วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?


Baby girl in the blue suitcase on white background. Ready to travel ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
สถิติกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 8 แสนคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 30 มีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้าไม่สมวัย ร้อยละ 10 พบว่าอยู่ในภาวะเป็นโรค อีกร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่สามารถกระตุ้นให้กลับมามีพัฒนาการที่สมวัยได้ แต่หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องอาจส่งผลถึงพัฒนาการของเด็กในวัยเรียนได้
IMG 1616 224x300 ลูกพัฒนาการช้าทำอย่างไรดี?
ผศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์
ผ.ศ. แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอธิบายว่า พัฒนาการเด็กเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา โดยจะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ จากเซลล์จึงพัฒนาเป็นตัวอ่อน มีโครงสร้าง มีการเคลื่อนไหว โดยเราสามารถแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ด้าน คือ พัฒนาการทางด้านการเคลื่อนไหว พัฒนาการทางด้านการปรับตัว พัฒนาการทางด้านภาษา และพัฒนาการทางด้านสังคม
อาจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่าในกรณีที่เด็กคลอดออกมาแล้วเราจะดูว่าเด็ก สามารถทำอะไรได้ตามพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละวัย แต่ถ้าเด็กไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามวัย เช่น อายุ 2-3 เดือนแล้วคอยังไม่แข็ง ก็อาจจะเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าเด็กอาจจะมีข้อบกพร่องด้านพัฒนาการการเคลื่อนไหว หรือเด็กอายุ 4-5 เดือนยังไม่สามารถพลิกคว่ำได้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้โครงสร้างของเด็กจะเติบโตควบคู่กับพัฒนาการเสมอ ถ้าเราไม่ฝึกพัฒนาการของเด็กให้ตรงกับวัยก็จะมีปัญหาต่อโครงสร้างของเด็ก เช่น ในกรณีเด็กนอนหงายอย่างเดียวและมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เราเรียกว่า ภาวะปวกเปียก เด็กจะมีลักษณะของขาที่แบะออก ส่งผลกับโครงสร้างของข้อสะโพก ตัวกระดูกที่เป็นเบ้ากระดูกที่มีส่วนหัวกระดูก อาจทำให้มีการเคลื่อนของข้อกระดูกตรงนั้นได้ นอกจากนั้นกล้ามเนื้อจะหดตัวได้ต้องอาศัยอะไรหลาย ๆ อย่างรวมทั้งแรงกระตุ้นจากภายนอกเพื่อให้เด็กเคลื่อนไหว ถ้าเด็กมีพัฒนาช้าก็จะไม่สามารถทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยได้ เช่น ถ้าเด็กไม่สามารถยืนได้ ก็จะไม่สามารถเอื้อมไปหยิบของหรือหนังสือมาเพื่อเสริมพัฒนาการอย่างอื่นหรือ เรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ จะเห็นได้ว่าพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กพัฒนาไป สู่พัฒนาการทางด้านอื่น สำหรับเด็กที่มีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่นก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่เขามี โอกาสที่จะเรียนรู้โลกภายนอกได้มากกว่า
อาจารย์ฝากไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้พื้นฐานเรื่องพัฒนาการในแต่ละ วัยโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกตั้งแต่หลังคลอด สำหรับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดควรสังเกตพัฒนาการของลูกในแต่ละเดือนเป็นพิเศษ หากพัฒนาการของลูกช้าไม่ตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ ควรเก็บข้อสงสัยและพามาพบผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับคำแนะนำ เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาด้านอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกมาตรวจพัฒนาการหรือกระตุ้นพัฒนาการได้ที่ ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 218 1100

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

7 วิธี “เรียนรู้” ของเด็ก

เด็ก ๆ มีวิธีการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งรอบตัวที่แตกต่างกัน บางคนฟังครั้งเดียวรู้เรื่อง แต่กลับไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ บางคนชอบอ่านชอบมอง ชอบสังเกตแต่ไม่ชอบฟัง พ่อแม่ต้องหาวิธีการเรียนรู้ที่เข้ากับลูกให้ได้นะคะ แล้วคุณจะรู้ว่าควรสอนลูกอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด
"เรียนรู้" ด้วยการมอง 

