วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

เด็กทุกคนเป็นอัจฉริยะ

อยากให้ลูกเป็นคนฉลาดไหม
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียนเก่งก็ได้ ขอแค่เอาตัวรอด และเป็นคนดีก็พอ"
แต่หวังลึกๆว่า"ถ้าฉลาดด้วยก็ดี"
แล้วจะทำอย่างไรถึงจะฉลาดปราดเปรื่องได้
ก่อนอื่นท่านเชื่อหรือไม่ว่าเด็กทุกคน(ปฐมวัย)เก่งกว่าผู้ใหญ่มาก
ลองมาดูความสามารถในการซึมซับข้อมูลของเด็กดูเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์รับข้อมูลได้มหาศาล รวดเร็วและง่ายดาย
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์แยกหมวดหมู่และจัดเก็บข้อมูลมหาศาลได้
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์จัดวางข้อมูลมหาศาลไว้ในหน่วยความจำถาวรหรือชั่วคราวก็ได้
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลทั้งหมดที่คุณใส่เข้าไปไม่ว่าข้อมูลจะถูกต้องหรือไม่
เด็กเล็กก็เช่นกัน
เมื่อมีฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์มากพอคุณจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน รวมทั้งวินิจฉัยจากเครื่องอีกด้วย

เด็กเล็กก็เช่นกัน
สรุปแล้วสมองของเด็กเล็ก
สามารถดูดซับข้อมูลได้รวดเร็ว
สามารถดูดซับข้อมูลได้ปริมาณมหาศาล
ในกรณีของคอมพิวเตอร์เราสามารถลบและป้อนข้อมูลเข้าไปใหม่ได้แต่สำหรับเด็กมีข้อจำกัด
ถ้า ใส่ข้อมูลเข้าไปแล้วจะลบยากมากในช่วงวัย 6 ปีแรก แต่เมื่อพ้นจากนั้นเด็กจะซึมซับข้อมูลใหม่ๆได้ช้าลงและลำบากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งจำอะไรได้ยากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่แบบเราๆ
ความเป็นเลิศของเด็กเล็กยังมีอีกมากมาย
 ท่านเคยเจอสิ่งเหล่านี้ไหม
เด็กที่ยังพูดไม่ได้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อได้ยินเพลงที่ได้ฟัง
เด็กสามารถร้องเพลงบางเพลงได้จนจบ(พร้อมโยก)
เด็กพูดคำพูดแปลกๆขึ้นมาโดยเราเองยังสงสัยว่าเอามาจากไหน(บางคำเป็นคำด่าอีกต่างหาก)
เด็กสามารถพูดตามบทพูดในการ์ตูนที่ชอบดู หรือนิทานที่ พ่อแม่เล่าให้ฟัง (ถ้าเล่าผิดจะมีการท้วงทันที)
กรณี เด็กคนหนึ่งประมาณ 2-3 ขวบถูกส่งมาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่หนึ่งในจังหวัดน่าน เด็กพูดไม่ได้และส่งเสียงกรีดร้องอยู่ตลอด สื่อสารด้วยการกรีดร้อง ในที่สุดครูต้องส่งไปให้หมอตรวจ ผลก็คือพัฒนาการทุกด้านของเด็กเป็นปรกติ ยกเว้นการพูด  ต่อมาครูมีโอกาสไปเยี่ยมที่บ้านพบว่า เด็กถูกเลี้ยงด้วยสารคดีสัตว์โลก พ่อแม่ไม่ว่างที่จะดูแล ทิ้งให้ยายดูแล ยายเห็นว่าเด็กชอบดูสารคดีสัตว์ เสียงที่เด็กสื่อสารมาตลอดเวลาจะคล้ายเสียงสัตว์ 
จากกรณีดังกล่าว ความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ของเด็กคนนี้ในช่วงที่อยู่กับยายทุกวันตอน ผู้ปกครองไปทำงาน ไม่นานก็สามารถเลียนแบบเสียงและพฤติกรรมบางอย่างของสัตว์ได้แล้ว 
ดังนั้นข้อมูลที่ควรใส่เข้าไปในสมองจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ อยู่รอบตัวเด็ก ทีวี คอมพิวเตอร์  เพื่อนบ้านโรงเรียน ครู รวมถึงผู้ปกครองด้วย ที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการไหนที่จะนำข้อมูลเข้าสู่ สมองของเด็กได้  มีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือ การอ่านหนังสือของเด็ก (ไม่ ใช่อ่านให้เด็กฟัง) ไม่ว่าเป็นวัยไหนเราต่างยอมรับว่าการอ่านหนังสือคือวิธีการหาความรู้ที่ สะดวกและง่ายที่สุดในการค้นคว้าหาความรู้ เด็กเล็กๆก็เช่นกัน สำหรับเด็กเล็กแล้ว เมื่อเด็กมองเห็นดีขึ้น พวกเขาก็จะอ่านหนังสือได้ดีขึ้น และเมื่อเด็กรับฟังดีขึ้นพวกเขาก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น และเมื่อความสามารถในการรับรู้ของเด็กดีขึ้น พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นด้วย พูดง่ายๆคือ เมื่อเด็กอ่านหนังสือ พูด และเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นทั้งยังรับข้อมูลในปริมาณมากขึ้น พวกเขาจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น และไอคิวก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนี้เป็นความจริงสำหรับเด็กทุกคนทั้งที่อยู่ใน เกณฑ์และอยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย 

อาจเป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่าเด็ก เล็กๆจะอ่านหนังสือได้จริง ตัวอย่างง่ายๆลองหันไปเด็กคนอื่นบางคนในระดับช่วงชั้นเดียวกัน จะเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กบางคนจะอ่านหนังสือได้บ้างแล้ว(แท้จริงแล้วเด็กเก่งกว่านั้น) และวิธีสอนเด็กให้อ่านหนังสือเป็น อ่านหนังสือเก่ง ก็มีหลายวิธีเช่นกัน สำคัญ ที่สุดคือต้องอ่าน เพื่อนำข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าสู้สมองที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

มาค้นหาพรสวรรค์ของลูกด้วยทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple intelligences) ของ Howard Gardner

http://m.pantip.com/topic/33338979

มาค้นหาพรสวรรค์ของลูกด้วยทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple intelligences) ของ Howard Gardner กันครับ

กระทู้สนทนา
เนื่องจากเด็กแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นบ่อยครั้งที่ความคาดหวังของผู้ใหญ่นั้นมักจะไปขัดกับความต้องการความ ชอบของเด็กๆ  หากเราสามารถรู้ได้ก่อนว่าลูกเราเป็นเด็กที่มีความชอบหรือมี ความถนัดด้านไหนแล้วก็จะช่วยให้เข้าใจลูกมากขึ้นเวลาที่เขางอแงหรือไม่อยาก ทำอะไรบางอย่าง เพราะบางครั้งมันเกิดจาก “ความไม่ถนัด”  ไม่ใช่จาก “ความขี้เกียจ”  และที่สำคัญคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องเลี้ยงให้ลูกเก่งไป เสียทุกอย่าง

     ความชอบหรือความถนัดนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นได้เด่นชัดเมื่อเด็กอายุเข้าสู่ ช่วงท้ายของวัยอนุบาล (ประมาณ 4 ขวบขึ้นไป)  เนื่องจากเป็นวัยที่พัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งภาษา กล้ามเนื้อ อะไรต่อมิอะไร นั้นพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆ  ประกอบกับเด็กในวัยนี้จะมีประสบการณ์ในการทำ กิจกรรมต่างๆมาพอสมควร เช่น เขียนหนังสือ นับเลข วาดรูป ร้องเพลง เล่นกับเพื่อน ฯลฯ  และที่สำคัญมากที่สุดคือเด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ “ช่างเลือก” คือบอกได้ว่าตัวเอง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการสังเกต   หลายคนพยายามสังเกตมานานว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านไหน แต่ไม่เห็นเจอเลย วันๆ  เห็นแต่นั่งดูการ์ตูนหรือเล่นแต่  iPad  

     นอกจากการสังเกตแล้ว การพาลูกออกไปทดลองทำกิจกรรมต่างๆ นั้นก็มีความสำคัญ เพราะต้องอย่าลืมว่าเด็กเล็กๆ  เองก็ไม่รู้หรอกว่าในโลกนี้มันมีอะไรให้ทำ บ้าง  ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาพาลูกๆ  ออกไปทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อค้นหาความชอบและความถนัดของตัวเอง  ซึ่งหากถามว่าแล้วควรออกไปทำอะไร บ้าง  ขอแนะนำว่าให้ทดลองตาม “ทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple intelligences) ของ Howard Gardner”


     ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นผู้เสนอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" (The Theory of Multiple Intelligences) ได้เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป  ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ ได้เสนอว่าปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านการเข้าใจตนเอง




     ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น  รวมเป็นทั้งหมด 8 ด้าน  แต่ละด้านก็มีความอิสระในการพัฒนาตัวของมันเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มีการรวมเข้าด้วยกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษย์แต่ละคน คนหนึ่งอาจเก่งเพียงด้านเดียว หรือเก่งหลายด้าน หรืออาจไม่เก่งเลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่ช่วยจุดประกายความหวัง เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ   ในหลักทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences) เชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความฉลาดแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูจึงควรพยายามค้นหาจุดเด่นของเด็กว่ามีความฉลาดทางด้านใดบ้าง และมีรูปแบบอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและสามารถช่วยส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการตามแบบฉบับของเขา เองได้อย่างเหมาะสม
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 มีนาคม 2558 เวลา 13:41:43 น.

omega45
ความคิดเห็นที่ 2
ความฉลาด 8 ด้านตามทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences)

1. ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic)
เด็กที่มีความถนัดด้านภาษาสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาสนุกกับการต่อคำศัพท์และเกมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ในขณะเดียวกันก็ชื่นชอบโคลงกลอน เพลง และนิทาน เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นนักพูดและนักเล่าเรื่องที่เก่ง
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านภาษา คือ จำและคิดเป็นภาษาหรือคำศัพท์ อธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองได้ดี




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านภาษา
-          มีนิสัยรักการอ่าน ติดหนังสือ ชอบเขียน ชอบพูด สามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้ดี
-          มักจะได้ยินเสียงของคำก้องอยู่ในหูก่อนที่จะได้อ่าน พูด หรือเขียน 
-          จำชื่อสถานที่ เรื่องราว รายละเอียดต่าง ๆ ได้ดี
-          เจ้าบทเจ้ากลอน มีอารมณ์ขัน ตลก ชอบเล่นปริศนา คำทาย
-          ชอบพูดเล่นคำ สำนวน คำผวน คำพ้อง
-          ชอบเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ มากกว่าคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์

ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          จัดกิจกรรมให้ได้รับประสบการณ์ตรง เพื่อนำมาเขียนเรื่องราว
-          จัดกิจกรรมให้ได้พูด ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น ได้เขียนเรื่องราวที่สนใจ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
-          ครูควรรับฟังความคิดเห็น คำถาม และตอบคำถามด้วยความเต็มใจ กระตือรือร้น
-          จัดเตรียมหนังสือ สื่อการเรียนการสอนเพื่อการค้นคว้าที่หลากหลาย เช่น เทปเสียง วิดีทัศน์ จัดเตรียมกระดาษเพื่อการเขียน อุปกรณ์การเขียนให้พร้อม
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนคือ ให้อ่าน ให้เขียน ให้พูด และให้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่นักเรียนสนใจ อภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็น นักพูด นักเล่านิทาน นักการเมือง กวี นักเขียน บรรณาธิการ นักหนังสือพิมพ์ ครูสอนภาษา เป็นต้น


2. ความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical)
ความฉลาดทางด้านนี้เกี่ยวกับความสามารถในการนำตรรกะมาแก้ไขปัญหา จำแนกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบแบบแผนได้ นอกจากนั้น ยังชื่นชอบการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และเรียนรู้ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย เด็กที่ฉลาดทางด้านนี้จะชอบเล่นเกมส์ที่ต้องแก้ปัญหาทุกชนิด และสามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ คือ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ดี เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ซับซ้อน เด็กสามารถแยกแยะ จัดลำดับและเข้าใจรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้น




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
-          ชอบทดลองแก้ปัญหา สนุกที่ได้ทำงานกับตัวเลข หรือเกมคิดเลข การคิดเลขในใจ เป็นต้น
-          ชอบและมีทักษะในการใช้เหตุผล การซักถามปัญหาให้คิดเชิงเหตุผล
-          ชอบทำตามสั่ง ทำอะไรที่เป็นระบบระเบียบตามลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน
-          สนใจข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และวิทยาการต่าง ๆ
-          ชอบค้นหาเหตุผลมาหักล้างหรือวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้อื่น
-          เชื่อถือเฉพาะแต่สิ่งที่อธิบายได้ มีเหตุผลเพียงพอ
-          ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์

ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          ให้มีโอกาสได้ทดลอง หรือทำอะไรด้วยตนเอง
-          ส่งเสริมให้ทำงานสร้างสรรค์ งานศิลปที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์
-          ให้เล่นเกมที่ฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เช่น เกมไพ่ เกมตัวเลข ปริศนาตัวเลข ฯลฯ
-          ให้ช่วยทำงานบ้าน งานประดิษฐ์ ตกแต่ง
-          ฝึกการใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การศึกษาด้วยโครงงานในเรื่องที่นักเรียนสนใจ
-          ฝึกฝนทักษะการใช้เครื่องคิดเลข เครื่องคำนวณ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนคือให้ฝึกคิดแบบมีวิจารณญาณ วิพากษ์ วิจารณ์ ฝึกกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด การชั่ง ตวง วัด การคิดในใจ การคิดเลขเร็ว ฯลฯ
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็นนักบัญชี นักคณิตศาสตร์ นักตรรกศาสตร์ โปรแกรมเมอร์ นักวิทยาศาสตร์ ครู-อาจารย์ เป็นต้น
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 มีนาคม 2558 เวลา 13:11:05 น.

