วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขอแนะนำ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ 21”

ขอแนะนำ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ 21”
- โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล -
โครงการประชุมวิชาการประจำปี สตรี เยาวชน และครอบครัวศึกษา ครั้งที่ 10 "สตรีและเยาวชนศึกษา: ยุทธศาสตร์เพื่อความเข้มแข็งของสังคมไทย"
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบปาฐกถา http://goo.gl/nZ8oIo
ดาวน์โหลดเพื่ออ่านเอกสารถอดความปาฐกถา http://goo.gl/b8MFNv
ดาวน์โหลดไฟล์และฟังเสียงการปาฐกถา http://goo.gl/tVlz5V

มาดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ เสวนาเรื่อง สมองกับความสุข

มาดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ
 
    ผู้ร่วมเสวนาเรื่อง "สมองกับความสุข" ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อผมเล่าถึงเรื่องราวของ นายไฟเนียส เกจ (Phineas Gage) ชาวอเมริกันผู้โด่งดังที่ถูกยกเป็นตัวอย่างเล่าขาน เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์เรา     นายไฟเนียส เกจ เป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างทางรถไฟจากเมืองเวอร์มองต์ ใน ค.ศ. 1848 (ขณะที่มีอายุ 25 ปี) วันหนึ่งขณะระเบิดทางรถไฟ ถูกเศษแท่งเหล็กกระเด็นเจาะทะลุกะโหลกจากบริเวณแก้มซ้ายผ่านหลังเบ้าตาออกไปที่กลางศรีษะ
     เขาได้รับการรักษาจนรอดชีวิต แต่หลังจากนั้นและจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 38 ปี เขาก็เปลี่ยนบุคลิกนิสัย จากคนสุภาพเรียบร้อย รับผิดชอบงานดี มาเป็นคนหยาบคายหุนหันพลันแล่น ไม่สนใจคนอื่น และมักตัดสินใจทำอะไรผิดๆ อยู่เสมอ
     ปัจจุบัน กะโหลกศรีษะของนายเกจ และแท่งเหล็กยาว 5 ฟุต ที่ทำลายสมองส่วนหน้าตรงกลางของเขา (อันเป็นต้นเหตุทำให้เขากลับกลายเป็นคนละคน) นั้น ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
     วงการศึกษาวิทยาศาสตร์ด้านสมอง มักหยิบยกกรณีของนายเกจ (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 164 ปีมาแล้ว) มาเล่าเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสมองส่วนหน้าตรงกลาง (middle prefrontal neocortex) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนหน้า*
     *สมองส่วนหน้า หมายถึง เปลือกสมองใหม่ (neocortex) ของสมองส่วนหน้า (prefrontal) ซึ่งมีความเจริญสูงสุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเรา ทำหน้าที่เกี่ยวกับเชาวน์ปัญญา การใช้เหตุผล การคิดเชิงนามธรรม การวางแผน การบริหารจัดการ การแก้ปัญหา และศีลธรรม
     ในหนังสือ "Mindful Brain" ซึ่งเขียนโดยนายแพทย์แดเนียล ซีเกล (Dr. Daniel Siegel) ได้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กล่างถึง หน้าที่ 9 ประการของสมองส่วนหน้าตรงกลางไว้ดังนี้
     1. ปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย ระหว่างประสาทซิมพาเทติก (ประสาทคันเร่ง) กับประสาทพาราซิมพาเทติก (ประสาทเบรก) ให้สามารถทำงานได้อย่างแข็งขันแต่สงบ หากประสาทคันเร่งทำงานมากไป ทำให้ทำงานแข็งขัน แต่เครียดขี้หงุดหงิดโมโหง่าย และหากประสาทเบรกทำงานมากไป (เช่น นอนหรืออยู่ว่างๆ ทั้งวัน) ก็จะทำให้เฉื่อยชา เบื่อ ซึมเศร้า
     2. รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้สามารถสื่อสารสัมพันธุ์กับผู้อื่นได้ดี
     3. เห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยผ่านกลไกของเซลล์ประสาทที่ชื่อว่า "เซลล์กระจกเงา (mirror neuron)" ทำให้มีความรักความเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
     4. ควบคุมอารมณ์ ไม่เกิดอารมณ์สุดโต่ง หุนหันพลันแล่น มีความนิ่งสงบ สุขุม
     5. ควบคุมความกลัว ไม่ให้เกิดความกลัวอย่างไร้เหตุผล หรือตื่นตูม
     6. ยั้งคิด รู้จักยับยั้งชั่งใจ คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
     7. รู้ตน รู้แจ้งรู้ทันจิตใจของตนเองเข้าใจพื้นเพความเป็นมาของตนเอง รู้ทันจุดอ่อนจุดแข็ง และเป้าหมายชีวิตของตนเอง
     8. หยั่งรู้ความรู้สึกของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อมีความเครียด (เช่น กล้ามเนื้อเกร็ง ใจหวิวใจสั่น จุกแน่นท้อง ท้องไส้ปั่นป่วน หายใจไม่อิ่ม) ทำให้รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองก็จะช่วยให้หายเครียด ขณะเดียวกันการหยั่งรู้ความรู้สึกของร่างกายตนเอง ก็จะช่วยให้เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย
     9. ส่งเสริมศีลธรรม ทำให้รู้ว่า "อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควร อะไรไม่ควร" ด้วยตนเอง ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมในเชิงบวก
     9 ข้อนี้นับว่าเป็น "จิตสูง" ที่มนุษย์ทุกคนควรมี (มนุษย์ แปลตามอักขระว่า "จิตสูง") จะทำให้ดำรงชีวิตอย่างมีความสำเร็จและความสุข
     สมองส่วนหน้าตรงกลางที่ทำหน้าที่ "จิตสูง" ดังกล่าว อยู่ตรงหลังหน้าผากระหว่างกลางหัวคิ้ว 2 ข้าง ดังที่ชาวอินเดียโบราณเรียกว่า"ดวงตาที่สาม"
     ผู้ที่สูญเสียสมองส่วนหน้าหรือดวงตาที่สาม ดังเช่น นายไฟเนียส เกจ และผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บกระเทือนถูกสมองส่วนนี้ ก็จะสูญเสียหน้าที่ "จิตสูง" 9 ข้อ กลายเป็นคนหยาบช้า หุนหันพลันแล่น ไม่สนใจตนเองและผู้อื่น
     ตรงกันข้าม ถ้าเรารู้จักฝึกให้สมองส่วนหน้าตรงกลางหรือดวงตาที่สาม "โตขึ้น" ก็จะทำให้เรามีจิตสูงสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น
     ฝึกง่ายๆ โดยหมั่นบริหารร่างกาย (ออกกำลังกาย) บริหารจิต (ฝึกสมาธิ เจริญสติ) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินผักผลไม้และปลา (ที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสวาย) เป็นประจำ
     มีหลักฐานการวิจัย โดยทำการถ่ายภาพสมองด้วยเทคนิคสมัยใหม่พบว่าผู้ที่ฝึกสมาธิ (เช่น พระทิเบต) และผู้ที่ฝึกโยคะติดต่อกันมานานหลายปี สมองส่วนหน้าตรงกลาง หรือดวงตามที่สามของคนเหล่านี้โตขึ้นจริง ยิ่งฝึกมามากก็ยิ่งโตกว่าผู้ที่ฝึกมาน้อย
     ขอให้เราหันมาสนใจดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ
     นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 398
http://www.ideaforlife.net/health/article/0127.html

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อัศจรรย์กระบวนการอ่านในเด็กปฐมวัย

โครงการปฐมวัยอ่านหนังสือเก่ง
อัศจรรย์กระบวนการอ่านในเด็กปฐมวัย
ได้ไปเยื่อนชมผลงานของโรงเรียนที่ใช้กระบวนการอ่านได้(ภายในสามวินาที...ครูเรียกกันแบบนี้) สิ่งที่ได้พบจากเด็กและคุณครูคือมีความสุขในการเรียนการสอน พัฒนาการของเด็กๆเป็นไปได้อย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เด็กๆแย่งกันที่จะอ่านหนังสือให้ฟัง มุมหนังสือกับมุมของเล่น เห็นได้ชัดว่ามุมหนังสือเด็กๆจะอยู่ประจำมากกว่า พร้อมกับการนำสือต่างๆมาใช้ในกิจกรรมทำให้ความสนใจในการเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น ที่สำคัญคุณครูสามารถประยุกค์ใช้กับหน่วยกิจกรรมต่างๆได้อย่างน่าสนใจ
ขอขอบคุณ ผศ.ดร.ดวงจันทร์ เดี่ยววิไล หัวหน้าโครงการวิจัยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนในจังหวัดลำปาง ด้วยกระบวนการพัฒนาครูแบบหนุนนำต่อเนื่อง(Teacher Coaching) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พร้อมด้วย รศ.ศุภศักดิ์ ลิมปิติ ในการให้คำชี้แนะและกำลังใจ
ขอคุณคุณครู ครูศิริกุล อ่อนอุทัย โรงเรียนประชารักษ์ศึกษา
คุณครูชนิกาพร ทองเดช โรงเรียนทุ่งน้อยพัฒนา
ที่ให้ความรู้และให้โอกาสกับเด็กๆ
ท่านใดสนใจกระบวนการยินดีแลกเปลี่ยนกันนะครับ ขอเพียง ลงมือทำ เห็นผลไว ใช้เวลาน้อย ลงชื่อ สอนชั้นใหนจำนวนกี่คน อีเมล์ไว้
กระบวนการอาจต้องใช้เวลาทำความเข้าใจบ้างแต่ไม่ยาก





วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

การคิดและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย




การคิดและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

ผู้แต่ง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัญชลี ไสยวรรณ


          การคิดเป็นกระบวนการทำงานของสมองที่มีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งมาจากการฝึกฝน เช่นเดียวกับการป้อนข้อมูลต่าง ๆ เข้าไปในสมองเพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น แต่การฝึกสมองให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ใช่เรื่องของการจำอย่างเดียว เพราะถึงแม้การจำจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์ แต่ก็เป็นเพียงขั้นพื้นฐานของสมองที่จะต้องมีการจำความรู้เพื่อนำไปใช้ในขั้นตอนต่อไป บางครั้งการจำไม่ได้ทำให้เกิดการเรียนรู้ แต่อาจไปสกัดกั้นการทำความเข้าใจเนื้อหาของความรู้ ความจริงแล้วการฝึกให้สมองสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเรื่องของการคิด เพราะถ้าหากสมองคิดเป็นก็เรียกได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนที่มีศักยภาพมีประสิทธิภาพ การคิดเป็นการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าเราจะต้องจัดการเรียนรู้หรือจัดสิ่งกระตุ้นให้มากพอที่สมองจะได้ฝึกคิด การคิดสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้

           รูปแบบการเรียนรู้ปัจจุบันจำเป็นต้องสร้างให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายรุกนั้นคือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ใฝ่รู้ รู้จักคิดตั้งคำถามและคิดค้นหาคำตอบ ให้โอกาสผู้เรียนได้แสดงความคิด วิเคราะห์และหาข้อสรุป และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ผู้เรียนฝึกฝนการคิดคือมีทักษะการคิด ลักษณะการเรียนรู้ดังกล่าวเป็นผลมาจากนักการศึกษาในปัจจุบันได้นำเอาความรู้ในเรื่องการคิดและการเรียนรู้ทางจิตวิทยาและทางชีววิทยามาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการคิดของเด็กในชั้นเรียนเพื่อเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญที่ใช้ในการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนต่อไป

           เด็กอายุ 8 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทางการคิดและการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัวของเขา เรารู้ข้อมูลเหล่านี้จากนักจิตวิทยาโดยเฉพาะนักจิตวิทยาการเรียนรู้ ระหว่างศตวรรษที่ 20 คำถามสำคัญคือ การคิดของเด็กเล็ก ๆ แตกต่างจากผู้ใหญ่หรือไม่ หรือมันเป็นการขาดประสบการณ์ของเด็กหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ว่า เด็กเรียนรู้อย่างไร ได้ศึกษาโดยนักการศึกษา นักปรัชญา นักจิตวิทยา เช่น พาฟลอฟ ทอนไดค์ สกินเนอร์ ให้ความสำคัญในอิทธิพลของแนวทางที่เน้นการสอน (เด็กถูกสอน) ประมาณ ค.ศ. 1950-1959 นักจิตวิทยาและนักการศึกษาให้ความสำคัญมากในการเรียนอย่างเข้มข้น ต้องการการเสริมแรง และเชื่อว่าหลักการเรียนรู้อยู่บนพื้นฐานการกระตุ้นและการตอบสนอง
          
          พิอาเจท์และอินเฮลเดอร์ (Piaget and Inhelder. 1969 : 58) อธิบายว่า การคิดหมายถึง การกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญา การคิดของเด็กเป็นกระบวนการใน 2ลักษณะคือ เป็นกระบวนการปรับโครงสร้างโดยการจัดสิ่งเร้าหรือข้อความที่ได้รับจริงให้เข้ากับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่กับกระบวนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยการปรับความจริงที่รับรู้ใหม่ให้เข้ากับประสบการณ์เดิม เด็กใช้การคิดทั้งสองลักษณะนี้ร่วมกันหรือสลับกันเพื่อปรับความคิดของตนให้เข้าใจสิ่งเร้ามากที่สุด ผลของการปรับเปลี่ยนการคิดดังกล่าวช่วยพัฒนาวิธีการคิดของเด็กจากระดับหนึ่งไปสู่การคิดอีกระดับหนึ่งที่สูงกว่า ไอแซคส์ (Isaacs)ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของการเรียนรู้ของเด็กจากการศึกษาของเขาโดยการสังเกตและจดบันทึก โดแนลด์สัน (David.1999: 2-3 ;citing Donaldson.nd) อธิบายว่า ปัญหาการสื่อสารระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เป็นสาเหตุให้เด็กเกิดความล้มเหลวในการเรียนรู้ได้ ดังนั้นผู้ใหญ่จะต้องพยายามคิดว่าทำอย่างไรจะบรรลุความสำเร็จที่จะเข้าใจความคิดและภาษาของเด็ก และอธิบายเพิ่มเติมว่า การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กทำให้เด็กเกิดความเข้าใจเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การคิดเป็นนามธรรมต่อไป เด็กจะไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ถ้าเขาไม่ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง

          ภาษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้และความเข้าใจ บรูเนอร์ (Bruner. 1993) และไวกอตสกี้ (Vygotsky. 1978) ให้ความสำคัญเรื่อง ภาษา การสื่อสาร และการสอนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทางสติปัญญา และพัฒนาการส่วนบุคคล การแสดงออกของผู้ใหญ่ในฐานะผู้ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ (Scaffolding)จะทำให้เด็กเข้าใจโลกรอบตัวของเขา เด็กบางคนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือไม่สามารถจำประสบการณ์ของตนได้ ถ้าผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลือ หรือแนะนำอาจทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
          บรูเนอร์ (Bruner) พัฒนาแนวคิดของ เนลสัน (Nelson) เกี่ยวกับความคิดเรื่อง ผู้ใหญ่ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือให้คำแนะนำ (Scaffolding) การเรียนรู้ของเด็กและไวกอตสกี้ (Vygotsky) ค้นพบเรื่อง “Zone of Proximal Development” เพื่ออธิบายช่องว่างระหว่างสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ด้วยตนเองและสิ่งที่เด็กสามารถประสบความสำเร็จด้วยการช่วยเหลือของคนอื่นส่งผลให้เด็กมีระดับการคิดเพิ่มขึ้น ระดับการคิดที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการใช้ภาษาและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้ใหญ่ถ่ายทอดความรู้และคุณค่าทางวัฒนธรรม ไวกอตสกี้อธิบายว่าความสำเร็จจากความร่วมมือคือพื้นฐานการเรียนการสอนโดยบุคคลที่มีความรู้มากกว่าเป็นตัวเสริมให้ระดับการคิดของเด็กเพิ่มขึ้น นอกจากนี้มันเป็นการค้นพบว่า เมื่อเด็กทำงานร่วมกับผู้อื่นในกิจกรรมการคิดแก้ปัญหาทำให้เด็กประสบความสำเร็จถึงวิธีการแก้ไขได้ดีกว่าที่เขาพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง การเรียนรู้แบบร่วมมือมักเกิดขึ้นในหลาย ๆ สถานการณ์การเล่น โดยการที่เด็กเล่นไปด้วยกันและทดลองแนวคิดใหม่พร้อมกับใช้ทักษะการคิดหลายด้าน เด็กสามารถเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการใช้ทักษะการคิดหลาย ๆ ด้าน บรูเนอร์อธิบายว่า มันเป็นสถานการณ์การเล่นที่เด็กเล็กสามารถทดสอบความคิดของตนเองและความรู้ที่มีอยู่โดยเป็นอิสระจากผู้ใหญ่ แม้ว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ แต่ยังมีองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลการเรียนรู้คือ แรงจูงใจ กิจกรรมต่าง ๆ ที่มาจากความสนใจของเด็กและแรงจูงใจภายใน จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งการเรียนรู้ (David. 1999 : 4-5) บทบาทของผู้ใหญ่หรือคนที่มีความรู้มากกว่าในฐานะผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำส่งผลให้เด็กมีระดับการคิดสูงขึ้น
        
        สรุปได้ว่าการคิดและการเรียนรู้ตามแนวคิดทางจิตวิทยามีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมมาโดยตลอด แนวคิดทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาในปัจจุบัน คือ แนวคิดของพิอาเจท์ (Piaget) บรูเนอร์ (Brunner) และไวกอตสกี้ (Vygotsky) รูปแบบการเรียนการสอนจึงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยครูสามารถจัดกิจกรรมให้เด็กได้สืบค้นและทดลอง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือกระทำด้วยการคิด ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงออกในการคิดใช้ทักษะการคิด เรียนรู้แบบร่วมมือ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบด้วยตนเอง บทบาทครูในฐานะผู้ช่วยเหลือให้คำแนะนำ ครูควรใช้คำถามที่มีความหมายให้คำอธิบาย พูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล

บรรณานุกรม



  • ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์;และอุษา ชูชาติ.(2545).ฝึกสมองให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช.







  • อัญชลี ไสยวรรณ. (2548) การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้สำหรับ เด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต.(การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ:บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อัดสำเนา.







  • David, Tricia.(1999). Young Children Learning. London : Paul Chapman .
  • มาช่วยกันเสริมสร้าง “ความคิดสร้างสรรค์” ให้เด็กไทยกันดีกว่า



    มาช่วยกันเสริมสร้าง “ความคิดสร้างสรรค์” ให้เด็กไทยกันดีกว่า

    โดย วิวรรณ สารกิจปรีชา 


                ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน พ่อแม่ทุกคนมีความปรารถนาให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีอนาคตที่ดี มั่นคง แต่เศรษฐกิจของโลกและของประเทศต่างๆ ขึ้นลงไม่แน่นอนอยู่เป็นนิจ การทำงานใดๆ ในอนาคตจะต้องแข่งขันกันมากขึ้น แล้วอะไรที่จะช่วยลูกเราให้เดินไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ดีที่สุดหนอ? แน่นอนทักษะต่างๆในการทำงาน ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความสามารถในการเรียนรู้ ย่อมต้องถูกฟูมฟักให้ลูกๆของเราทุกคน แต่สิ่งที่จะทำให้ลูกของเราแตกต่างและโดดเด่น น่าจะเป็นในด้านความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด ถ้าเป็นพ่อค้าความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้สินค้าเป็นที่ต้องตา ต้องใจได้ดีมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้ วิธีการขายจูงใจมากขึ้น ถ้าเป็นครูความคิดสร้างสรรค์จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กสนุก แปลกใหม่ และเด็กๆเรียนรู้ได้ดีขึ้น ถ้าเป็นเกษตรกรความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้สามารถเพิ่มผลผลิต และการขายผลิตผลจะดลใจผู้ซื้อมากขึ้น หรืออาจจะนำส่วนเหลือของผลิตผลหลักไปทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้มากขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในการที่จะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กตั้งแต่ยังเล็ก แต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่คนไทยหลายคนมักจะอ้างว่าไม่มีเพียงพอ ทั้งๆที่ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ในทุกๆคน ปัจจัยที่ทำให้คนไทยหลายคนคิดว่าตัวเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์พอ ก็คือ วิธีการเลี้ยงดูและการศึกษาแบบไทยๆ เด็กดีของผู้ใหญ่ในประเทศไทย คือเด็กที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ เด็กที่ว่าง่าย และทำตามที่ผู้ใหญ่วางกรอบไว้ให้ เด็กที่ยกมือถามครูบ่อยๆ มักจะถูกครูตัดบทบาท เด็กที่ทำอะไรผิดไปจากสิ่งที่ครูให้ทำตามปกติถูกกล่าวหาว่าทำผิดหรือทำอะไรแผลงๆ เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้เติบโตในกรอบของคุณธรรม แต่ต้องไม่สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ไม่สกัดกั้นเสรีภาพที่จะคิด พูด ถามคำถาม ออกความเห็น และได้ลงมือทำในสิ่งที่ตนคิดไปเสียหมด 



                เด็กเล็กก่อนวัยเรียน มีความคิดสร้างสรรค์ติดตัวมาอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างตามศักยภาพของแต่ละคน Howard Gardner ได้กล่าวเมื่อมาเยือนประเทศไทยให้บรรดาครูฟังว่าเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ในช่วงก่อนวัยเรียนเด็กๆได้รับการสนับสนุนให้มีความคิดที่แตกต่าง เล่นอย่างเสรี และไม่ถูกสกัดกั้นที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป แต่เมื่อเด็กเติบโตและอยู่ในช่วงวัยเรียน เด็กๆถูกจำกัดในด้านการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ เพราะเด็กๆจะเข้าใจและจำในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกได้ว่าอย่างไหนถูกต้อง และทำอะไรอย่างไหนผิด ถ้าเมื่อใดปัญหาที่เกิดขึ้นมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว และกฎระเบียบทำให้การปฏิบัติตนของเด็กต้องดำเนินไปเหมือนกันหมด ความคิดสร้างสรรค์ก็จะถูกผลักห่างออกไป ดังนั้นผู้ใหญ่ควรตระหนักว่าความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ดีในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่สร้างสรรค์เท่านั้น มีวิจัยหลากหลายที่สรุปได้ว่าบรรยากาศที่ไม่มีกฎระเบียบมากเกินไป และบรรยากาศที่ยอมรับและยกย่องเสรีภาพจะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมาก 



                 สำหรับเด็กเล็กแล้ว การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ควรมุ่งไปที่กระบวนการมากกว่าผลิตผลหรือตัวบุคคล เช่น การพัฒนาส่งเสริมความคิดที่แปลกใหม่ เป็นต้น ผู้ใหญ่ควรคิดแยกแยะความคิดสร้างสรรค์ออกจากความฉลาดและความสามารถพิเศษ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก และความคิดสร้างสรรค์ไม่มีปรากฏให้เห็นเฉพาะในดนตรี ศิลปะ หรือผลงานการเขียนเท่านั้น แต่ความคิดสร้างสรรค์มีปรากฏให้เห็นได้ในทุกวิชาที่มีกำหนดในหลักสูตร ทั้งในวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และอื่นๆ ในเด็กเล็กๆการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ควรเริ่มจากการส่งเสริมความคิดที่หลากหลาย และการแสดงออกตามความคิดต่างๆเหล่านั้นหลายวิธีเด็กๆควรได้รับการส่งเสริมให้ประเมินตนเองมากกว่าที่จะถูกประเมินโดยผู้อื่น เด็กๆควรรับรู้ว่า การแก้ปัญหาใดก็ตามไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว เด็กๆควรได้รับการส่งเสริมให้สำรวจออกความเห็น ทดลองและแก้ปัญหาด้วยวิธีที่หลากหลายด้วยตัวเด็กเอง บรรยากาศที่เด็กไม่กลัวว่าคำตอบของตนอาจจะผิด จะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี 



                 การให้รางวัลเพื่อจูงใจเด็กๆมักจะมีผลลบกับการคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับการกำหนดกฎเกณฑ์ผิด-ถูกกับเด็กในการทำกิจกรรมต่างๆ ผู้ใหญ่ต้องรับรู้ว่าเด็กต้องการการยอมรับคำตอบและ หรือความคิดเห็นที่เด็กเสนอ จากบุคคลรอบข้างทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อีกทั้งเด็กๆต้องได้รับโอกาสที่จะทดลองตามความคิดของตัวเองด้วย 



                 การให้รางวัลไม่มีผลต่อการให้ความคิดเห็น แต่จะทำให้คุณภาพของคำตอบหรือการตอบสนองของเด็ก และการคิดที่แตกต่างไปจากแนวคิดที่มีอยู่ลดลง ความสามารถในการคิดเชื่อมโยงจากแนวทางหนึ่งไปยังอีกแนวทางหนึ่งจะลดลง เพราะเด็กอยากได้รับการชมเชยจึงคิดและเลือกที่จะตอบในเฉพาะแนวทางที่จะได้รางวัลเท่านั้น ดั้งนั้นการมีความต้องการด้วยตนเองที่จะคิดสร้างสรรค์ย่อมดีกว่าและควรได้รับการส่งเสริมมากกว่า ถ้าพวกกิจกรรมต่างๆที่เด็กได้ลงมือกระทำ สำรวจ สืบค้น ทดลองนั้น มีความหมายและเกี่ยวข้องกับประสบการณ์เดิมของเด็กกับชีวิตประจำวันของเด็ก โอกาสที่จะช่วยให้เด็กได้เห็นและเรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวพันกันระหว่างสิ่งต่างๆและวิชาต่างๆ หลายวิชาในหลักสูตรจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก การเรียนรู้แบบดังกล่าวจะช่วยให้เด็กเกิดความคิดที่หลากหลาย มีความคิดริเริ่ม และเรียนรู้อย่างเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น 


                 การสำรวจ สืบค้น อย่างลึกซึ้งและไปได้เนิ่นนานกับงานที่เป็นลักษณะเปิดกว้าง ไม่จำกัดคำตอบที่ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมให้เด็กอยากเรียนรู้ และช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ดี ผู้ใหญ่ควรทำตนเป็นเสมือนผู้ให้การสนับสนุนตามความคิดของเด็ก เป็นผู้ตั้งคำถามปลายเปิด เป็นผู้ช่วยนำทางและทำงานเป็นสมาชิกของกลุ่มเด็กๆในการสำรวจสืบค้น ผู้ใหญ่สามารถรับรู้ได้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็ก ในการตอบสนองความคิดของเด็กๆ ในการรู้ว่าควรจะส่งเสริมสนับสนุนเด็กๆให้ทำสิ่งที่ท้าทายหรือเสี่ยงต่อความผิดพลาดเมื่อใด และจะไม่เข้าไปรบกวนเด็กๆเมื่อใดโดยการรับฟังเด็กๆอย่างตั้งใจและสังเกตอย่างละเอียด ผู้ใหญ่ควรจะตระหนักว่าจังหวะในการส่งเสริมและวิธีการส่งเสริมจะต้องเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และพัฒนาการ ความสามารถของเด็กแต่ละคนเสมอ ดังนั้นความเอาใจใส่ของครูและผู้ปกครองจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กไทยของเราได้เป็นอย่างดี 


    แหล่งที่มา
    http://www.preschool.or.th/article_kindergarten/journal_create.html

    การส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา



    การส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา

                 สำหรับการคิดแก้ปัญหานั้นเป็นการคิดที่ต้องใข้ความสามารถของสมองและประสบการณ์เดิม  เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาจึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักในการที่จะส่งเสริมให้เด็กได้มีทักษะในการคิดแก้ปัญหา  สำหรับแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาพอจะกล่าวได้ดังนี้
                1. การให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก  ทำให้เด็กมีความรู้สึกปลอดภัย  มีความสุข  มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมองโลกในแง่ดี
                2. เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น  และตัดสินใจ  เพื่อช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก  และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
                3.ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต  โดยการจัดประสบการณ์ให้มีการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง  5   เพื่อการรับรู้ในทุกด้าน มีผู้ใหญ่คอยให้การสนับสนุนและคอยดูแลช่วยเหลือ
                4.ส่งเสริมให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเองให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก  ซึ่งจะเป็นพื้นฐานการด้านบุคลิกภาพคือความเชื่อมั่นในตนเองทำให้ส่งผลต่อการคิดแก้ปัญหาของเด็ก
                5.แสดงความชื่นชมเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ดีงามและทำให้เด็กเกิดความมั่นใจเมื่อเด็กทำ
    สิ่งที่ดีงาม
    อันจะทำให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง  และมีกำลังใจในการจะทำความดีและสิ่งดีงาม
                6.จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดแก้ปัญหาของเด็ก  และมีบรรยากาศที่ทำให้เด็กได้รู้สึกสบายใจ  ไม่เคร่งเครียด  สภาพแวดล้อมดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทักษะการคิด
                ทั้งหมดนี้คงจะเป็นแนวทางในการที่พัฒนาความคิดแก้ปัญหาสำหรับเด็กของเราได้ต่อไป

    แหล่งที่มา
    http://rb1curicurriculum.blogspot.com/2010/01/blog-post_01.html