ผู้เรียนรู้ทางสายตาชอบเรียนรู้ผ่านการมองเห็น ผู้เรียนกลุ่มนี้จะทำความเข้าใจได้ดีจากรูปภาพ ภาพถ่าย แผนผัง และอื่น ๆ ที่ใช้ในการแสดง และอธิบายกรอบความคิด คุณสามารถใช้วีดีโอ และแผ่นป้ายสื่อการสอน ตกแต่งห้องด้วยแผ่นป้าย หรือภาพพิมพ์การศึกษาต่าง ๆ เช่นระบบสุริยะ หรือเรื่องทั่ว ๆ ไปเช่น อาหารของเรามาจากไหน สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้ทางสายตาเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนรู้ทางสายตาจะซึมซับ และเรียนรู้ได้ดีจากการทัศนศึกษานอกสถานที่ไปสวนสัตว์ โรงละคร และจากรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาต่าง ๆ เช่น Discovery Channel, Animal Planet, และ History Channel

"เรียนรู้" ด้วยการฟัง 

ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทคือผู้ที่ฟังได้ดีที่สุด วิธีการทำให้ผู้เรียนกลุ่มนี้เรียนได้ดียิ่งขึ้นคือ การให้อ่านออกเสียง การใช้ดนตรี หนังสือเสียง และสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ คุณสามารถส่งเสริมทักษะทางการอ่าน ดนตรี และภาษาได้ง่าย ๆ ผ่านสื่อเหล่านี้ แต่ว่าสำหรับทักษะด้านคณิตศาสตร์นั้นคุณต้องใช้วีดีโอคณิตศาสตร์เข้าช่วย ผู้เรียนรู้ทางโสตประสาทจะเรียนรู้ได้ดีกับบริบทการเรียนแบบฟังการบรรยาย แต่ว่าครูผู้สอนที่เน้นการปฏิบัติจริง หรือคาดหวังให้นักเรียนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองเป็นส่วนมากจะทำให้ลำบากสักหน่อยกับการเรียนการสอนในบริบทนี้ ผู้เรียนจึงต้องอาศัยการเสริมด้วยการฟังด้วยตนเองที่บ้าน

 "เรียนรู้" ทางถ้อยคำภาษา

ผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาเป็นเด็กที่มีความยืดหยุ่น และสามารถรอบด้านมากที่สุด ความรักในถ้อยคำ และเสียงทำให้การเรียนรู้สนุก และน่าสนใจสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้ไม่ว่าเด็กจะเรียนรู้ด้วยวิธีไหนก็ตาม เด็กที่สนุกกับถ้อยคำมักจะชื่นชอบการฟัง และการอ่านไปด้วย อาจจะชอบวิธีใดวิธีหนึ่งมากกว่าอีกวิธี แต่จะชอบทั้งสองตัวเลือกอยู่ดี วิธีการเพิ่มพูนทักษะของผู้เรียนทางถ้อยคำภาษาที่ดี คือคุณควรใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูก หรืออ่านให้ลูกฟังให้มากที่สุด ให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับหัวข้อ และรูปแบบของสิ่งที่อ่านที่หลากหลาย ทั้งตำราทำอาหารที่จะช่วยเพิ่มพูนทักษะทางคณิตศาสตร์ หนังสือภาพหาของที่ซ่อนอยู่ เกมปริศนาหาคำ อักษรไขว้ และหนังสือภาพต่าง ๆ นอกจากนี้เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานไปกับการเล่นเกมกระดานที่ต้องอ่านคำสั่ง ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน

 "เรียนรู้" ทางร่างกาย

ผู้เรียนรู้ทางร่างกายเป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้ผ่านทางการสัมผัส และความเคลื่อนไหว ทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือกิจกรรมเน้นการปฏิบัติจริง ต่าง ๆ เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะทำได้ดีในชั้นเรียนที่มีโครงงานที่ต้องให้ทำ อะไรสักอย่าง ทั้งการสร้าง การเต้น การเคลื่อนไหว การแสดง คุณคงจะเข้าใจแล้วล่ะ วิชาที่เด็กกลุ่มนี้ชื่นชอบมักจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ พละ และการแสดง พวกแกจะทำได้ดีเลิศในวิชาอื่น ๆ ถ้ามีบรรยากาศที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างบรรยากาศเหล่านี้ที่บ้านเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ได้ เช่น ให้ชุดอุปกรณ์ศิลปะ ทำอาหาร ทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กระทั่งงานบ้าน เด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนรู้ทางร่างกายจะสนุกสนานกับการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่เป็น มิตรกับเด็ก ๆ และมีสื่อผสมเชิงโต้ตอบมากมาย มากมาย นอกจากนี้พวกแกจะสนุกไปกับงานไม้ งานปั้น และการทำงานร่วมกับสัตว์อีกด้วย

 

 "เรียนรู้" ทางตรรกะ

ผู้เรียนรู้ทางตรรกะคือเด็กที่คิดอย่างรอบคอบ อาจดูเหมือนจะทำอะไรช้า แต่อย่าเพิ่งตัดสินจากลักษณะภายนอกเช่นนั้น เพราะเด็กแค่คิดคำนวนถึงผลลัพธ์ก่อนที่จะพูด หรือทำเท่านั้นเอง ผู้เรียนรู้ทางตรรกะมักจะเป็นผู้เรียนรู้ทางสายตาด้วย เด็กกลุ่มนี้จะชอบเห็นตรรกะในความคิดตัวเองออกมาเป็นผล คุณจะไม่ประหลาดใจเลยที่เหล่าผู้เรียนรู้ทางตรรกะจะเป็นเลิศในวิชา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เหตุผลน่ะหรือ? เพราะพวกเขาสามารถเห็นผลลัพธ์ของความคิด ทุกอย่างที่ทำต้องสามารถเข้าใจได้ และต้องเป็นวิธีการแก้ปัญหา วิธีช่วยให้ผู้เรียนทางตรรกะสามารถตักตวงได้มากที่สุดจากการประสบการณ์การ เรียนรู้คือการพูดคุยกับเด็กในทุก ๆ เรื่อง ฟังและร่วมแบ่งปันความคิดเห็น และถามว่าจะแก้ไขปัญหาบางเรื่องอย่างไร นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เด็กฝึกแก้ปัญหาในรูปแบบของปริศนา เกม หนังสือเรื่องลี้ลับ และตรรกะ รวมถึงชุดอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เด็กกลุ่มนี้จะสนุกสนานกับการนั่งชมวีดีโอ และภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหา และทางแก้ไข แต่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบเรื่องราวเพ้อฝัน และเทพนิยาย

บุคลิกภาพก็สำคัญ

 นอกเหนือจากรูปแบบการ "เรียนรู้" (หรือการผสมผสานรูปแบบการเรียน) ของลูกคุณ แล้ว คุณจะต้องพิจารณาบุคลิกภาพของลูกคุณด้วยว่าเขาเป็นคนรักสังคม หรือรักสันโดษ พูดอีกอย่างก็คือ ลูกชอบทำงานเป็นกลุ่ม รวมทั้งชอบเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากกว่าอยู่คนเดียวรึเปล่า? ลูกเป็นเด็กที่จะถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่าย ๆ จากงานที่กำลังทำอยู่ถ้ามีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ รึเปล่า?

เมื่อคุณรู้แล้ว คุณจะสามารถเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้กับลูกของคุณที่จะทำให้การ เรียนรู้สนุกสนานได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น ลองคิดถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดู

ผู้เรียนที่รักสังคมจะ... มีความสุขที่สุดเมื่ออยู่กับเพื่อน สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน หรือได้ยิน และร่วมในการสนทนาสองวง หรือสองสถานการณ์ได้ในเวลาเดียวกัน สนุกสนาน หรือกระทั่งชื่นชอบกีฬาประเภททีมอย่างมาก ไม่รู้สึกกลัว หรือถูกคุกคามเมื่อถูกเรียกในชั้นเรียน เพลินเพลินไปกับโครงงานต่าง ๆ ในชั้นเรียน แสดงออกถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแม้จะยังอายุน้อย เชื่อมโยงเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยความสนใจอย่างจริงใจ

 สำหรับผู้ที่รักสันโดษ....

มักจะชอบอยู่บ้านมากกว่าที่จะออกไปไหนต่อไหน ไม่ชอบเล่นกีฬาเป็นทีม แต่จะเลือกว่ายน้ำ ขี่ม้า หรือกิจกรรมที่เล่นเดี่ยว ๆ ได้มากกว่ากีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม ไม่ชอบเสียงดัง ๆ และรู้สึกว่าเสียงดัง ๆ น่ารำคาญ ชอบที่จะทำงานคนเดียวมากกว่า ไม่เคยมีความคิดริเริ่มที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม มักจะไม่ค่อยยอมอ่านออกเสียง หรือพูดในชั้น มักจะมีเพื่อนสนิทแค่คนสองคนมากกว่าหลาย ๆ คน

การช่วยเสริมสร้างการ "เรียนรู้" ของลูกคุณนั้น คุณต้องรู้นิสัยลูกของคุณให้ดี และรู้ว่าอะไรเหมาะกับเขา และนั่นจะช่วยให้คุณทำให้ชีวิตของลูกคุณเครียดน้อยลง และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น นั่นเป็นการมอบเครื่องมือให้กับลูกของคุณ และช่วยให้ลูกสามารถสนุกสนาน และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นที่โรงเรียนอีกด้วย

 

 

เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน


 เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน
– สิ่งแรกที่เด็กไทยร้อยละ 51.1 ทำอย่างแรกหลังจากตื่นนอนคือการเช็คโทรศัพท์มือถือ
– สิ่งสุดท้ายที่เด็กไทยร้อยละ  35 ทำก่อนนอนคือการเล่น Facebook และ LINE
– เด็กไทยมีตัวเลขการใช้โทรศัพท์มือถือสูงขึ้น 2-3 เท่าในหนึ่งปี
– เด็กไทยร้อยละ 75.7 เล่น Social Network บ่อยจนไปถึงประจำ
– เด็กนักเรียนหญิงเล่น Social Network มากกว่านักเรียนชาย
– เด็กไทยร้อยละ 20.3 มีการใช้มือถือระหว่างคาบเรียนบ่อยถึงประจำ
– เด็กไทยร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีโทรศัพท์
– เด็กไทยร้อยละ 28.7 ระบุว่าถูกคุกคามทางเพศจากเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันบน Social Media
นอกจากนี้ผลวิจัยจากบริษัทมือถือแห่งหนึ่งยังชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีมือถือและใช้มือถืออันดับหนึ่งของเอเชีย ทั้งทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่ง แถมวัยรุ่นไทยมีเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่ง สถิติการมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเด็กไทยยังสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย ร้อยละ 23 ของวัยรุ่นไทยบอกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมือถือ =_=!
สถิตินี้กำลังบอกอะไรกับเราอยู่? กำลังบอกว่าลูกหลานของเรามีเพื่อนเป็น “โทรศัพท์มือถือ” กันอยู่ใช่หรือไม่? หรือกำลังบอกไปถึงสาเหตุของอะไรบางอย่างที่เรากำลังค้นหาเหตุผล เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กไทย ที่ส่งผลให้ปัจจุบันนักบำบัดและจิตแพทย์เด็กต้องมาทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาให้กับเด็กที่เกิดมามี “ภาวะปกติ” มากกว่าเด็กที่มีภาวะพิเศษแบบต่าง ๆ กันอยู่ค่ะ
เปลี่ยนผู้ร้าย IT ให้เป็นพระเอกตัวจริง
กล้ามเนื้อมือ เป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ในการพัฒนาสมองของลูกค่ะ เพราะนิ้วมือแต่ละนิ้วของลูกมีความสัมพันธ์กับสมองในแต่ละส่วนและการพัฒนาด้านต่าง
– นิ้วโป้ง สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหน้าซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านจิตใจ
– นิ้วชี้ สัมพันธ์กับสมองกลีบด้านหลังซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านความคิด
– นิ้วกลาง สัมพันธ์กับสมองกลีบข้างขม่อมซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย
– นิ้วนาง สัมพันธ์กับสมองกลีบขมับซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการฟัง
– นิ้วก้อย สัมพันธ์กับสมองกลีบท้ายทอยซึ่งเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการมอง
loving mother son homework เด็กไทยยุคใหม่ทำไมไม่ชอบการเขียน?
เด็กควรได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมาก ๆ
นักการศึกษาหลายท่านจึงมุ่งเน้นการพัฒนาเด็ก ๆ ด้วยการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำให้มากที่สุดเพราะนอกจากจะได้ ฝึกกำลังของกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญานไปพัฒนาสมองส่วนต่าง ๆ ของเด็กได้อีกด้วย ความลับของสมองอีกข้อหนึ่ง คือการปฏิวัติตนเองแบบอัตโนมัติทุก ๆ 7 ปี ไปสู่การพัฒนาในขั้นที่สูงขึ้น เด็กหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใดใดมาก็อาจจะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ไม่ได้ไปถึงขั้นสูงสุดของศักยภาพสมอง เพราะในช่วงสำคัญ 0-7 ปี มีโอกาสในการได้ใช้นิ้วมือทั้ง 5 เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส อาทิ ทราย แป้งปั้น น้ำ ฯลฯ น้อยกว่าเด็กคนอื่น ๆ เมื่อกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสนี้มีข้อมูลที่น้อย การนำความจำเดิมที่เป็นประโยชน์ตอนที่สมองปฏิวัติตนเองก็เลยไปไม่ถึงจุดสูง สุด เมื่อเด็กโตขึ้นจนเลยวัยสำคัญ ปัญหาของการใช้ “นิ้วมือ” ที่น้อยก็จะไปส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กไทย ดังที่เห็นในงานวิจัยค่ะ
แล้วเกี่ยวอย่างไรกับการเขียน? ปัญหาเรื่องลายมือ ปัญหาเรื่องการเขียนกลับด้าน ปัญหาเรื่องการมีความพยายามต่ำ ฯลฯ เป็นปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวิถีชีวิตในปัจจุบันทั้งสิ้นค่ะ การออกแบบเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราซึ่งเป็นแม่บ้านในยุคใหม่ สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างสะดวกสบายขึ้น กลายมาเป็นตัวขวางการพัฒนาการของข้อมือของเด็กในช่วงที่ถึงวัยต้องจับปากกา ดินสอ ก็เพราะว่า “ที่พยุงเด็กฝึกเดิน” ไปทำให้โอกาสในการคลานของเด็ก ๆ “ลดลง” แบบที่เราก็ไม่เคยคาดคิดค่ะ เมื่อข้อต่อบริเวณข้อมือไม่ได้ฝึกรับน้ำหนักมาตั้งแต่วัยหัดคลาน พอถึงวัยหัดเขียนคุณพ่อคุณแม่หรือแม่กระทั่งคุณครู ต้องมาเห็นบรรยากาศการวาดรูปด้วยน้ำตาของลูกแทนที่จะเป็นการปลดปล่อย จินตนาการ นักบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทในการฝึกคลาน หรือฝึกทำท่าไถนา (ให้เด็กใช้มือตั้งศอกตรงวางลงบนพื้นและผู้ฝึกยกขาให้เด็กเดินไปข้างหน้า เหมือนไถนา) นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำหน้าที่จนทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาลูก แบบที่หลายครอบครัวคงคิดไม่ถึงนะคะ
ทำให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
ทั้งนี้เมื่อรวมเข้ากับวิธีการใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ Generation Y อย่างพวกเราแล้วละก็ ยังมีอีกหลายข้อ ที่ความสะดวกรวดเร็วกำลังกลับมาเป็นปัญหาที่ต้องมาแก้เมื่อลูกถึงวัยที่ควร จะพัฒนาได้ค่ะ จากปัญหาการไม่อยากขีด ๆ เขียน ๆ มาประกอบกับการแทนที่ของเครื่องมือลาก ๆ จิ้ม ๆ ที่ง่ายสำหรับการใช้งาน เเถมยังสนุกเพราะเป็นการกระตุ้นสมองด้านเดียวคือ ด้านความคิด (ส่วนใหญ่ใช้นิ้วชี้) เด็ก ๆ จึงสนุกคิด แต่ไม่สนุกทำ ความสามารถในการคิดฝันจิตนาการ project ต่าง ๆ สูงลิ่ว แต่ความสามารถในการลงมือทำต่ำแบบสวนทางกันค่ะ จึงไม่น่าแปลกใจที่วัยประถมศึกษา จะเป็นวัยที่พบว่าเด็กมีปัญหาในการเรียนสูงมากขึ้น ๆ เมื่อถึงวัยมัธยมก็ได้กลายไปเป็นเด็กหลังห้องให้คุณครูและผู้ปกครองตามแก้ กันอย่างน่าปวดหัวค่ะ
การเขียนของเด็กในวันนี้สะท้อนภาพอะไรที่มากมาย เราลองกลับมาให้เครื่องมือง่าย ๆ เช่น กะบะทราย ดินสอ สี กระดาษ ใบไม้ใบหญ้า หรือดินเหนียวกับลูก ๆ ให้ลูกได้เรียนรู้จากสัมผัสที่มากพอเพื่อเป็นประสบการณ์ของสมองที่สมดุลย์ ก่อนที่จะต้องกลับมาซ่อมแซมและสร้างสมดุลย์ที่เสียไปกันดีไหมค่ะทุกท่าน ^_^
โดย ครูป๋วย

ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?

girl lay sick ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
อันดับแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจนิดนึงค่ะว่าการที่ลูกไปโรงเรียน ซึ่งมีเด็กหลาย ๆ คนมาอยู่รวมกันในบริเวณที่จำกัดย่อมมีโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคและสามารถ ติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่ายดายอยู่แล้วค่ะ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงนี้ลงได้นะคะ จากหลักการว่าการที่เด็ก ๆ จะเจ็บป่วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 2 อย่าง คือ ภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค และ สิ่งแวดล้อมรวมถึงการเลี้ยงดูค่ะ
วิธีการควบคุมปัจจัยด้านภูมิคุ้มกันของร่างกายก็คือการ ทำให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงซึ่งเริ่มจากอาหารนั่นเองค่ะ ตั้งแต่แรกเกิดเด็ก ๆ ควรได้ทานนมแม่ซึ่งมีภูมิคุ้มกันจากคุณแม่ผ่านมาทางน้ำนมอย่างมากมายชนิดที่ นมผงยี่ห้อใดก็สู้ไม่ได้ จนถึงอายุ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย หรือถ้าคุณแม่สามารถให้นมได้นานกว่านี้ก็จะยิ่งดีมาก ๆ ค่ะ หลังจากอายุ 6 เดือนขึ้นไปก็ควรจะได้ทานอาหารเสริมที่เหมาะสม ครบ 5 หมู่ ตามจำนวนมื้อที่ควรได้รับในแต่ละวัย นอกจากนี้การออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมทั้งการได้รับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนตามวัย และพิจารณาการได้รับวัคซีนเสริมต่างๆ ก็จะช่วยให้ลูกมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคค่ะ
white kindergarten students ลูกเข้าโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยๆ มีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง?
ส่วนการควบคุมปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถก็สามารถทำได้โดยสอนให้ลูกรู้จักวิธีป้องกันการติด เชื้ออย่างง่าย ๆ เช่น การล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังสัมผัสสิ่งสกปรก ทานแต่อาหารที่ปรุงสุกใหม่ รู้จักการใช้ช้อนกลางเวลาทานอาหารร่วมกับเพื่อน ๆ ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวเช่น แก้วน้ำ หรือ แปรงสีฟันร่วมกับเพื่อน ไม่เข้าไปคลุกคลีกับเพื่อนที่ป่วย เป็นต้น โดยสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้การสอนได้ผลคือ คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ดูเป็นแบบอย่าง อย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจลองสอบถามคุณครูว่าที่โรงเรียนมีระบบการคัดกรองแยก เด็กที่ป่วยและการดำเนินการในกรณีมีโรคติดเชื้อระบาดในโรงเรียนอย่างไรบ้าง รวมทั้งถ้าลูกป่วยก็ไม่ควรจะไปโรงเรียนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เพื่อน ๆ เช่นกันค่ะ
จากที่หมอเล่ามาทั้งหมดก็คงจะสรุปได้ง่าย ๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถลดโอกาสในการเจ็บป่วยของลูกในวัยเรียนได้โดยการส่ง เสริมให้เค้ามีสุขภาพที่แข็งแรงและเรียนรู้วิธีการป้องกันการติดเชื้อ นั่นเองค่ะ

ลูกน้อยวัยทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด

ลูกน้อยวัยทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด
คุณอาจจะคิดว่าลูกของคุณน่ารักน่าฟัดหรืออะไร ก็แล้วแต่ แต่ความฉลาดก็เป็นเรื่องที่คุณไม่ควรมองข้ามแม้ว่าเด็กยังอยู่ในวัยแบเบาะ มีงานวิจัยเมื่อไม่นานนี้บ่งชี้ว่าเด็กทารกอาจฉลาดกว่าที่คุณคิด แม้ว่าเด็กจะยังพูดหรือเดินไม่ได้ แต่ก็มีความฉลาดชนิดที่คุณเองก็อาจจะคาดไม่ถึง ลองอ่านเกี่ยวกับความสามารถของทารกทั้ง 8 อย่างต่อไปนี้:
1. รู้จักให้มากกว่ารับ
โดยธรรมชาติเด็กมักจะพยายามคว้าทุกสิ่งอย่างที่คุณยื่นให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของแวววาวหรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวได้ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงอาจคิดว่าเด็กมักมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่เด็กทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด เพราะเมื่อเขาได้ของที่เขาต้องการแล้ว เขามักจะพยายามแบ่งปันให้คุณหรือเพื่อนเล่นด้วย แม้จะยังแบเบาะ แต่เด็กก็รู้ว่าการเป็นผู้ให้นั้นดีกว่าการเป็นผู้รับ และความสุขนั้นเกิดขึ้นจากการแบ่งปัน
2. เลียนแบบ
ทารกเป็นนักเลียนแบบตัวยง พวกเขามักพยายามสังเกตท่าทางของคุณและเลียนแบบ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทารกยังมีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด เมื่อทารกถูกรายล้อมไปด้วยเด็กคนอื่น ๆ ที่กำลังกระจองอแง เขาก็จะรู้ว่าเขาสามารถส่งเสียงโวยวายหรือทำตัวดื้อตามเด็กคนอื่น ๆ ได้เต็มที่โดยที่จะไม่ถูกดุ เช่นเดียวกัน หากทารกอยู่ในกลุ่มเด็กที่นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เด็กก็จะปฏิบัติตัวดีตามสภาพแวดล้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนดุ
3. ดนตรีหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ทารกฉลาดกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะเมื่อเด็กได้คลุกคีกับดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก การฟังดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารของเด็ก และทำให้เด็กสามารถพูดได้เร็วขึ้น
4. ทารกคือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา
เด็กทารกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโดยธรรมชาติ พวกเขาจะสามารถเข้าใจภาษาต่าง ๆ ที่ได้ยินบ่อย ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ? แต่พวกเขาฉลาดกว่าที่คุณคิดจริง ๆ
5. ผูกพันทางอารมณ์
เด็กทารกสามารถรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของคน (และสัตว์เลี้ยง) ที่อยู่รอบข้างได้เป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเยียวยาสถานการณ์เสมอ ถ้าคุณรู้สึกเศร้า ลูกน้อยของคุณจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณยิ้ม
6. ความหมายของคำ
เด็กทารกยังสามารถเข้าใจความหมายของคำต่าง ๆ ที่คุณสอนได้ตั้งแต่แบเบาะโดยเชื่อมโยงคำที่พวกเขาได้ยินบ่อย ๆ เข้ากับรูปภาพหรือวัตถุ
7. รักความยุติธรรม
คุณควรให้ลูกได้ของเล่นหรือทารอาหารในปริมาณที่เท่า ๆ กันกับเพื่อนหรือพี่น้อง ถ้าคุณไม่อยากเห็นเขาร้องไห้ เด็กรู้จักหลักการของความยุติธรรมเป็นอย่างดี โดยทารกที่มีนิสัยรักความยุติธรรมมักเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเห็น แก่ประโยชน์ของผู้อื่น
8. รางวัลและการลงโทษ
เด็กทารกเรียนรู้หลักของความเท่าเทียมกันตั้งแต่ยังเล็ก พวกเขาสามารถเข้าใจหลักการของการได้รับรางวัล (เมื่อประพฤติตัวดี) และการลงโทษ (เมื่อประพฤติตัวไม่ดี) ได้เองตามธรรมชาติ