omega45
ความคิดเห็นที่ 3
3. ความฉลาดด้านดนตรี (Musical)
เด็กที่ฉลาดด้านดนตรีจะมีความว่องไวต่อเสียง และสามารถเชื่อมโยงระหว่างเพลงและเครื่องดนตรีได้ พวกเขามักจะชอบร้องเพลงและใช้เทคนิคในการเรียนรู้ผ่านบทเพลงและจังหวะต่างๆ ได้
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านดนตรี คือ พวกเขามักหลงเสน่ห์ดนตรีและเสียงเพลงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นคำ คล้องจองหรือเป็นแบบแผน ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้พวกเขาซึมซับและจดจำข้อมูลเป็นแบบแผนและบทกลอนหรือคำ คล้องจอง




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านดนตรี
-          ชอบร้องรำทำเพลง เล่นดนตรี
-          ชอบเสียงต่าง ๆ ชอบธรรมชาติ
-          แยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้ดี รู้จักท่วงทำนอง เรียนรู้จังหวะดนตรีได้ดี
-          ชอบผิวปาก ฮัมเพลงเบา ๆ ขณะทำงาน
-          มักจะเคาะโต๊ะ หรือขยับเท้าตามจังหวะเมื่อฟังเพลง
-          สามารถจดจำเสียงที่เคยได้ยินแม้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งได้
-          เล่นเครื่องดนตรีได้อย่างน้อย 1 ชิ้น
-          มักจะได้ยินเสียงเพลงจากภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์หรือวิทยุก้องอยู่ในหูตลอดเวลา

ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          ให้เล่นเครื่องดนตรี ร้องเพลง ฟังเพลงสม่ำเสมอ
-          หาโอกาสดูการแสดงดนตรี หรือฟังดนตรีเป็นประจำ
-          บันทึกเสียงดนตรีที่นักเรียนแสดงไว้ฟังเพื่อปรับปรุงหรือชื่นชมผลงาน
-          ให้ร้องรำทำเพลงร่วมกับเพื่อนหรือคุณครูเสมอ ๆ
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนได้แก่ปฏิบัติการร้องเพลง การเคาะจังหวะ การฟังเพลง การเล่นดนตรี การวิเคราะห์ดนตรี วิจารณ์ดนตรี เป็นต้น
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง  นักวิจารณ์ดนตรี เป็นต้น

4. ความฉลาดด้านร่างกาย (Bodily-Kinesthetic)
ความฉลาดด้านนี้มีความหมายตรงกับชื่อ คือ เป็นเด็กที่แข็งแรง สามารถทำกิจกรรมและเคลื่อนไหวได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ชอบแสดงออก และสนุกกับกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะและงานฝีมือ
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านร่างกาย คือ พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางกายภาพได้ดีพวกเขาใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้าม เนื้อมัดเล็กได้อย่างยอดเยี่ยมพวกเขามักเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่เรียนรู้ (ทำให้อาจดูเหมือนนั่งนิ่งๆ ไม่ได้)




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านร่างกาย
-          ชอบการเคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง ชอบสัมผัสผู้อื่นเมื่อพูดคุยด้วย
-          เป็นนักกีฬา กระตือรือร้น ชอบเต้นรำ เล่นละคร หรือบทบาทสมมุติ
-          ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าจะให้คนอื่นทำให้ตน
-          ขอบทำมือประกอบท่าทางขณะพูดคุย
-          ชอบพูดคุยเสียงดัง เอะอะตึงตัง ชอบเล่นหกคะเมนตีลังกากับเพื่อน
-          ชอบเล่นเครื่องเล่นที่โลดโผน หวาดเสียว เช่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน รถไฟเหาะตีลังกา ฯลฯ
-          ชอบเรียนวิชาพลศึกษา งานประดิษฐ์ ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง
-          ชอบลงมือกระทำจริงมากกว่าการอ่านคู่มือแนะนำหรือดูวิดีโอแนะนำ
-          ชอบคิดหรือใช้ความคิดขณะออกกำลังกาย เดิน วิ่ง

ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          เรียนรู้ได้ด้วยการสัมผัส จับต้อง การเคลื่อนไหวร่างกาย และการปฏิบัติจริง
-          สนับสนุนให้เล่นกีฬา การแสดง เต้นรำ การเคลื่อนไหวร่างกาย
-          จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรง หรือได้ปฏิบัติจริง
-          ให้เล่นเกม เดิน วิ่ง หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย
-          ให้เล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง กีฬา การเคลื่อนไหวประกอบจังหวะ
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้นักเรียนปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง ได้สัมผัส เคลื่อนไหว ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ และการเรียนผ่านการแสดงบทบาทสมมุติ แสดงละคร
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็นนักแสดง นักกีฬา นาฏกร นักฟ้อนรำ นักประดิษฐ์ นักปั้น ช่างซ่อมรถยนต์ ศัลยแพทย์ เป็นต้น
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 มีนาคม 2558 เวลา 13:45:14 น.

omega45
ความคิดเห็นที่ 4




[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แก้ไขข้อความเมื่อ 10 มีนาคม 2558 เวลา 15:51:39 น.

สมาชิกหมายเลข 1614577
ความคิดเห็นที่ 5
5. ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial)
เด็กที่มีความฉลาดด้านนี้จะคิดและสื่อสารด้วยภาพ พวกเขาชอบเล่นเกมส์ต่อรูปภาพ เช่น จิ๊กซอว์ เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ และชื่นชอบงานศิลปะ นอกจากนี้ พวกเขายังจดจำทิศทางได้ดี และอ่านแผนที่เก่ง
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ คือ เขาสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ในหัว และวิเคราะห์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาสามารถจินตนาการและสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ในความคิด (หรือฝันกลางวัน)เขาสามารถจัดการและเล่นสิ่งของต่างๆ ได้ดี และมีทักษะในการใช้มือที่ดี




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านมิติสัมพันธ์
-          ชอบวาดเขียน มีความสามารถทางศิลปะ
-          ชอบฝันกลางวัน ชอบหลับตาคิดถึงภาพในความคิด จินตนาการ
-          ชอบวาดภาพ ขีดเขียนสิ่งต่าง ๆ ลงในกระดาษ สมุดจดงาน
-          ชอบอ่านแผนที่ แผนภูมิต่าง ๆ
-          ชอบบันทึกเรื่องราวไว้ในภาพถ่ายหรือภาพวาด
-          ชอบเล่นเกมต่อภาพ (Jigsaw Puzzles) เกมจับผิดภาพ หรือเกมที่เกี่ยวกับภาพ
-          ชอบเรียนวิชาศิลปศึกษา เรขาคณิต พีชคณิต
-          ชอบวาดภาพในลักษณะมุมมองที่แตกต่างออกไปจากธรรมดา
-          ชอบดูหนังสือที่มีภาพประกอบมากกว่าหนังสือที่มีแต่ข้อความ
ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          ให้ทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์ เพื่อเปิดโอกาสให้คิดได้อย่างอิสระ
-          พาไปชมนิทรรศการศิลปะ พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ
-          ฝึกให้ใช้กล้องถ่ายภาพ การวาดภาพ สเก็ตซ์ภาพ
-          จัดเตรียมอุปกรณ์การวาดภาพให้พร้อม จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงานด้านศิลป์
-          ฝึกให้เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เกมตัวเลข เกมที่ต้องแก้ปัญหา
-          เรียนได้ดีหากได้ใช้จินตนาการ หรือความคิดที่อิสระ ชอบเรียนด้วยการได้เห็นภาพ การดู การรับรู้ทางตา
-          ฝึกให้ใช้หรือเขียนแผนที่ความคิด (Mind Mapping) การใช้จินตนาการ
-          ให้เล่นเกมเกี่ยวกับภาพ เกมตัวต่อเลโก้ เกมจับผิดภาพ ฯลฯ
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้ดู ให้วาด ให้ระบายสี ให้คิดจินตนาการ
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็นศิลปิน สถาปนิก มัณฑนากร นักประดิษฐ์ ฯลฯ
 
6. ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal)
เด็กที่ฉลาดด้านนี้จะมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม พวกเขาจึงเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ชอบทำงานร่วมกับคนอื่น และมีความสามารถในการเป็นผู้นำสูง
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ เขาชอบเล่นเป็นกลุ่มเขาสามารถนำผู้อื่นได้ดีเขาสนใจความรู้สึกและมักเห็นอก เห็นใจคนอื่น




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านมิติสัมพันธ์
-          ชอบมีเพื่อน ชอบพบปะผู้คนร่วมสังสรรค์กับผู้อื่น
-          ชอบเป็นผู้นำ หรือมีส่วนร่วมในกลุ่ม
-          ชอบแสดงออกให้ผู้อื่นทำตาม ช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานหรือประสานงานกับผู้อื่นได้ดี
-          ชอบพูดชักจูงให้ผู้อื่นทำมากกว่าจะลงมือทำด้วยตนเอง
-          เข้าใจผู้อื่นได้ดี สามารถอ่านกิริยาท่าทางของผู้อื่นได้
-          มักจะมีเพื่อนสนิทหลายคน
-          ชอบสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นมากกว่าจะอยู่คนเดียวที่บ้านในวันหยุด
ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เข้ากลุ่ม ทำงานร่วมกัน
-          ส่งเสริมให้อภิปราย เรียนรู้ร่วมกัน แก้ปัญหาร่วมกัน
-          สามารถเรียนได้ดีหากให้โอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
-          ยุทธศาสตร์ในการสอนได้แก่การให้ทำงานร่วมกัน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อน การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจำลองสถานการณ์ บทบาทสมมุติ การเรียนรู้สู่ชุมชน เป็นต้น
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเป็นนักบริหาร ผู้จัดการ นักธุรกิจ นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ ครู - อาจารย์ เป็นต้น
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 มีนาคม 2558 เวลา 13:48:19 น.

omega45
ความคิดเห็นที่ 6
ใช่ครับ
เราควรปล่อยให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่เขาถนัดและสนับสนุนสิ่งนั้นให้เต็มที่ จะดีกว่าเรียนรู้เพราะเราไปบังคับในสิ่งที่เขาไม่ชอบ
แต่ก็ขอให้สิ่งที่เขาชอบนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์

สมาชิกหมายเลข 2048387
ความคิดเห็นที่ 7
7. ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง (Intrapersonal)
ในทางตรงกันข้าม เด็กที่เข้าใจตนเองชอบทำงานเพียงลำพัง พวกเขามักเป็นตัวของตัวเอง และแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าสังคม แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถของตนและมีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง คือ พวกเขาเก่งในการทำงานให้ไปถึงเป้าหมายชัดเจนว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบอะไรรัก ความยุติธรรม




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านเข้าใจตนเอง
-          ชอบอยู่ตามลำพังคนเดียวเงียบ ๆ คิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง
-          ติดตามสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ มีแรงจูงใจสูง
-          มีอิสระในความคิด รู้ตัวว่าทำอะไร และพัฒนาความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ
-          ชอบใช้เวลาว่างในวันหยุดอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะออกไปในที่มีคนมาก ๆ
-          เข้าใจตนเอง หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึก ความคิดและการแสดงออกของตัวเอง
-          ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าที่จะคอยให้คนอื่นช่วยเหลือ
ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          เปิดโอกาสให้ทำงานตามลำพัง ทำงานคนเดียว อิสระ แยกตัวจากกลุ่มบ้าง
-          สอนให้เห็นคุณค่าของตัวเอง นับถือตัวเอง (self esteem)
-          สนับสนุนให้ทำงานเขียน บันทึกประจำวัน หรือทำหนังสือ จุลสาร
-          สนับสนุนให้ทำโครงงาน การศึกษารายบุคคล หรือทำรายงานเดี่ยว
-          ให้เรียนตามความถนัด ความสนใจ ตามจังหวะการเรียนเฉพาะตน
-          ให้อยู่กับกลุ่ม ทำงานร่วมกับผู้อื่นบ้าง
-          ยุทธศาสตร์การสอนควรเน้นที่การเปิดโอกาสให้เลือกศึกษาในสิ่งที่ สนใจเป็นพิเศษ การวางแผนชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น การศึกษารายบุคคล (Individual Study)
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพอิสระ เป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายจ้างของตัวเอง นักคิด นักเขียน นักบวช นักปรัชญา นักจิตวิทยา  ครู – อาจารย์ เป็นต้น

8. ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ (Naturalistic)
เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ชอบผจญภัยในโลกกว้าง (นอกบ้าน) มาตั้งแต่เด็ก จึงมักเห็นเขาชอบเตร็ดเตร่เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ พวกเขายังสนใจในเรื่องของต้นไม้และสัตว์ต่างๆ อย่างมาก
จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ คือ สังเกตเห็นรูปแบบและคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆชอบจัดระบบสิ่งของที่ สะสมไว้มีความสามารถในการแยกแยะระหว่างสิ่งของในหมวดเดียวกันและสังเกตเห็น ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ




ลักษณะของบุคคลที่มีจุดเด่นหรือมีความสามารถทางปัญญาด้านรู้จักธรรมชาติ
-          ชอบสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์
-          สนใจสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติรอบตัว
-          สนใจความเป็นไปในสังคมรอบตัว ชอบศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ การดำรงชีวิต จิตวิทยา
-          คิดถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม
-          เข้าใจธรรมชาติของพืชและสัตว์ได้เป็นอย่างดี รู้จักชื่อต้นไม้ ดอกไม้หลายชนิด
-          ไวต่อความรู้สึก การเปลี่ยนแปลงของดิน ฟ้า อากาศ
-          สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
-          มีความรู้เรื่องดวงดาว จักรวาล สนใจวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถ
-          ฝึกปฏิบัติงานด้านเกษตรกรรมเกี่ยวกับการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์
-          ศึกษาสังเกต บันทึกความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ลม ฟ้า อากาศ
-          จัดกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษา ค่ายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักสำรวจ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักสิ่งแวดล้อม ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เกษตรกร เป็นต้น


     หากกล่าวโดยสรุปเพียงเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของเด็กๆ  ก็สามารถช่วยเด็กให้ ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ โดยให้ข้อสังเกตว่าการนำเรื่อง Multiple Intelligence มาปรับใช้ในห้องเรียนได้เปลี่ยนทั้งการสอนของครู และการเรียนรู้ของเด็กนักเรียน เพราะจะต้องมีการดูรายละเอียดของความแตกต่างในตัวเด็กเป็นรายบุคคล และจัดสรรกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน

omega45
ความคิดเห็นที่ 8
ชอบมาดเลยครับ

นายตัวดี นายตัวดำ
ความคิดเห็นที่ 9
การประยุกต์การสอนแบบพหุปัญญาในชั้นเรียน

ทฤษฎีพหุปัญญา ได้ขยายขอบเขตของความหมายของคำว่าปัญญาออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นจากเดิม ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนขยายขอบเขตไปอย่างกว้างขวางเช่นกัน แนวทางการนำทฤษฎีพหุปัญญามาใช้ในการเรียนการสอนมีหลากหลายดังนี้

1.เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ที่สามารถส่งเสริมเชาวน์ปัญญาหลายๆ ด้าน มิใช่มุ่งพัฒนาแต่เพียงเชาวน์ปัญญาด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ดังเช่นในอดีต เรามักจะมีการเน้นการพัฒนาด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์หรือด้านการใช้เหตุผล เชิงตรรกะ อันเป็นการพัฒนาสมองซีกซ้ายเป็นหลัก ทำให้ผู้เรียนไม่มีโอกาสพัฒนาเชาวน์ปัญญาด้านอื่น ๆ เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เรียนที่มีเชาวน์ปัญญาด้านอื่นสูง จะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนาในด้านที่ตนมีความสามารถหรือถนัดเป็นพิเศษ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของสติปัญญาหลาย ๆ ด้าน จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมอัจฉริยภาพหรือความสามารถเฉพาะตนของผู้เรียนไปในตัว

2.เนื่องจากผู้เรียนมีระดับพัฒนาการในเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการในแต่ละด้าน ของผู้เรียน ตัว อย่างเช่น เด็กที่มีเชาวน์ปัญญาด้านดนตรีสูงจะพัฒนาปัญญาด้านดนตรีของตนไปอย่างรวดเร็ว ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เด็กที่มีขั้นพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งสูง ควรต้องแตกต่างไปจากเด็กที่มีขั้นพัฒนาการในด้านนั้นต่ำกว่า

3.เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน การผสมผสานของความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่เท่ากันนี้ ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness) หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน หรืออีกนัยหนึ่ง เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน และความแตกต่างที่หลากหลาย (Diversity) นี้ สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังนั้น กระบวนการคิดที่ว่าคนนี้โง่ หรือเก่งกว่าคนนั้นคนนี้จึงควรจะเปลี่ยนไป การสอนควรเน้นการส่งเสริมความเป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียน ครูควรสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนค้นหาเอกลักษณ์ของตน ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเอง และเคารพในเอกลักษณ์ของผู้อื่น  รวมทั้งเห็นคุณค่าและเรียนรู้ที่จะใช้ความ แตกต่างของแต่ละบุคคลให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นนี้ ผู้เรียนก็จะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง ในขณะเดียวกันก็มีความเคารพในผู้อื่น และอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน

4.ระบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปจากแนวคิดเดิมที่ใช้การทดสอบเพื่อวัดความสามารถ ทางเชาวน์ปัญญาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น และที่สำคัญคือ ไม่สัมพันธ์กับบริบทที่แท้จริงที่ใช้ความสามารถนั้น ๆ ตามปกติ วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดี ควรมีการประเมินหลาย ๆ ด้าน และในแต่ละด้านควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น ๆ การประเมินจะต้องครอบคลุมความสามารถในการแก้ปัญหา หรือการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้อุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น อีกวิธีหนึ่งคือการให้เรียนอยู่ในสภาพการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้สติปัญญา หลายด้าน หรือการให้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาหลาย ๆ ด้าน และสังเกตดูว่า ผู้เรียนเลือกใช้เชาวน์ปัญญาด้านใด หรือศึกษาและใช้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านใด มากเพียงไร

Reference

Armstrong T. 1994. Multiple intelligence (Online). Available URL: http://www.thomasarmstrong.com/multiple_intelligences.htm
Gardner H. 2005, August 15. Intelligence in seven steps . (Online). Available URL: http://www.newhorizons.org/future/Creating_the_Future/crfut_gardner.html
Multiple intelligences (H. Gardner) (Online). Available URL: http://www.intelltheory.com/mitheory.shtml

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

Blog แบบฝึกหัดอนุบาล

http://oporlearning.blogspot.com/

แบบฝึกหัดนี้ เกี่ยวกับการเรียนรู้เกี่ยวกับผักและธัญพืช

เครดิต : รูปภาพในแบบฝึกหัด มาจาก คำที่ใช้ในการค้นหาใน google.com

*ดูวิธีการ Print & Save รูปจากด้านล่างนะคะ*

เฉลย1. ง.ต้นกล้วย, 2. ข.ต้นไผ่, 3. ก.ต้นข้าว, 4. ข.ต้นข้าวโพด, 5. ก.ต้นมะพร้าว

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?


Baby girl in the blue suitcase on white background. Ready to travel ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
สถิติกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 8 แสนคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 30 มีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้าไม่สมวัย ร้อยละ 10 พบว่าอยู่ในภาวะเป็นโรค อีกร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่สามารถกระตุ้นให้กลับมามีพัฒนาการที่สมวัยได้ แต่หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องอาจส่งผลถึงพัฒนาการของเด็กในวัยเรียนได้
IMG 1616 224x300 ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
ผศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์
ผ.ศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอธิบายว่า พัฒนาการเด็กเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา โดยจะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ จากเซลล์จึงพัฒนาเป็นตัวอ่อน มีโครงสร้าง มีการเคลื่อนไหว โดยเราสามารถแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ด้าน คือ พัฒนาการทางด้านการเคลื่อนไหว พัฒนาการทางด้านการปรับตัว พัฒนาการทางด้านภาษา และพัฒนาการทางด้านสังคม
อาจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่าในกรณีที่เด็กคลอดออกมาแล้วเราจะดูว่าเด็ก สามารถทำอะไรได้ตามพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละวัย แต่ถ้าเด็กไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามวัย เช่น อายุ 2-3 เดือนแล้วคอยังไม่แข็ง ก็อาจจะเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าเด็กอาจจะมีข้อบกพร่องด้านพัฒนาการการเคลื่อนไหว หรือเด็กอายุ 4-5 เดือนยังไม่สามารถพลิกคว่ำได้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้โครงสร้างของเด็กจะเติบโตควบคู่กับพัฒนาการเสมอ ถ้าเราไม่ฝึกพัฒนาการของเด็กให้ตรงกับวัยก็จะมีปัญหาต่อโครงสร้างของเด็ก เช่น ในกรณีเด็กนอนหงายอย่างเดียวและมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เราเรียกว่า ภาวะปวกเปียก เด็กจะมีลักษณะของขาที่แบะออก ส่งผลกับโครงสร้างของข้อสะโพก ตัวกระดูกที่เป็นเบ้ากระดูกที่มีส่วนหัวกระดูก อาจทำให้มีการเคลื่อนของข้อกระดูกตรงนั้นได้ นอกจากนั้นกล้ามเนื้อจะหดตัวได้ต้องอาศัยอะไรหลาย ๆ อย่างรวมทั้งแรงกระตุ้นจากภายนอกเพื่อให้เด็กเคลื่อนไหว ถ้าเด็กมีพัฒนาช้าก็จะไม่สามารถทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยได้ เช่น ถ้าเด็กไม่สามารถยืนได้ ก็จะไม่สามารถเอื้อมไปหยิบของหรือหนังสือมาเพื่อเสริมพัฒนาการอย่างอื่นหรือ เรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ จะเห็นได้ว่าพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กพัฒนาไป สู่พัฒนาการทางด้านอื่น สำหรับเด็กที่มีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่นก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่เขามี โอกาสที่จะเรียนรู้โลกภายนอกได้มากกว่า
อาจารย์ฝากไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้พื้นฐานเรื่องพัฒนาการในแต่ละ วัยโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกตั้งแต่หลังคลอด สำหรับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดควรสังเกตพัฒนาการของลูกในแต่ละเดือนเป็นพิเศษ หากพัฒนาการของลูกช้าไม่ตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ ควรเก็บข้อสงสัยและพามาพบผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับคำแนะนำ เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาด้านอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกมาตรวจพัฒนาการหรือกระตุ้นพัฒนาการได้ที่ ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 218 1100

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

7 วิธี “เรียนรู้” ของเด็ก

เด็ก ๆ มีวิธีการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งรอบตัวที่แตกต่างกัน บางคนฟังครั้งเดียวรู้เรื่อง แต่กลับไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ บางคนชอบอ่านชอบมอง ชอบสังเกตแต่ไม่ชอบฟัง พ่อแม่ต้องหาวิธีการเรียนรู้ที่เข้ากับลูกให้ได้นะคะ แล้วคุณจะรู้ว่าควรสอนลูกอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด
"เรียนรู้" ด้วยการมอง 

ผู้เรียนรู้ทางสายตาชอบเรียนรู้ผ่านการมองเห็น ผู้เรียนกลุ่มนี้จะทำความเข้าใจได้ดีจากรูปภาพ ภาพถ่าย แผนผัง และอื่น ๆ ที่ใช้ในการแสดง และอธิบายกรอบความคิด คุณสามารถใช้วีดีโอ และแผ่นป้ายสื่อการสอน ตกแต่งห้องด้วยแผ่นป้าย หรือภาพพิมพ์การศึกษาต่าง ๆ เช่นระบบสุริยะ หรือเรื่องทั่ว ๆ ไปเช่น อาหารของเรามาจากไหน สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้ทางสายตาเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนรู้ทางสายตาจะซึมซับ และเรียนรู้ได้ดีจากการทัศนศึกษานอกสถานที่ไปสวนสัตว์ โรงละคร และจากรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาต่าง ๆ เช่น Discovery Channel, Animal Planet, และ History Channel

"เรียนรู้" ด้วยการฟัง 

ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทคือผู้ที่ฟังได้ดีที่สุด วิธีการทำให้ผู้เรียนกลุ่มนี้เรียนได้ดียิ่งขึ้นคือ การให้อ่านออกเสียง การใช้ดนตรี หนังสือเสียง และสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ คุณสามารถส่งเสริมทักษะทางการอ่าน ดนตรี และภาษาได้ง่าย ๆ ผ่านสื่อเหล่านี้ แต่ว่าสำหรับทักษะด้านคณิตศาสตร์นั้นคุณต้องใช้วีดีโอคณิตศาสตร์เข้าช่วย ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทจะเรียนรู้ได้ดีกับบริบทการเรียนแบบฟังการบรรยาย แต่ว่าครูผู้สอนที่เน้นการปฏิบัติจริง หรือคาดหวังให้นักเรียนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองเป็นส่วนมากจะทำให้ลำบากสักหน่อยกับการเรียนการสอนในบริบทนี้ ผู้เรียนจึงต้องอาศัยการเสริมด้วยการฟังด้วยตนเองที่บ้าน

 "เรียนรู้" ทางถ้อยคำภาษา

ผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาเป็นเด็กที่มีความยืดหยุ่น และสามารถรอบด้านมากที่สุด ความรักในถ้อยคำ และเสียงทำให้การเรียนรู้สนุก และน่าสนใจสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้ไม่ว่าเด็กจะเรียนรู้ด้วยวิธีไหนก็ตาม เด็กที่สนุกกับถ้อยคำมักจะชื่นชอบการฟัง และการอ่านไปด้วย อาจจะชอบวิธีใดวิธีหนึ่งมากกว่าอีกวิธี แต่จะชอบทั้งสองตัวเลือกอยู่ดี วิธีการเพิ่มพูนทักษะของผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาที่ดี คือคุณควรใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูก หรืออ่านให้ลูกฟังให้มากที่สุด ให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับหัวข้อ และรูปแบบของสิ่งที่อ่านที่หลากหลาย ทั้งตำราทำอาหารที่จะช่วยเพิ่มพูนทักษะทางคณิตศาสตร์ หนังสือภาพหาของที่ซ่อนอยู่ เกมปริศนาหาคำ อักษรไขว้ และหนังสือภาพต่าง ๆ นอกจากนี้เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานไปกับการเล่นเกมกระดานที่ต้องอ่านคำสั่ง ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน

 "เรียนรู้" ทางร่างกาย

ผู้เรียนรู้ทางร่างกายเป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้ผ่านทางการสัมผัส และความเคลื่อนไหว ทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือกิจกรรมเน้นการปฏิบัติจริง ต่าง ๆ เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะทำได้ดีในชั้นเรียนที่มีโครงงานที่ต้องให้ทำ อะไรสักอย่าง ทั้งการสร้าง การเต้น การเคลื่อนไหว การแสดง คุณคงจะเข้าใจแล้วล่ะ วิชาที่เด็กกลุ่มนี้ชื่นชอบมักจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ พละ และการแสดง พวกแกจะทำได้ดีเลิศในวิชาอื่น ๆ ถ้ามีบรรยากาศที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างบรรยากาศเหล่านี้ที่บ้านเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ได้ เช่น ให้ชุดอุปกรณ์ศิลปะ ทำอาหาร ทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กระทั่งงานบ้าน เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะสนุกสนานกับการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่เป็น มิตรกับเด็ก ๆ และมีสื่อผสมเชิงโต้ตอบมากมาย มากมาย นอกจากนี้พวกแกจะสนุกไปกับงานไม้ งานปั้น และการทำงานร่วมกับสัตว์อีกด้วย

 

 "เรียนรู้" ทางตรรกะ

ผู้เรียนรู้ทางตรรกะคือเด็กที่คิดอย่างรอบคอบ อาจดูเหมือนจะทำอะไรช้า แต่อย่าเพิ่งตัดสินจากลักษณะภายนอกเช่นนั้น เพราะเด็กแค่คิดคำนวนถึงผลลัพธ์ก่อนที่จะพูด หรือทำเท่านั้นเอง ผู้เรียนรู้ทางตรรกะมักจะเป็นผู้เรียนรู้ทางสายตาด้วย เด็กกลุ่มนี้จะชอบเห็นตรรกะในความคิดตัวเองออกมาเป็นผล คุณจะไม่ประหลาดใจเลยที่เหล่าผู้เรียนรู้ทางตรรกะจะเป็นเลิศในวิชา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เหตุผลน่ะหรือ? เพราะพวกเขาสามารถเห็นผลลัพธ์ของความคิด ทุกอย่างที่ทำต้องสามารถเข้าใจได้ และต้องเป็นวิธีการแก้ปัญหา วิธีช่วยให้ผู้เรียนทางตรรกะสามารถตักตวงได้มากที่สุดจากการประสบการณ์การ เรียนรู้คือการพูดคุยกับเด็กในทุก ๆ เรื่อง ฟังและร่วมแบ่งปันความคิดเห็น และถามว่าจะแก้ไขปัญหาบางเรื่องอย่างไร นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เด็กฝึกแก้ปัญหาในรูปแบบของปริศนา เกม หนังสือเรื่องลี้ลับ และตรรกะ รวมถึงชุดอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานกับการนั่งชมวีดีโอ และภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหา และทางแก้ไข แต่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบเรื่องราวเพ้อฝัน และเทพนิยาย

บุคลิกภาพก็สำคัญ

 นอกเหนือจากรูปแบบการ "เรียนรู้" (หรือการผสมผสานรูปแบบการเรียน) ของลูกคุณ แล้ว คุณจะต้องพิจารณาบุคลิกภาพของลูกคุณด้วยว่าเขาเป็นคนรักสังคม หรือรักสันโดษ พูดอีกอย่างก็คือ ลูกชอบทำงานเป็นกลุ่ม รวมทั้งชอบเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากกว่าอยู่คนเดียวรึเปล่า? ลูกเป็นเด็กที่จะถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่าย ๆ จากงานที่กำลังทำอยู่ถ้ามีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ รึเปล่า?

เมื่อคุณรู้แล้ว คุณจะสามารถเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้กับลูกของคุณที่จะทำให้การ เรียนรู้สนุกสนานได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น ลองคิดถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดู

ผู้เรียนที่รักสังคมจะ... มีความสุขที่สุดเมื่ออยู่กับเพื่อน สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน หรือได้ยิน และร่วมในการสนทนาสองวง หรือสองสถานการณ์ได้ในเวลาเดียวกัน สนุกสนาน หรือกระทั่งชื่นชอบกีฬาประเภททีมอย่างมาก ไม่รู้สึกกลัว หรือถูกคุกคามเมื่อถูกเรียกในชั้นเรียน เพลินเพลินไปกับโครงงานต่าง ๆ ในชั้นเรียน แสดงออกถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแม้จะยังอายุน้อย เชื่อมโยงเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยความสนใจอย่างจริงใจ

 สำหรับผู้ที่รักสันโดษ....

มักจะชอบอยู่บ้านมากกว่าที่จะออกไปไหนต่อไหน ไม่ชอบเล่นกีฬาเป็นทีม แต่จะเลือกว่ายน้ำ ขี่ม้า หรือกิจกรรมที่เล่นเดี่ยว ๆ ได้มากกว่ากีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม ไม่ชอบเสียงดัง ๆ และรู้สึกว่าเสียงดัง ๆ น่ารำคาญ ชอบที่จะทำงานคนเดียวมากกว่า ไม่เคยมีความคิดริเริ่มที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม มักจะไม่ค่อยยอมอ่านออกเสียง หรือพูดในชั้น มักจะมีเพื่อนสนิทแค่คนสองคนมากกว่าหลาย ๆ คน

การช่วยเสริมสร้างการ "เรียนรู้" ของลูกคุณนั้น คุณต้องรู้นิสัยลูกของคุณให้ดี และรู้ว่าอะไรเหมาะกับเขา และนั่นจะช่วยให้คุณทำให้ชีวิตของลูกคุณเครียดน้อยลง และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น นั่นเป็นการมอบเครื่องมือให้กับลูกของคุณ และช่วยให้ลูกสามารถสนุกสนาน และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นที่โรงเรียนอีกด้วย

 

 

เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน


 เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน
– สิ่งแรกที่เด็กไทยร้อยละ 51.1 ทำอย่างแรกหลังจากตื่นนอนคือการเช็คโทรศัพท์มือถือ
– สิ่งสุดท้ายที่เด็กไทยร้อยละ  35 ทำก่อนนอนคือการเล่น Facebook และ LINE
– เด็กไทยมีตัวเลขการใช้โทรศัพท์มือถือสูงขึ้น 2-3 เท่าในหนึ่งปี
– เด็กไทยร้อยละ 75.7 เล่น Social Network บ่อยจนไปถึงประจำ
– เด็กนักเรียนหญิงเล่น Social Network มากกว่านักเรียนชาย
– เด็กไทยร้อยละ 20.3 มีการใช้มือถือระหว่างคาบเรียนบ่อยถึงประจำ
– เด็กไทยร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีโทรศัพท์
– เด็กไทยร้อยละ 28.7 ระบุว่าถูกคุกคามทางเพศจากเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันบน Social Media
นอกจากนี้ผลวิจัยจากบริษัทมือถือแห่งหนึ่งยังชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีมือถือและใช้มือถืออันดับหนึ่งของเอเชีย ทั้งทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่ง แถมวัยรุ่นไทยมีเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่ง สถิติการมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเด็กไทยยังสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย ร้อยละ 23 ของวัยรุ่นไทยบอกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมือถือ =_=!
สถิตินี้กำลังบอกอะไรกับเราอยู่? กำลังบอกว่าลูกหลานของเรามีเพื่อนเป็น “โทรศัพท์มือถือ” กันอยู่ใช่หรือไม่? หรือกำลังบอกไปถึงสาเหตุของอะไรบางอย่างที่เรากำลังค้นหาเหตุผล เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กไทย ที่ส่งผลให้ปัจจุบันนักบำบัดและจิตแพทย์เด็กต้องมาทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาให้กับเด็กที่เกิดมามี “ภาวะปกติ” มากกว่าเด็กที่มีภาวะพิเศษแบบต่าง ๆ กันอยู่ค่ะ
เปลี่ยนผู้ร้าย IT ให้เป็นพระเอกตัวจริง
กล้ามเนื้อมือ เป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ในการพัฒนาสมองของลูกค่ะ เพราะนิ้วมือแต่ละนิ้วของลูกมีความสัมพันธ์กับสมองในแต่ละส่วนและการพัฒนาด้านต่าง
– นิ้วโป้ง สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหน้าซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านจิตใจ
– นิ้วชี้ สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหลังซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านความคิด
– นิ้วกลาง สัมพันธ์กับสมองกลีบข้างขม่อมซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย
– นิ้วนาง สัมพันธ์กับสมองกลีบขมับซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการฟัง
– นิ้วก้อย สัมพันธ์กับสมองกลีบท้ายทอยซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการมอง
loving mother son homework เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กควรได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมาก ๆ
นักการศึกษาหลายท่านจึงมุ่งเน้นการพัฒนาเด็ก ๆ ด้วยการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำให้มากที่สุดเพราะนอกจากจะได้ ฝึกกำลังของกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญานไปพัฒนาสมองส่วนต่าง ๆ ของเด็กได้อีกด้วย ความลับของสมองอีกข้อหนึ่ง คือการปฏิวัติตนเองแบบอัตโนมัติทุก ๆ 7 ปี ไปสู่การพัฒนาในขั้นที่สูงขึ้น เด็กหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใดใดมาก็อาจจะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ไม่ได้ไปถึงขั้นสูงสุดของศักยภาพสมอง เพราะในช่วงสำคัญ 0-7 ปี มีโอกาสในการได้ใช้นิ้วมือทั้ง 5 เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส อาทิ ทราย แป้งปั้น น้ำ ฯลฯ น้อยกว่าเด็กคนอื่น ๆ เมื่อกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสนี้มีข้อมูลที่น้อย การนำความจำเดิมที่เป็นประโยชน์ตอนที่สมองปฏิวัติตนเองก็เลยไปไม่ถึงจุดสูง สุด เมื่อเด็กโตขึ้นจนเลยวัยสำคัญ ปัญหาของการใช้ “นิ้วมือ” ที่น้อยก็จะไปส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กไทย ดังที่เห็นในงานวิจัยค่ะ
แล้วเกี่ยวอย่างไรกับการเขียน? ปัญหาเรื่องลายมือ ปัญหาเรื่องการเขียนกลับด้าน ปัญหาเรื่องการมีความพยายามต่ำ ฯลฯ เป็นปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวิถีชีวิตในปัจจุบันทั้งสิ้นค่ะ การออกแบบเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราซึ่งเป็นแม่บ้านในยุคใหม่ สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างสะดวกสบายขึ้น กลายมาเป็นตัวขวางการพัฒนาการของข้อมือของเด็กในช่วงที่ถึงวัยต้องจับปากกา ดินสอ ก็เพราะว่า “ที่พยุงเด็กฝึกเดิน” ไปทำให้โอกาสในการคลานของเด็ก ๆ “ลดลง” แบบที่เราก็ไม่เคยคาดคิดค่ะ เมื่อข้อต่อบริเวณข้อมือไม่ได้ฝึกรับน้ำหนักมาตั้งแต่วัยหัดคลาน พอถึงวัยหัดเขียนคุณพ่อคุณแม่หรือแม่กระทั่งคุณครู ต้องมาเห็นบรรยากาศการวาดรูปด้วยน้ำตาของลูกแทนที่จะเป็นการปลดปล่อย จินตนาการ นักบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทในการฝึกคลาน หรือฝึกทำท่าไถนา (ให้เด็กใช้มือตั้งศอกตรงวางลงบนพื้นและผู้ฝึกยกขาให้เด็กเดินไปข้างหน้า เหมือนไถนา) นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำหน้าที่จนทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาลูก แบบที่หลายครอบครัวคงคิดไม่ถึงนะคะ
ทำให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
ทั้งนี้เมื่อรวมเข้ากับวิธีการใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ Generation Y อย่างพวกเราแล้วละก็ ยังมีอีกหลายข้อ ที่ความสะดวกรวดเร็วกำลังกลับมาเป็นปัญหาที่ต้องมาแก้เมื่อลูกถึงวัยที่ควร จะพัฒนาได้ค่ะ จากปัญหาการไม่อยากขีด ๆ เขียน ๆ มาประกอบกับการแทนที่ของเครื่องมือลาก ๆ จิ้ม ๆ ที่ง่ายสำหรับการใช้งาน เเถมยังสนุกเพราะเป็นการกระตุ้นสมองด้านเดียวคือ ด้านความคิด (ส่วนใหญ่ใช้นิ้วชี้) เด็ก ๆ จึงสนุกคิด แต่ไม่สนุกทำ ความสามารถในการคิดฝันจิตนาการ project ต่าง ๆ สูงลิ่ว แต่ความสามารถในการลงมือทำต่ำแบบสวนทางกันค่ะ จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยประถมศึกษา จะเป็นวัยที่พบว่าเด็กมีปัญหาในการเรียนสูงมากขึ้น ๆ เมื่อถึงวัยมัธยมก็ได้กลายไปเป็นเด็กหลังห้องให้คุณครูและผู้ปกครองตามแก้ กันอย่างน่าปวดหัวค่ะ
การเขียนของเด็กในวันนี้สะท้อนภาพอะไรที่มากมาย เราลองกลับมาให้เครื่องมือง่าย ๆ เช่น กะบะทราย ดินสอ สี กระดาษ ใบไม้ใบหญ้า หรือดินเหนียวกับลูก ๆ ให้ลูกได้เรียนรู้จากสัมผัสที่มากพอเพื่อเป็นประสบการณ์ของสมองที่สมดุลย์ ก่อนที่จะต้องกลับมาซ่อมแซมและสร้างสมดุลย์ที่เสียไปกันดีไหมค่ะทุกท่าน ^_^
โดย ครูป๋วย