
เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน
– สิ่งแรกที่เด็กไทยร้อยละ 51.1 ทำอย่างแรกหลังจากตื่นนอนคื
อการเช็คโทรศัพท์มือถือ
– สิ่งสุดท้ายที่เด็กไทยร้อยละ 35 ทำก่อนนอนคือการเล่น Facebook และ LINE
– เด็กไทยมีตัวเลขการใช้โทรศัพท์
มือถือสูงขึ้น 2-3 เท่าในหนึ่งปี
– เด็กไทยร้อยละ 75.7 เล่น Social Network บ่อยจนไปถึงประจำ
– เด็กนักเรียนหญิงเล่น Social Network มากกว่านักเรียนชาย
– เด็กไทยร้อยละ 20.3 มีการใช้มือถือระหว่างคาบเรี
ยนบ่อยถึงประจำ
– เด็กไทยร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดี
ยวโดยไม่มีโทรศัพท์
– เด็กไทยร้อยละ 28.7 ระบุว่าถูกคุกคามทางเพศจากเพื่
อนใหม่ที่รู้จักกันบน Social Media
นอกจากนี้ผลวิจัยจากบริษัทมือถื
อแห่งหนึ่งยังชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีมือถือและใช้มือถื
ออันดับหนึ่งของเอเชีย ทั้งทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์
มือถืออันดับหนึ่ง แถมวัยรุ่นไทยมีเพื่อนในเครือข่
ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่ง สถิติการมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊
ะของเด็กไทยยังสูงที่สุดในเอเชี
ยอีกด้วย ร้อยละ 23 ของวัยรุ่นไทยบอกอยู่ไม่ได้ถ้
าไม่มีมือถือ =_=!
สถิตินี้กำลังบอกอะไรกับเราอยู่
? กำลังบอกว่าลูกหลานของเรามีเพื่
อนเป็น “โทรศัพท์มือถือ” กันอยู่ใช่หรือไม่? หรือกำลังบอกไปถึงสาเหตุ
ของอะไรบางอย่างที่เรากำลังค้
นหาเหตุผล เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กไทย ที่ส่งผลให้ปัจจุบันนักบำบั
ดและจิตแพทย์เด็กต้องมาทำหน้าที
่ในการแก้ปัญหาให้กับเด็กที่เกิ
ดมามี “ภาวะปกติ” มากกว่าเด็กที่มีภาวะพิเศษแบบต่
าง ๆ กันอยู่ค่ะ
เปลี่ยนผู้ร้าย IT ให้เป็นพระเอกตัวจริง
กล้ามเนื้อมือ เป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ในการพั
ฒนาสมองของลูกค่ะ เพราะนิ้วมือแต่ละนิ้วของลูกมี
ความสัมพันธ์กับสมองในแต่ละส่
วนและการพัฒนาด้านต่าง
– นิ้วโป้ง สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหน้าซึ่
งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านจิตใจ
– นิ้วชี้ สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหลังซึ่
งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านความคิด
– นิ้วกลาง สัมพันธ์กับสมองกลีบข้างขม่อมซึ
่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย
– นิ้วนาง สัมพันธ์กับสมองกลีบขมับซึ่งเกี
่ยวกับพัฒนาการด้านการฟัง
– นิ้วก้อย สัมพันธ์กับสมองกลีบท้ายทอยซึ่
งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการมอง

เด็กควรได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมาก ๆ
นักการศึกษาหลายท่านจึงมุ่งเน้นการพัฒนาเด็ก ๆ
ด้วยการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำให้มากที่สุดเพราะนอกจากจะได้
ฝึกกำลังของกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญานไปพัฒนาสมองส่วนต่าง ๆ
ของเด็กได้อีกด้วย ความลับของสมองอีกข้อหนึ่ง
คือการปฏิวัติตนเองแบบอัตโนมัติทุก ๆ 7 ปี ไปสู่การพัฒนาในขั้นที่สูงขึ้น
เด็กหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใดใดมาก็อาจจะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ
ได้ แต่ไม่ได้ไปถึงขั้นสูงสุดของศักยภาพสมอง เพราะในช่วงสำคัญ 0-7 ปี
มีโอกาสในการได้ใช้นิ้วมือทั้ง 5 เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ที่เป็นสื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส อาทิ ทราย แป้งปั้น น้ำ ฯลฯ
น้อยกว่าเด็กคนอื่น ๆ เมื่อกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสนี้มีข้อมูลที่น้อย
การนำความจำเดิมที่เป็นประโยชน์ตอนที่สมองปฏิวัติตนเองก็เลยไปไม่ถึงจุดสูง
สุด เมื่อเด็กโตขึ้นจนเลยวัยสำคัญ ปัญหาของการใช้ “นิ้วมือ”
ที่น้อยก็จะไปส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กไทย
ดังที่เห็นในงานวิจัยค่ะ
แล้วเกี่ยวอย่างไรกับการเขียน? ปัญหาเรื่องลายมือ
ปัญหาเรื่องการเขียนกลับด้าน ปัญหาเรื่องการมีความพยายามต่ำ ฯลฯ
เป็นปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวิถีชีวิตในปัจจุบันทั้งสิ้นค่ะ
การออกแบบเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราซึ่งเป็นแม่บ้านในยุคใหม่
สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างสะดวกสบายขึ้น
กลายมาเป็นตัวขวางการพัฒนาการของข้อมือของเด็กในช่วงที่ถึงวัยต้องจับปากกา
ดินสอ ก็เพราะว่า “ที่พยุงเด็กฝึกเดิน” ไปทำให้โอกาสในการคลานของเด็ก ๆ
“ลดลง” แบบที่เราก็ไม่เคยคาดคิดค่ะ
เมื่อข้อต่อบริเวณข้อมือไม่ได้ฝึกรับน้ำหนักมาตั้งแต่วัยหัดคลาน
พอถึงวัยหัดเขียนคุณพ่อคุณแม่หรือแม่กระทั่งคุณครู
ต้องมาเห็นบรรยากาศการวาดรูปด้วยน้ำตาของลูกแทนที่จะเป็นการปลดปล่อย
จินตนาการ นักบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทในการฝึกคลาน หรือฝึกทำท่าไถนา
(ให้เด็กใช้มือตั้งศอกตรงวางลงบนพื้นและผู้ฝึกยกขาให้เด็กเดินไปข้างหน้า
เหมือนไถนา) นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ที่เครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำหน้าที่จนทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาลูก
แบบที่หลายครอบครัวคงคิดไม่ถึงนะคะ
ทำให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
ทั้งนี้เมื่อรวมเข้ากับวิธีการใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ Generation Y
อย่างพวกเราแล้วละก็ ยังมีอีกหลายข้อ
ที่ความสะดวกรวดเร็วกำลังกลับมาเป็นปัญหาที่ต้องมาแก้เมื่อลูกถึงวัยที่ควร
จะพัฒนาได้ค่ะ จากปัญหาการไม่อยากขีด ๆ เขียน ๆ
มาประกอบกับการแทนที่ของเครื่องมือลาก ๆ จิ้ม ๆ ที่ง่ายสำหรับการใช้งาน
เเถมยังสนุกเพราะเป็นการกระตุ้นสมองด้านเดียวคือ ด้านความคิด
(ส่วนใหญ่ใช้นิ้วชี้) เด็ก ๆ จึงสนุกคิด แต่ไม่สนุกทำ
ความสามารถในการคิดฝันจิตนาการ project ต่าง ๆ สูงลิ่ว
แต่ความสามารถในการลงมือทำต่ำแบบสวนทางกันค่ะ
จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยประถมศึกษา
จะเป็นวัยที่พบว่าเด็กมีปัญหาในการเรียนสูงมากขึ้น ๆ
เมื่อถึงวัยมัธยมก็ได้กลายไปเป็นเด็กหลังห้องให้คุณครูและผู้ปกครองตามแก้
กันอย่างน่าปวดหัวค่ะ
การเขียนของเด็กในวันนี้สะท้อนภาพอะไรที่มากมาย
เราลองกลับมาให้เครื่องมือง่าย ๆ เช่น กะบะทราย ดินสอ สี กระดาษ
ใบไม้ใบหญ้า หรือดินเหนียวกับลูก ๆ
ให้ลูกได้เรียนรู้จากสัมผัสที่มากพอเพื่อเป็นประสบการณ์ของสมองที่สมดุลย์
ก่อนที่จะต้องกลับมาซ่อมแซมและสร้างสมดุลย์ที่เสียไปกันดีไหมค่ะทุกท่าน ^_^
โดย ครูป๋วย