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ­ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ­ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วง ขวบวัยนี้

วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ:
–          โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
–          ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
–          นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของ เด็ก
–          เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
–          ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
–          จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
–          เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
–          ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
–          บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
–          การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
อย่าลืมว่าแม้คุณอาจไม่สามารถซื้อของเล่นแพง ๆ ให้ลูก สิ่งสำคัญคือคุณควรใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยที่สำคัญที่สุด
กระตุ้นสมองลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
สมองของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการดูแลครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพ เช่นการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมีอันตราย หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้เป็นอย่างดี

ผลการศึกษาระบุว่าอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้:
  • กรดไขมันโอเมก3พบ มากในปลา น้ำมันตับปลา เมล็ดป่าน หรือน้ำมันเมล็ดป่าน และไข่บางชนิด (ลองมองหาฉลากโอเมก้า 3) โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นสมองชั้นเลิศ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทารกจะได้คะแนนในการทดสอบสมองสูงกว่าหากคุณแม่ได้กิน โอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์
  • โปรตีน: ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะทำงานหนักเพื่อที่จะพยายามสร้างสมองของทารก ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้โปรตีนสูง คุณสามารถกินอาหาร เช่น ขนมปังทาเนยถั่ว หรือ สมูทตี้โยเกิร์ต (น้ำตาลต่ำ) เพื่อช่วยเสริมโปรตีนได้
  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่สำคัญที่จะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของทารกในครรภ์ คุณจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่น ผักโขม เนื้อไก่ไม่ติดมัน และพืชจำพวกถั่ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณกินธาตุเหล็กเสริมควบคู่ไปด้วย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในอาหารเช่น บลูเบอร์รี่ มะละกอ ผักโขม อาร์ติโชค มะเขือเทศ ถั่วแดงจะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองของทารก
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่จะช่วยเสริมสร้างสมองของลูกน้อย คุณสามารถลองขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม