้างใยประสาทเกิดขึ้นมากมาย เพื่อรองรับการ
เรียนรู้และการเรียนรู้ทำให้เกิดเครือข่ายในสมองเป็นจำนวนมาก การศึกษาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการ
เรียนรู้จึงพุ่งเป้าไปที่เด็กเล็กและก็ไม่แปลกที่การจัดการเรียนการสอนต่างๆ จะมุ่งเน้นไปที่เด็กเล็ก ซึ่ง
ถ้าพิจารณาจากข้อนี้ทุกคนก็จะเข้าใจว่ารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ BBL น่าจะเหมาะกับเด็ก
ระดับปฐมวัยมากกว่าระดับอื่นๆ
แต่จากปัญหาที่เกิดกับเยาวชนในปัจจุบันโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาจะเห็นว่าการเรียนการ
สอนส่วนใหญ่เป็นแค่การถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียนเท่านั้น โดยผู้เรียนกับผู้สอนไม่ได้มี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ผู้เรียนจึงมีสภาพเป็นเพียงนักจดหรืออัดสำเนามาอ่านก่อนสอบ โอกาสที่จะได้คิด
วิเคราะห์หรือสังเคราะห์ใดๆ จึงเกิดขึ้นน้อยมาก อีกทั้งพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียนที่ขัดขวาง
กระบวนการเรียนรู้ เช่น มาสาย ไม่สนใจเรียน เหม่อลอย นั่งฟัง MP3 นำวิชาอื่นขึ้นมาทำในขณะที่
เรียน แต่งหน้าทาแป้ง คุยกับคนข้างๆ หรือบางคนนั่งหลับ และโดยส่วนใหญ่มักจะมองว่านักศึกษาใน
ระดับอุดมศึกษาซึ่งส่วนใหญ่อายุ 18 ปี ขึ้นไป จะต้องมีความรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้ จึงไม่
จำเป็นต้องจำจี้จ้ำไช นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาซึ่งยังเป็นวัยรุ่นและเป็นช่วงวัยสำคัญที่จะ
เปลี่ยนแปลงความคิดและสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เป็นสิ่งใหม่ได้ดี และจะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญ
ในการพัฒนาชาติ ถ้าหากทุกคนยังไม่ตระหนัก ปล่อยปะละเลย และยังให้ความรู้แบบเดิมคือการป้อน
ความรู้ให้มากที่สุดเพราะคิดว่านักศึกษาจะได้ความรู้มาก ถึงเทศกาลสอบก็ถ่ายเอกสารมาอ่านเพื่อ
สอบไปในแต่ละครั้งแล้วก็ผ่านไป หรือให้รายงานเพื่อให้นักศึกษาคัดลอกและนำข้อมูลมาตัดแปะ
และอีกหลากหลายวิธีที่ทำให้เยาวชนของชาติที่อ่อนแออยู่แล้วก็คงจะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก จึงเป็น
ก้าวใหม่ของผู้สอนอุดมศึกษาที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นจุดแรกในการปลูกฝั่งและส่งเสริมการ
เรียนรู้ แต่วัยรุ่นเป็นอีกช่วงวัยหนึ่งที่นักวิจัยหลายคนเคยศึกษาไว้ว่าเป็นวัยที่มีความพิเศษ พวกเขา
สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายหากได้รับการส่งเสริมและกระตุ้นในทางที่ถูก
แนวทางและการดำเนินงาน
การประยุกต์การจัดการเรียนรู้บนฐานสมองของผู้วิจัยเริ่มขึ้นในปีการศึกษา 2550 ภาค
การศึกษาที่ 1 ในรายวิชาปฏิบัติการชีววิทยา 2 (403104) ซึ่งเป็นรายวิชาที่จัดสอนให้กับนักศึกษา ค.บ.
(5 ปี) วิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 2 หมู่ 1 โดยมีคำอธิบายรายวิชากล่าวว่า
“ปฏิบัติการเรื่องเมตาบิลิซึม การแลกเปลี่ยนสาร เอนไซม์ การสังเคราะห์ด้วยแสง การหายใจ
ระดับเซลล์ การขนส่งและการคายน้ำ สมดุลภายในเซลล์ การทำงานของระบบต่างๆ พันธุศาสตร์
และพฤติกรรมและการปรับตัว”
3
ก่อนเข้าร่วมโครงการการจัดการเรียนการสอนในรายวิชานี้จะเน้นให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติ
โดยทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 2-3 คน และอาจารย์ผู้สอนจะมีการอธิบายเกี่ยวกับการทดลองก่อน
ให้ลงมือปฏิบัติ แต่จากการเรียนการสอนที่ผ่านมาปัญหาที่พบสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ปัญหาจากตัวนักศึกษา
- นักศึกษาขาดความกระตือรือร้นในการทดลอง
- นักศึกษาไม่สามารถออกแบบการทดลองได้ด้วยตนเองว่าควรทำอะไร
ก่อนหลัง
- นักศึกษาส่วนใหญ่ขาดความอยากรู้อยากเห็นอย่างแท้จริง ทำการทดลองให้จบ
อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้กลับบ้าน
-. นักศึกษาขาดความรู้พื้นฐานในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ
- นักศึกษาบางคนขาดวินัยในตนเอง เข้าห้องเรียนสาย
2. ปัญหาความพร้อมของอุปกรณ์
เนื่องจากมีนักศึกษาหลายกลุ่ม บางครั้งอุปกรณ์ก็ไม่เพียงพอกับนักศึกษา
3. ปัญหาบุคลากร
- เนื่องจากมีอาจารย์ผู้ดูแลห้องปฏิบัติการเพียง 1 ท่าน ในระหว่างที่นักศึกษาลงมือทำ
การทดลองอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง
จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้เกิดโจทย์ในใจผู้วิจัยว่าจะจัดการเรียนการสอน
อย่างไรเพื่อให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้บนฐานสมองและส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนอย่างสนุกและเข้าใจ
ซึ่งตามข้อกำหนดของโครงการวิจัยให้เลือกหัวข้อที่สอนเพื่อนำมาจัดรูปแบบการสอนแบบ BBL 1
หัวข้อ และผู้วิจัยเลือกเรื่อง การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและ
จัดการทดลองให้เห็นจริงได้ยาก ซึ่งจากหัวข้อนี้ผู้วิจัยออกแบบไว้ในใจแล้วว่าอยากให้ผู้เรียนเข้าใจ
เกี่ยวกับกายวิภาคของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะใช้กบในการศึกษา
ขั้นตอนดำเนินงาน
1. การสร้างโจทย์แห่งการเรียนรู้
เบื้องต้นผู้วิจัยได้แจกเอกสารประกอบการสอนเกี่ยวกับกายวิภาคของกบให้ผู้เรียนไป
ศึกษาด้วยตนเอง
หลังจากนั้นใช้วิธีการสนทนาตามธรรมชาติ (Dialogues) และออกแบบร่วมกับผู้เรียน
(co-design) ในชั่วโมงเรียน โดยมีการเปลี่ยนแปลงห้องเรียนจากห้องเดิมคือ ห้อง 11.45 มาเป็นห้อง
ประชุม 24.111 ซึ่งมีสื่อการสอนและสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนได้มากกว่าโดยตั้งคำถามกับ
ผู้เรียนซึ่งได้เรียนเรื่องระบบต่างๆ ในร่างกายมาแล้วในวิชาชีววิทยา 2 ตามคำถามดังนี้
4
“ระบบต่างๆ ในร่างกายที่นักศึกษารู้จักมีระบบใดบ้าง”
“แต่ละระบบมีหน้าที่อย่างไร”
“หากต้องการศึกษาโครงสร้างแต่ละระบบจะทำอย่างไร”
“สัตว์ชนิดใดที่เหมาะที่จะนำมาศึกษาเรื่องระบบต่างๆ เพราะอะไร”
ภายหลังจากการสนทนาตามธรรมชาติและออกแบบร่วมกันแล้วว่าจะศึกษากายวิภาคของกบ
ผู้วิจัยได้นำเสนอสื่อประกอบโปรแกรม Power point เกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของกบ การเปิดผ่าเพื่อ
ศึกษาอวัยวะภายใน โดยใช้คำถามถามนักศึกษาว่าส่วนประกอบที่มองเห็นแต่ละส่วนเรียกว่าอะไร ทำ
หน้าที่อะไร
กายวิภาคของกบ
Mouth and external incisions

2. การเรียนรู้แบบฝึกฝนปฏิบัติ
ในขั้นตอนนี้จะใช้ห้องปฏิบัติการอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์ ชั้น 4 ซึ่งมีสภาพบรรยากาศห้อง
เหมาะในการฝึกปฏิบัติการทดลอง โดยจะแบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มๆ ละ 2-3 คน และแต่ละกลุ่มจะได้รับ
กบ 1 ตัว และอุปกรณ์ผ่าตัด 1 ชุด โดยในจุดนี้ผู้สอนพยายามเน้นในเรื่องการมีส่วนร่วมของสมาชิกทุก
คนในกลุ่ม
ผู้สอนสาธิตการผ่าเปิดช่องท้องกบเพื่อดูอวัยวะภายในในระบบต่างๆ
ผู้เรียนได้ศึกษาลักษณะภายนอกของกบ ได้แก่ ผิวหนัง ขาหน้าและขาหลัง ลักษณะนิ้ว ตา หู
จมูก และโครงสร้างภายในช่องปากด้วยตัวเอง และบันทึกภาพของกบ
ผู้เรียนฝึกผ่ากบด้วยตนเองและบันทึกภาพอวัยวะต่างๆ ที่พบ เพื่อนำเสนอรายงานหน้าชั้น
เรียนซึ่งในจุดนี้ก่อนเข้าโครงการ BBL กิจกรรมการเรียนการสอนภายหลังจากที่นักศึกษาผ่ากบแล้วจะ
มีการวาดภาพระบบต่างๆ ประกอบรายงานการทดลองเท่านั้น ผู้วิจัยจึงได้เพิ่มเติมกิจกรรมเข้าไปคือ
ทุกกลุ่มต้องมีการบันทึกภาพขณะผ่าตัดกบ โดยให้เห็นอวัยวะต่างๆ อย่างชัดเจน ภายหลังผ่ากบเพื่อ
ศึกษาอวัยวะภายในแล้วนักศึกษาแต่ละกลุ่มจะต้องมานำเสนอระบบอวัยวะที่ตนได้รับมอบหมาย ซึ่ง
แบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้
- โครงสร้างภายนอก
- ระบบทางเดินอาหาร
- ระบบขับถ่าย
- ระบบสืบพันธุ์
- ระบบหายใจ
- ระบบหมุนเวียนโลหิต
ภายหลังจากที่นักศึกษาทุกกลุ่มนำเสนอเกี่ยวกับระบบที่ตนได้รับมอบหมายแล้ว อาจารย์
และนักศึกษาอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับระบบต่างๆ ที่จากการผ่าตัดกบว่ามีความเหมือนและแตกต่างกับ
ระบบต่างๆ ในคนอย่างไร
ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิด
ภายหลังจากการทดลองเสร็จสิ้น ผู้วิจัยสังเกตได้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่สนใจกับกิจกรรม
การเรียนการสอน และเริ่มรู้จักวางแผนในการทดลองและแบ่งหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่ม จากที่ในกลุ่ม
จะมีบางคนเท่านั้นที่สนใจทำการทดลองและจะเป็นคนเดิมที่ทดลองในทุกๆ ชั่วโมง แต่จากการเสริม
กิจกรรมบางอย่างเข้าไปทำให้นักศึกษาที่ไม่สนใจเรียนมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะมีการ
ถ่ายภาพขณะทดลองผ่าตัดกบและจะต้องนำเสนอหน้าชั้นเรียนและการได้ลงมือปฏิบัติจริงทำให้
6
นักศึกษาเกิดทักษะในการผ่าตัดศึกษากบได้อย่างถูกต้อง สามารถรู้จักและจำชื่ออวัยวะต่างๆ รวมทั้ง
หน้าที่ได้มากยิ่งขึ้น
จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นของนักศึกษาทำให้ผู้สอนรู้สึกสนุกกับการสอนเพราะ
ไม่ได้ยืนพูดอยู ่คนเดียวแต่นักศึกษามีความสนใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนตลอด
ชั่วโมง
สรุปและข้อเสนอแนะ
ประสบการณ์จากการเข้าร่วมโครงการ BBL ที่ผู้วิจัยได้รับก็คือการเรียนการสอนแบบ BBL
ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่อยู่บนพื้นฐานการเรียนรู้ของสมองตาม
ธรรมชาติที่มีความแตกต่างกันแต่ละบุคคล ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ได้เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับการส่งเสริมและการได้รับการชี้แนะที่ถูกต้อง โดยผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเพราะการจัดกิจกรรมแต่มีข้อจำกัดก็คือ
1. ระยะเวลาและความไม่ต่อเนื่องของโครงการ เนื่องจากการศึกษานี้ทำเพียง 1 หัวข้อ
เรื่อง ใน 1 รายวิชา นั้น ทำให้การประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษายังไม่ชัดเจน
2. ธรรมชาติของแต่ละรายวิชามีความหลากหลาย หากต้องการจัดการการเรียนการสอน
แบบ BBL น่าจะส่งเสริมและพัฒนาเป็นรายวิชาโดยมีการทดลองและออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้อง
กับแต่ละรายวิชา
3. สิ่งสำคัญที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอนแบบ BBL ประสบผลสำเร็จ มาจาก 3
ส่วนคือ
3.1 ผู้สอน
อาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีความรู้ความสามารถและอัตตาในระดับสูง
รูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายหรือการให้รายงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบ
Passive learning หากต้องการเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีลักษณะความเป็นวิชาการและกล้าคิดในสิ่งใหม่
อาจารย์ผู้สอนต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแนวคิดและรูปแบบการสอนคือพูดคนเดียวให้น้อยลงแต่พูดกับ
ผู้เรียนให้มากขึ้น ฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น ดังนั้นผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญ
ที่จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบและออกแบบการเรียนการสอนของตนว่าจะไปในทิศทางใด จะเลือก
เทคนิคหรือวิธีการใดที่จะสร้างบรรยากาศและกระต้นความใฝ่รู้ของนักศึกษาซึ่งเป็นภาระกิจที่ไม่ง่าย
เลยทีเดียว
3.2 ผู้เรียน
ถึงแม้อาจารย์ผู้สอนจะเตรียมการสอนหรือกิจกรรมดีเพียงใดก็ตามแต่หากผู้เรียน
7
ไม่ให้ความร่วมมือ การเรียนการสอนก็คงไม่ประสบผล มีปัจจัยหลายอย่างที่มาจากผู้เรียนและส่งผล
ต่อการจัดการเรียนการสอนแบบ BBL
- ความรู้พื้นฐานของผู้เรียนแต่ละคนเนื่องจากนักศึกษาแต่ละคนมาจากสิ่งแวดล้อมที่
แตกต่างกัน พื้นฐานความรู้แตกต่างกัน การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้คนที่มีความแตกต่างกันเรียนรู้
ได้เหมือนกันจึงเป็นสิ่งที่ยาก
3.3 ปัจจัยทางกายภาพ
การจัดการเรียนการสอนแบบ BBL ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้
ความพร้อมในด้านห้องเรียนและอุปกรณ์ส่งเสริมการเรียน จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะกระตุ้นใน
นักศึกษาเกิดความสนในการเรียนมากขึ้น
3.3 องค์กรหรือหน่วยงาน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอนแบบ BBL ดำเนินไปได้ คือองค์กร
หรือมหาวิทยาลัยต้องเห็นความสำคัญของการสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยต้องมีนโยบายที่เป็น
รูปธรรมในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนแบบนี้