วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีใหม่ในการสอนภาษาอังกฤษ สำหรับคนไทย Phonemic awareness & Phonics

  ทฤษฎีใหม่ในการสอนภาษาอังกฤษ สำหรับคนไทย
ที่รวม การวางพื้นฐานด้วย Phonemic awareness & Phonics ตามด้วย การสอน อ่านเป็น คำ (whole language) เพื่อแก้ปัญหาอาการภาษาอังกฤษบกพร่อง (dyslexia) ของคนไทย

( PA & Phonics   ดร .อินทิรา แปล ว่า หลักสูตรถอดรหัสภาษาอังกฤษ 
PA ถอดรหัสเสียงให้เป็นตัวอักษร = การฟัง/ Phonics = ถอดรหัสตัวอักษรให้เป็นเสียง = การอ่าน )                                                             
                                                       โดย ดร. อินทิรา ศรีประสิทธิ์
                                                      ผู้อำนวยการ  Cyberschool of English
                                                            มูลนิธิเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
                                                       www.cyber-smart.org
ผลสรุป งานวิจัย เสนอ วันประชุมนานาชาติ ของ UNESCO-APEID
และในงานวันมหกรรมวันครูโลก  ครั้งที่ 12 วันที่  24-26  มีนาคม   2522  (English session)
Teacher Training for Student Centered Learning
(การอบรมครูในสภาพแวดล้อมที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้)
           คนไทยส่วนมาก ( ประมาณ   70%-80%) มีอาการภาษาอังกฤษบกพร่อง ที่ เราเรียกว่า dyslexia  ซึ่งหมายความถึง ความไม่สามารถในการเรียนรู้ที่จะฟัง พูด หรือ อ่านภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างถูกต้องและ ชัดถ้อยชัดคำ อาการภาษษบกพร่องนี้ไม่ได้เกิดกับคนไทยที่มีไอคิวต่ำ แต่เกิดได้กับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีความฉลาดและสภาวะของร่างกายปกติทุกประการ รวมทั้งความสามารถในการได้ยินและได้เห็น
 คุณเอง มีอาการภาษาอังกฤษบกพร่อง ที่ระบุใน ตารางที่  1 เหมือนคนไทยส่วนมากหรือไม่ ?
อาการภาษาอังกฤษบกพร่องร้ายแรง แค่ไหนสำหรับคนไทย ? และ จะแก้ไข เยียวยาอย่างไร ?
                อาการภาษาบกพร่องเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักเรียนไทยมีผลสัมฤทธิ์ในวิชาภาษา อังกฤษต่ำในการสอบ เอเน็ท และ โอเน็ท  รวมทั้งในผลการสอบโทเฟิล ไอบีที หรือ ไอ เอลท์ ซึ่งสร้างปัญหาให้แก่ผู้ปกครอง เพราะ จะ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติวภาษาอังกฤษที่มีราคาค่อนข้างสูงและค่าสอบซ่อม เพื่อให้ได้ผลสอบที่ต้องการในการสมัครเรียนต่อณ สถาบันต่างประเทศ  นักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกของไทยมีปัญหาในการอ่านภาษาอังกฤษ ทำให้เป็นอุปสรรคในการค้นคว้าหาความรู้เพื่อทำวิทยานิพนธ์และผลิตงานที่ถือ ว่าเป็นนวัตกรรมที่แท้จริงในวงการวิชาการ
           ในปัจจุบัน ปัญหาอาการภาษาอังกฤษบกพร่องของคนไทยขยายวงกว้างกว่าสนามสอบ หรือ สนามแข่งขันในรั้วมหาวิทยาลัย      ในชีวิตการทำงานของคนไทยกับคนต่างชาติ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับว่าตัวเองมีญหาในการสื่อสารกับคนต่างชาติอย่าง เนืองนิจ     นักศึกษามหาวิทยาลัยของไทยที่ไปทำงานซัมเมอร์ ในต่างประเทศมักจะร้องทุกข์ว่าตัวเองถูกหลอกไปใช้แรงงานทั้งๆที่จบปริญญตรี หรือ โท แต่ต้องไปทำงานระดับที่ใช้แรงงาน เช่น ล้างจาน ทำความสะอาดหรือซักผ้า       แต่ความจริงก็เป็นเพราะเขาไม่สามารถสื่อสารได้ดีกับลูกค้าต่างชาติใน งานบริการตำแหน่งประชาสัมพันธ์ หรือพนักงานต้อนรับในธุรกิจท่องเที่ยวและ โรงเแรมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ถือว่าง่ายแล้ว      นอกจากนี้คนงานไทยในต่างประเทศส่วนมากมักถูกเอาเปรียบแรงงาน และ ต้องทุกข์ทนทรมานอย่างเงียบๆเพราะไม่กล้าไปร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเจ้า หน้าที่ๆเกี่ยวข้องของประเทศเจ้าภาพเพราะไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เป็นเพราะว่าไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในเชิงต่อรองเพื่อพิทักษ์ รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง    และมีคนไทยอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ทำงานกับคนต่างชาติ ไม่ว่าในองค์กรของรัฐและ เอกชน  ซึ่งรวมครูต่างชาติ ในโรงเรียนสองภาษาหรือนานาชาติ ที่ยอมรับว่าความสามารถในการสื่อสารกับคนต่างชาติยังบกพร่องอยู่ และหวังว่าสักวันหนึ่งความสามารถในการสื่อสารของตัวเองจะดีขึ้นกว่าที่เป็น อยู่ แต่ไม่รู้จะหาวิธีใด
          เกิดอะไรขึ้นกับวิธีการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนไทย     ทำไมเราคนไทยจึงไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่เรียนกันมานานนับสิบปี  เราสามารถเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของประเทศอื่นได้บ้างเพื่อที่จะแก้ปัญหา อาการภาษาอังกฤษบกพร่องของคนไทย?
เป้าหมายของงานวิจัย มีดังนี้
1.แยกแยะอาการต่างๆของภาษาอังกฤษบกพร่องที่คนไทยประสบ และ หาสาเหตุและ วิธีป้องกัน
2.สำรวจ วิธีการสอนคนให้รู้ภาษาอังกฤษ (literacy practice) ที่ใช้ในโรงเรียนไทยและวิเคราะห์ หาจุดอ่อนและจุดแข็ง และ เปรียบเทียบกับของต่างประเทศ
3.ทำการสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับของ การสอนคนให้รู้ภาษาอังกฤษ (literacy research) โดยเฉพาะ ในสหรัฐฯ งานวิจัยที่เกี่ยวกับอาการภาษาบกพร่อง (dyslexia research)  งานวิจัยที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของสมอง (brain-based research)หาบทสรุปเพื่อนำมาซึ่งคำตอบที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น
       ผู้วิจัยไม่ได้วางแผนให้งานวิจัยนี้เป็นแบบฝึกหัดเชิงทฤษฎีเท่านั้น แต่เป็นงานวิจัยที่นำมาซึ่งแผนปฎิบัติการที่ สามารถนำมาใช้ได้ทันที เพื่อที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นที่องค์กรของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง สามารถนำมาใช้เป็น นโยบายและ แผนปฎิบัติการในการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตร และ การบำบัดด้วยการสอนเสริม (remedial intervention) เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อคนไทยจะได้ไม่ด้อยกว่าคนต่างชาติในเวทีการแข่งขันนานาชาติเพราะภาษา อังกฤษบกพร่องเป็นเหตุ
วิธีการหาข้อมูล  ได้ใช้ 2 วิธีหลัก กล่าวคือในตอนเริ่มต้น  ใช้วิธีการสังเคราะห์(meta analysis)งานวิจัยทางด้านการสอนคนให้รู้ภาษาอังกฤษ (literacy research)  งานวิจัยเกี่ยวกับอาการภาษาบกพร่อง (dyslexia)  และ งานวิจัยด้านการเรียนรู้ภาษาของสมอง  (brain – based research/ neuro-science research) ขององค์กรชั้นนำในสหรัฐฯ  และ เพิ่มเติมด้วยการสัมภาษณ์ผ่านสไค้พ (skype) กับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษของสหรัฐฯ เพื่อกลั่นกรองข้อมูล หาหลักฐานมาพิสูจน์ แก้ข้อสงสัยและสรุปประเด็นสำคัญต่างๆตลอดจนหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวง การ       ในการค้นหาข้อมูลนี้ ผู้วิจัยได้นำประสบการณ์ในฐานะที่ได้เคยสอนภาษาอังกฤษให้คนไทยทุกระดับ จากอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย  พร้อมกับความสามารถเฉพาะตัวพิเศษทางด้านงานวิจัยระดับนานาชาติ  ทำให้สามารถมองเห็นและเข้าใจปัญหานี้ได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อนำมาทำบทสรุปในการหาคำตอบ ( ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย) ในการแก้ปัญหาภาษาอังกฤษบกพร่องของคนไทยด้วยความเป็นกลาง (objectivity)
ผลงานวิจัยและข้อเสนอแนะเพื่ออภิปราย : ผลของงานวิจัยสามารถสรุปได้  ดังต่อไปนี้
1. งานวิจัยทางด้านการสอนคนให้รู้หนังสือ (literacy research) ของสหรัฐ ฯ เน้นการพัฒนาทักษะการอ่านมากกว่าการฟัง การพูด และการเขียน เพราะคนอเมริกันส่วนมากสามารถฟังและพูดภาษษอังกฤษได้แล้ว     แต่เขาอาจจะไม่สามารถอ่านและเขียนเก่ง    ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งธรรมดาที่งานวิจัยจะเน้นการหาวิธีสอนให้คนโดยเฉพาะเด็กๆอ่าน เก่ง  แต่สำหรับคนไทย   เรามีปัญหาทั้งพูดอ่านฟังและเขียนภาษาอังกฤษเชื่อมโยงกันไปหมด
2. รายงานวิจัยของคณะกรรมการการอ่านของสหรัฐฯ (National Reading Panel Report)  ได้ ทบทวนผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยและองค์กรการศึกษาต่างๆมากกว่าแสนเรื่องใน สหรัฐฯที่ได้ทำกันมาในหลายสิบปีที่ผ่านมาที่เกี่ยวกับวิธีการสอนเด็ก อเมริกันอ่านที่ได้ผล (effective reading instruction)และไม่ได้ผล    ได้พบหลักฐานมากมายที่สรุปอย่างหนักแน่นว่า การที่เด็กอเมริกันเป็นจำนวนมากอ่านไม่เป็นหรืออ่านไม่ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้   มาจากความบกพร่องของหู และ สมองทางด้านการประมวลเสียงของภาษาอังกฤษ  (phonological deficits) มากกว่าปัจจัยอื่น  ทำให้ไม่ได้ยินหน่วยเสียงภาษาอังกฤษ(phonemes)ที่เปล่งเป็นคำประสมอย่างรวด เร็วมาก ผลทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงหน่วยเสียงของบทพูดกับตัวอักษรหรือกลุ่มตัวอักษร ทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง และ ในทางกลับกัน ถ้าไม่สามารถเชื่อมโยงตัวอักษรกับเสียงของมันได้ถูกต้อง ก็จะมีปัญหาในการอ่านออกเสียง      ผลทำให้เขาอ่านออกเสียงช้าหรืออ่านแบบตะกุกตะกักและผิดมากและ  สมองจะไม่สามรถรับรู้คำและความหมายของสิ่งที่อ่านได้ง่าย    รายงานสรุปว่า ถ้าจะแก้ปัญหาการอ่านที่บกพร่องนี้ผู้มีปัญหาต้องได้รับการสอนเสริมกระบวน การสอนอ่านที่มีองค์ประกอบ  5 อย่าง และที่สำคัญที่สุดก็ คือต้องทำตามขั้นตอนจาก ล่างไป บน (bottom-up) ตามตารางที่  3  องค์ประกอบ 5 อย่างมีดัง นี้
1. Phonemic awareness -  ความสามารถในการได้ยิน รับรู้ และ แยกแยะหน่วยเสียง(phonemes) ต่างๆของภาษาอังกฤษได้ ตลอดจนสามารถควบคุมการใช้ (manipulate) หน่วยเสียงของบทพูด (speech sounds)  ที่ประกอบเป็นพยางค์(syllables) และคำ(words)
2. Phonics - องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างตัวอักษรกับ เสียง ( letters-sound correspondence)
3. Fluency Instruction - กลยุทธ์การสอนอ่านให้คล่อง
4. Vocabulary - กลยุทธ์การสอนคำศัพท์
5. Comprehension strategies - กลยุทธ์การสอนความเข้าใจในบทอ่าน
3.  รายงานได้สรุปว่าฐานรากของการอ่านเก่งทั้งคล่องและชัด (foundation for reading success)  อยู่ที่ ขั้นตอนที่ 1 และ 2  คือการสอน Phonemic awareness (PA) และ Phonics  ซึ่งรวมกันจะเรียกเป็นภาษาไทยว่าหลักสูตรถอดรหัสเสียงภาษาอังกฤษ   นี่เป็นการสอนอ่านภาษาอังกฤษแบบโฟนิคส์ ที่เน้นกลยุทธ์จากล่างไปบนซึ่งต่างจากระบบการสอนอ่านเป็นคำ (wholeword method) หรือ การสอนอ่านแบบองค์รวม (whole language ) ที่เน้นการจำคำศัพท์ และความหมายที่มักใช้ในโรงเรียนไทย      ข้อแตกต่างของการสอนภาษาอังกฤษของทั้งสองวิธีการสอนอ่านนี้ได้ สรุปไว้ในตารางที่  3
             สรุปแล้ว การสอนอ่านเป็น คำ (whole word method)  สอนให้เด็กจำคำด้วยการดูตัวอักษร หรือ ดูรูปด้วยสายตา(sight reading) ที่แสดงความหมายของคำในหนังสือ  สอนให้ ข้ามคำ (skip)ที่ไม่รู้จัก และ ให้หาคำ อื่นมาแทนที่ (substitute) สอนให้รู้ จักทำนาย (guess) ความหมายของคำโดยดูจากบูรบทของประโยค (context clues)  อีกทั้งเน้นการอ่านที่หลากหลาย แต่ไม่เน้นการอ่านออกเสียงดังๆ (oral reading/reading aloud)  ผู้ที่เก่งภาษาอังกฤษในระบบนี้ เก่งเพราะความจำดีและ ครู หรือผู้บริหารโรงเรียนต่างไม่ได้รู้เลยว่า เด็กเหล่านี้ไม่เคยได้รับการสอนอ่านที่ถูกวิธี   (ตารางที่ 3 )
4. งานวิจัยทางด้านการเรียนรู้ภาษาของสมอง (brain research) ได้แสดงให้เห็นข้อแตกต่างในการทำงานของสมองในระหว่างการอ่านของผู้ที่อ่าน เก่ง กับผู้ที่อ่านไม่เก่ง  

ดร. เซลลี่ เชวิทซ์ (Sally Shaywitz) แห่ง มหาวิทยาลัยเยลอธิบายว่า “ ถ้าเด็กจะอ่านเป็น และอ่านเก่ง เขาต้องมีความสามารถในการแยกคำที่ได้ยินออกมาเป็นหน่วยเสียง (phonemes)  พี้นฐานได้ และ ตัวอักษรที่เห็นเป็นตัวพิมพ์แต่ละตัว เป็นตัวแทของเสียงแต่ละเสียง       ผู้ที่มีปัญหาในการอ่าน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย    ภาพจากเครื่องสแกนสมอง fMRI  ที่ใช้คลื่นวิทยุและคลื่นแม่เหล็ก แสดงให้เห็นว่า ในการอ่านของผู้ที่มีปัญหาภาษาบกพร่อง   ส่วนหน้าของสมองที่ทำหน้าที่แยกแยอะหน่วยเสียงทำงานหนักหรือได้รับการ กระตุ้นมากเกินไป ขณะที่ส่วนหลังอีกสองส่วนที่เชื่อมโยงหน่วยเสียงกับตัวอักษร ตลอดจน ส่วนที่รับรู้คำอย่างอัตโนมัติจะไม่ได้รับการกระตุ้นเลย   ภาพสแกนนี้ต่างจากภาพของ สมองของผู้ที่ไม่มีปัญหาในการอ่าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสมองส่วนหลังทำงานตามปกติ

 5. งานวิจัยนี้ ได้นำร่องงานวิจัยทางด้านประสาทวิทยาอีกหลายสิบเรื่องในช่วงปี  2001-2008  ซึ่งเน้นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของสมอง (neuroscience research) ซึ่งต่างยืนยันว่าไม่ว่า เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในการอ่าน (ออกเสียง) ไม่ว่าจะเป็นพูดหรืออ่านดังๆ    ถ้าได้รับการบำบัดด้วยการ สอนเสริมด้วยโปรแกรมการฝึกที่เกี่ยวกับเรื่องเสียง (sound training) เช่นหลักสูตรถอดรหัสเสียงภาษาอังกฤษ (PA & Phonics)  เส้นใยสมองจะได้รับการกระตุ้นและจะถูกจัดระเบียบใหม่ (rewiring) และจะสามารถ พูด หรือ อ่านเก่งอย่างชัดถ้อยชัดคำในระยะเวลาอันสั้น (ไม่เกิน 120  ชั่วโมงฝึก) ถ้าฝึกด้วยโปรแกรมPA & Phonics ที่มีคุณลักษณะที่เป็น explicit, systematic sequential direct instruction ซึ่งหมายความถึงโปรแกรมสอนที่เป็นระบบ มีบทเรียนที่เรียงลำดับตามขั้นตอนที่มาจากผลของงานวิจัย และต้องสอน การสอนออกมาเป็นสัดส่วน (explicit phonics)  โดยไม่สอนรวมกับการสอนที่ปนกับไวยากรณ์ หรือ ศัพท์ (implicit phonics) ข้อมูลนี้น่าจะให้ความหวังใหม่แก่ผู้ใหญ่คนไทยที่ต้องการพื้นฟูให้ตัวเอง เก่งภาษาอังกฤษอีกครั้งหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น
 6.  หลังจาก ที่ รัฐบาล สหรัฐฯได้ ประกาศ ใช้ พรบ. NCLB (No Child Left Behind Act) ในปี2001  ที่บังคับให้เด็กอเมริกันทุกคนจาก ระดับอนุบาล ถึงเกรด 3 ต้อง เรียน PA & Phonics เพื่อวางพื้นฐานในการอ่าน    ได้มีงานวิจัยมากมายที่ทำในระดับห้องเรียน (classroom research)  ที่ได้ยืนยันถึงความล้มเหลงของการสอนอ่านเป็นคำ เช่น งานวิจัยทางด้านการอ่านของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ที่ระบุว่าการสอนโฟนิคส์ที่ เป็นระบบช่วยทำให้ผู้เรียนรับรู้คำ (word recognition)ได้ดีกว่า และสะกดคำ (spelling) ได้เก่งกว่าผู้เรียนที่ถูกสอนด้วยวิธีอ่านเป็นคำ (Marilyn Adams, 2002) และ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยของรัฐซานดิเอโกได้แสดงให้เห็นว่า    ถ้าเอาห้องรียนสองห้องที่ผู้เรียนมีคุณสมบัติเหมือนกัน ห้องหนึ่งสอนอ่านด้วยระบบโฟนิคส์ อีกห้องหนึ่งยังคงสอนอ่านแบบ whole language ใน ตลอดปีการศึกษา    ผลปรากฎว่าห้องเรียนที่ใช้การสอนภาษาอังกฤษด้วยระบบโฟนิคส์จะมีผลสัมฤทธิ์ ที่ ชนะห้องเรียนที่ สอนด้วยวิธีอ่านเป็นคำ ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาภาษาอังกฤษ (Groff, 2002 ) 
          โรงเรียนในเขตการศึกษาหนึ่งในรัฐ แคลิฟอร์เนียได้ทำวิจัยเชิงเปรียบเทียบในรอบ 2 ปี เพื่อศึกษาพัฒนาการของเด็กนักเรียนประถม 1 และ  2  ที่ถูกสอนด้วยระบบ โฟนิคส์ เปรียบเทียบกับนักเรียนที่ถูกสอนด้วยระบบอ่านเป็นคำ ผลปรากฎว่า เมื่อจบประถม 2 เด็กที่ได้รับการวางพิ้นฐานด้วยหลักสูตรโฟนิคส์ ได้ คะแนนสูงกว่าเด็กอีกกลุ่มหนี่งมากกว่า หนึ่งระดับชั้นเรียน     ในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวกับการรับรู้คำ การอ่านเป็นย่อหน้า คำศัพท์ และ การอ่านออกเสียงทั้งคำเก่าและคำใหม่    เด็กที่เรียนโฟนิคส์จะได้คะแนนสูงกว่าเกือบ 4  ระดับชั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้เรียนโฟนิคส์
            และหลังจากที่  ศาสตราจารย์ พิเศษ จีน ชอล (Jeanne Chall)  แห่งบัณฑิตวิทยาลัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ได้ทำการสังเคราะห์งานวิจัยมากมายที่ได้ทำมาในสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับวิธีการสอนอ่านเพื่อสรุปข้อถกเถียงของนักวิชาการของทั้งสองฝ่าย ที่กลุ่มหนึ่งสนับสนุนการสอนอ่านแบบโฟนิคส์ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยังคงนิยมแบบเดิม    ชอลได้เขียนสรุปด้วยความเป็นกลางในหนังสือ ชื่อ Uสู่การเป็นประเทศของนักอ่านU(Becoming the Nation of Readers)  ว่า “ เกี่ยวกับประสิทธิผลของการสอนโฟนิคส์ ในห้องเรียนนั้น  ผลปรากฎว่า โดยเฉลี่ยแล้วเด็กที่เรียนโฟนิคส์จะเริ่มต้นในการเรียนรู้ที่จะอ่านได้ดี กว่า (get off a better start in learning to read) เด็กที่ไม่มีพื้นความรู้ทางด้านนี้  ”  แม้กระทั่ง สถาบันสุขภาพแห่งชาติ  (National Institute  of Health) ได้รับการรายงาน จากงานวิจัยที่สถาบันเป็นเจ้าภาพสนับสนุน ณ โรงเรียนต่างๆในสหรัฐฯ ว่า อย่างน้อย ที่สุด  95% ของเด็กที่อ่านไม่เก่งเลย (poorest readers) สามารถเรียนรู้ที่จะอ่านให้ได้ ถึงมาตรฐานตามเกณฑ์ของระดับชั้นเรียนของตัวเอง  ถ้าได้ รับการสอนที่ถูกต้อง (proper instruction)  เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่าง ตัวอักษรกับเสียง ซึ่งหมายความถึงองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโฟนิคส์ นั่นเอง
7.   ส่วนประโยชน์ของการสอนโฟนิคส์ให้แก่ผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง นั้น ดร. ชวาร์ทซ์ (Dr. Schwartz)  แห่ง สถาบันการสอนให้ผู้ใหญ่อ่านออกเขียนได้แห่งชาติสหรัฐฯ (the National Adult Literacy Center) ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ได้สรุปเกี่ยวกับประสบการณ์การสอนของตัวเองว่า “ผู้เรียนที่มีปัญหา ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมักมาจากการไม่รู้จักโครงสร้างของเสียงของภาษา อังกฤษ และทักษะที่เกี่ยวกับการจัดการหน่วยเสียงภาษาอังกฤษ  ฉะนั้นเมื่อได้มีการสอนเสริมด้วยหลักสูตรพีเอ และโฟนิคส์อย่างเข้มข้น  การสะกดคำของเขาเหล่านั้นจะดีขึ้นมาก      เขาสามารถจะรับรู้คำและประโยคได้อย่างชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่า   ทำให้การเขียนตามคำบอก (dictation) ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแม้กับตัวผู้เรียนเองก็รายงานว่าความสามารถ ของตัวเองในการเข้าใจบทสนทนา และ การบรรยายในห้องเรียนของวิชาอื่นดีขึ้นมาก และ ที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะในการถอดรหัส (decoding skills)  จาก ตัวอักษรมาเป็นเสียง นั่นคือการอ่านดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด     และเขาเหล่านั้นก็ แปลกใจตัวเองที่ สามารถอ่านคำที่มีหลายพยางค์ ได้อย่างถูกต้องและง่ายดาย                โดยทั่วไปแล้ว ผลสัมฤทธิ์ ของผู้เรียนโดยรวมดี ขึ้น    เมื่อเปรียบเทียบกับผู้เรียนกลุ่มอื่นที่ไม่ได้เรียนเสริมหลักสูตรโฟนิคส์ ที่เข้มข้น       นอกจากนี้ผู้เรียนเหล่านี้ยังมีความเชื่อมั่นในตัวเองในเรื่อง ต่างๆสูงขึ้น     ซึ่ง ครูคนอื่นต่างก็ได้สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน “  ดร. ชวาร์ทซ์ กล่าวสรุป
บทสรุป และ ข้อเสนอแนะ    (รายละเอียด และ ตาราง ดู ได้ ที่ www.cyber-smart.org )
                 จาก ข้อมูลที่ได้เสนอมาทั้งหมด    งานวิจัยนี้จึงขอสรุปว่า การที่จะแก้ปัญหาภาษาอังกฤษบกพร่องของคนไทยนั้น เราควรจะรวมวิธีการสอนแบบโฟนิคส์ และวิธีสอนอ่านเป็นคำเข้าด้วยกัน ดังได้ สรุปไว้ใน แผน ภูมิ หรือ ตาราง ที่  4  ที่ กล่าว ถึง 7  ขั้นตอนในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้เกิดความชำนาญและคล่องแคล่วที่รวมทุก ทักษะคือฟัง พูด อ่าน และ เขียน เข้าด้วยกัน          ในการสอนภาษาอังกฤษด้วยกรอบของทฤษฎีใหม่นี้    วิธีที่สอนอ่านที่ได้ผลที่สุด จะ ต้อง ประกอบด้วย การปูพื้นฐาน 3  อย่าง คือ
1) การเทรนหูให้รู้จักหน่วยเสียงทุกเสียงของภาษาอังกฤษ (phonemic awareness)  อย่างถูกต้อง  เพื่อเตรียมพร้อมการเรียนโฟนิคส์ต่อไป
2) การฝึกโฟนิคส์ (phonics) ด้วยโปรแกรมฝึกที่มีประสิทธิผล ที่สร้างเส้นใยสมองให้เกิดการพัฒนาทักษะในการถอดรหัส ตัวอักษรเป็นเสียง (decoding)  อย่างอัตโนมัติ และ อย่างถาวร
3) การใช้วิธีการของการสอนอ่านเป็นคำ (whole word method) หรือ  whole language  โดยหลังจากที่ได้เรียนรู้เคล็ดลับในการถอดรหัสดังในข้อ 1 และ 2 และ ฝึกจนชำนาญแล้ว ควรนำความรู้มาใช้ในการฝึกภาคปฎิบัติจริง เช่นในการอ่านดังๆ บทอ่านต่างๆ ที่มีเนื้อหาที่ต่อเนื่องและหลากหลายไม่ว่าจะเป็น นิทาน สารคดี ข่าว บทความ ซึ่งระบบการสอนอ่านเป็นคำ มักนิยมใช้ ในยามปกติ  โดยให้มีการควบคุมการใช้คำศัพท์(controlled vocabulary) ให้เหมาะกับระดับชั้นเรียนของผู้เรียน  และถ้าผู้เรียนอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่เขาจะเขียนเก่งก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
         และ นี่ก็ เป็นทฤษฎีการสอนภาษาอังกฤษที่รวมการพัฒนาทุกทักษะแบบใหม่ ที่เน้นขั้นตอนจากล่างไปบนและไม่ได้ทิ้งทวนการสอนอ่านเป็นคำแต่ จะรวมทั้งสองวิธีสอนเข้าด้วยกัน โดยเน้นการสอน PA & Phonics เป็นพื้นฐานในการอ่านที่นำมาซึ่งความสำเร็จ (foundation for reading success )ซึ่งสองส่วนนี้เป็นส่วนที่ขาดหายไปในระบบ(missing link) การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของคนไทย    เพราะหลักสูตรทั้งสองยังไม่ได้เป็นหลักสูตรภาคบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ ไทยเหมือนในสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ ทำให้การสอนต้องทำในรูปแบบของการสอนแทรก หรือ เสริม (intervention) เพื่อซ่อมส่วนที่ขาดหายไปของระบบที่กำลังสอนในปัจจุบัน  ในสหรัฐฯ การสอนเสริมมักทำโดย คลินิคสอนอ่าน หรือ พูด (speech & reading clinic)  หรือ ศูนย์ที่สอนคนให้รู้ภาษาอังกฤษ ( Literacy Clinic or Center ) ทั้งใน และนอกสถานศึกษา
      
          ฉะนั้น ถ้าคุณมีภาวะภาษาอังกฤษบกพร่อง ลองหาโอกาสเรียนซ่อมและ เสริม ด้วยหลักสูตร PA & Phonics  ที่มีการสอนเชิงบูรณาการที่เปิดโอกาสให้คุณฝึกได้ด้วยตัวเอง (self-learning) ด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ อินเตอร์แร็คทีฟ มัลติมีเดีย อัจฉริยะ ซึ่งใช้ประสาทสัมผัสหลายด้าน (multi-sensory) เป็นสื่อในการฝึก และมีพี่เลี้ยง (reading coach)ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะให้คำแนะนำตอนคุณอ่านออกเสียงบทอ่านหรือ คำ ถอดรหัส (docodable words or texts)  ตัวต่อตัว จนคุณถอดรหัสคล่อง คุณอาจจะแปลกใจที่คุณจะสามารถอ่าน “ทุกอย่างที่ขวางหน้าได้”มากกว่า 80-90% ของคำภาษาอังกฤษทั้งสารบบอย่างถูกต้อง และความสามารถทางด้านการพูดและ การฟัง ของคุณจะดีขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ภายในระยะเวลาสั้น (ประมาณไม่เกิน 120  ชั่วโมง) และ คุณอาจจะคิดกลับไปเหมือนกับคนทุกคนที่ได้เรียนว่า คุณน่าจะได้เรียนหลักสูตรประเภทนี้ ก่อนที่จะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในวันแรกของชีวิตซะอีก เพราะถ้าคุณเก่งภาษาอังกฤษจริงๆ ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยนไป
เอกสารอ้างอิง
 1. The Research Building Blocks on how to teach children  to read, National Institute for Literacy (USA) (www.nifl.gov), National Institute of Child Health & Human Development) research sites (www.nih.gov/nichd)
2. ดร อินทิรา ศรีประสิทธิ์  การ ใช้ อินเตอร์เน็ทในการสอนโฟนิคส์ (Phonics) ประสมประสานกับการเรียนในห้อง จะช่วยให้เยาวชนไทยอ่านภาษาอังกฤษเก่ง  บทความ เสนอ ที่ งาน ประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 2 ด้านเทคโนโลยี่การสอนภาษาอังกฤษ (ICTTL 2007) ที่ โรงเรียนมหิดล วิทยานุสรณ์ วันที่ 9-10 ตุลาคม 2550 (www.cyber-smart.org)
3. ดร อินทิรา ศรีประสิทธิ์     เยาวชนไทยติดเกมส์เพราะอ่านหนังสือบนเว็ปไม่ออก  มติชน 25/02/51
4. ดร อินทิรา ศรีประสิทธิ์     สอนให้อ่านภาษาอังกฤษช่วยแก้ปัญหาติดเกมส์ออนไลน์ได้  มติชน 26/02/51
5. Sally Shaywitz, Imaging Study Reveals Brain Function of Poor Readers Can Improve, HUhttp://www.nih.gov/news/prUH and http://www.pbs.org/newshour/bb/science/jan-june98/dyslexia_3-11.html
6. Best references on Brain research and Phonics  เช่นเรื่อง Sounds Training Rewires Dyslexic Brains for Reading  by Dr. Nadine Gaab , http://www.sciencedaily.com/releases/2007/10/071030114055.htm
7.  Marilyn Adams, Building a Powerful Reading Program, from Research to Practice,  Institute for Education Reform (HUwww.csus.edu/ier/reading.htmlUH)
   8. Groff, Patrick, Blending Speech Sounds: a Neglected Phonics Skill, the National Right to Read Foundation,   Strasburg,VA, (HUwww.nrrf.orgUH ), 2002
9. Jeanne S. Chall,  Becoming the Nation of Readers, National Academy of Education's Commission on Reading, Harvard University, 1985 (http://www.readinghorizons.com/research/harvard.aspx)
10. Robin Schwarz, Using Phonemic Awareness to ESL students, the  National Adult Literacy Center, Washington D.C, 2003
11. Torgesen, J. K., Phonological Awareness: A Critical Factor in Dyslexia, Orton Dyslexia Society (1995) 
12. Panel, R. o. t. N. R. (2000). Teaching Children to Read: An Evidence-Based Assessment of the Scientific Research Literature on Reading and its Implications for Reading Instruction. Bethesda, MD: National Institute of Child Health and Human Development, National Institutes of Health.
13. Best references on reading instruction can be found at  Jeanne Chall Reading Lab’s Literacy web links,  Harvard University
14. Best references on dyslexia can be found in HUwww.dyslexia-parent.com/research.htmlUH และ http://www.ldonline.org
ตารางที่  1   อาการของภาษาอังกฤษบกพร่องที่มักพบในคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่สอง
• อ่านไม่ออก (wrong decoding - ถอดรหัสตัวอักษรให้เป็นเสียงไม่เป็น)
• ถ้าให้อ่าน จะอ่านช้า  (slow reading)
• อ่านแบบตะกุกตะกัก (choppy reading) หรือ อ่านไม่คล่อง (lack of reading fluency)
• อ่านออกเสียงไม่ชัด  (lack of reading accuracy)
• อ่านไม่มีความรู้สึก (inexpressive reading, reading without expression)
• เห็นคำใหม่อ่านไม่ออก (new words attack-poor)
• ไม่รู้จักคำที่ใช้บ่อยๆในภาษาอังกฤษ (sight word recognition -poor)
• แยกพยางค์ไม่เป็น (inability to segment words into syllables)
• พยายามอ่านโดยอาศัยความจำ   (struggling to read by relying on memories)
• จำศัพท์ไม่ค่อยได้ (poor vocabulary scores)
• ไม่อยากอ่านออกเสียงดังๆ เพราะ ไม่มั่นใจในการออกเสียง (avoid reading aloud)
• จำสิ่งอ่านไม่ค่อยได้ ลืมง่าย  (poor retention)
• มักเดาความหมายในสิ่งที่อ่าน (guessing at meanings)
• ไม่เข้าใจสิ่งที่อ่าน เพราะใช้ศาสตร์แห่งความจำ และ ความเดา(fail to comprehend reading texts)
• สะกดคำผิด  (misspelling) 
• เขียนตามคำบอกผิด และ (wrong dictation/encoding-  ถอดรหัสเสียงให้เป็นตัวอักษร)
• ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ  (fear of speaking English)
• ทั้งฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง  (wrong encoding/oral language comprehension)
• มักหลีกเลี่ยงการพูดกับฝรั่ง (avoid speaking English)
• เขียนไม่เป็น (inability to write English well)
• เขียนไม่รู้เรื่อง (inability to get messages across in writing )
• อ่านภาษาอังกฤษไม่เป็น ไม่คล่อง ไม่อยากอ่าน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ติดเกมส์ออนไลน์                      
(poor reading skills partly lead to computer games addiction)
• อ่านภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ เป็นอุปสรรคในการหาข้อมูลเพื่องานวิจัย ผลทำให้ ไม่เกิดนวัตกรรม
หรือ break through ในวงการวิชาการ (poor reading skills partly leads to lack of
 innovation in research)
                         
   =  ไม่ชอบอ่าน และ ไม่ชอบ(เรียน) ภาษาอังกฤษ                               ผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาอังกฤษต่ำ
 
ที่มาของ ข้อมูล  :  งานวิจัยทางด้านภาษาบกพร่อง  (dyslexia research) ของสหรัฐฯ
                    รวบรวมโดย ดร. อินทิรา  ศรีประสิทธิ์  (2009)
................................................................................
ตารางที่ 2    ข้อแตกต่างระหว่างการอ่านเป็น คำ และ การอ่านแบบโฟนิคศ์
                 กรุณาดูที่ www.cyber-smart.org
ตารางที่ 3     5 ขั้นตอนในการอ่านเก่ง
ตารางที่  4   7 ขั้นตอนที่จะทำให้คนไทยเก่งภาษาอังกฤษอย่างแท้จริงและถาวร

น่า เสียดาย ที่ คนไทยส่วนมากไม่ได้เรียนเคล็บไม่ลับในการถอดรหัส ทำให้ เรียนอังกฤษมานับสิบปี เราก็ยังไม่เก่ง จำศัพท์ ก็ไม่ค่อยได้ และ ลืมเร็ว  กว่าประเทศไทยจะนำหลักสูตรนี้ เข้าเป็นหลักสูตรภาคบังคับของกระทรวงก็ต้องรออีก อย่างน้อย 5  ปี
ให้ เราทุกคนที่เห็นด้วยกับ ข้อมูลจากงานวิจัยนี้ สนับสนุนให้การปฎิรูปการศึกษาที่จะมาถึงอีก สิบปีข้างหน้าได้ใช้งานวิจัยนี้นำ ในการวางแผน เพื่อ เด็ก และ เยาวชนไทย จะได้ไม่ตกโลกไซเบอร์ ในการเรียนรู้ เพราะ อ่านภาษาอังกฤษบนเว็ปไม่ออก อีกต่อไป

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

แนวทางการส่งเสริมการอ่านให้กับเด็กปฐมวัย



แนวทางการส่งเสริมการอ่านให้กับเด็กปฐมวัย

การอ่านเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาคนและพัฒนาชาติ ผู้ที่อ่านมากย่อมรู้มาก และได้เปรียบผู้อ่านน้อยเสมอ



             การอ่านนอกจากเป็นอาหารสมองที่ดีแล้วยังมีส่วนช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการทาง ด้านอารมณ์ และจิตใจให้แก่ผู้อ่านด้วย ยิ่งผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากเรื่องที่อ่านมากเท่าไร การเรียนรู้ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นเท่านั้น การอ่านกับเด็ก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณครูควรปลูกฝังและส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านตั้งแต่ ยังเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยอนุบาล  เพราะ เด็กในวัยนี้จะซึบซับและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้ง่ายและรวดเร็ว ยิ่งถ้าได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากคุณครูเป็นประจำและสม่ำเสมอด้วยแล้ว เด็กก็จะเกิดความคุ้นเคยและเคยชินกับการอ่านหนังสือ จนพัฒนาเป็นนิสัยรักการอ่านโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแนวทางการส่งเสริมการอ่านให้กับเด็กปฐมวัยนี้ ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
            1. จัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก ได้แก่ การจัดมุมหนังสือให้มีแสงสว่างที่พอเหมาะในการอ่าน ชั้นวางหนังสือที่เด็กสามารถหยิบและจัดให้เป็นระเบียบ
            2. สำรวจความต้องการอ่านของเด็ก  เพื่อจัดหนังสือให้ตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับวัยของเด็ก
            3. จัดป้ายนิเทศหมุนเวียนเปลี่ยนให้บ่อย ๆ เพื่อเป็นแรงดึงดูดใจและกระตุ้นให้นักเรียนสนใจอยากอ่าน
            4. จัดการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เช่น การสอนแบบโครงการ
            5. กระตุ้นและสร้างความสนใจให้อยากรู้เรื่องราวในหนังสือด้วยการจัดนิทรรศการ แนะนำหนังสือใหม่ เล่าเรื่องประกอบ อ่านหนังสือให้นักเรียนฟังทุกวัน สนับสนุนให้นักเรียนได้เล่าเรื่องที่อ่านให้เพื่อน ๆ ฟัง หรือให้เด็กยืมหนังสือไปอ่านร่วมกับผู้ปกครองที่บ้าน
            6. คุณครูเป็นแบบอย่างที่ดีในการอ่าน โดยการอ่านหนังสือให้นักเรียนเห็นและพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องราว ของหนังสืออยู่เสมอ คุณครูควรเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตุ้นให้เด็กรักการอ่านด้วยปิยวาจา เพื่อให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยไม่บังคับ ให้กำลังใจและยกย่องชมเชย เมื่อนักเรียนแสดงความสนใจในการอ่าน
            7. ให้หนังสือเป็นรางวัลในโอกาสต่าง ๆ เช่น เมื่อทำความดี ตอบคำถามถูกต้อง หรือเมื่ออ่านหนังสือได้จำนวนมาก

            เมื่อ เด็กได้รับการส่งเสริมการอ่านที่ดีเช่นนี้แล้ว เชื่อว่าพวกเขาก็จะรักและเห็นคุณค่าของหนังสือมากขึ้น และคราวนี้ประเทศของเราก็จะมีนักอ่านตัวน้อยเพิ่มขึ้นอีกหลายคนเลยค่ะ

ทฤษฎีการเรียนรู้

ทฤษฎีการเรียนรู้
1 ทฤษฎีการเรียนรู้จาก การเก็บข้อมูล (Retention Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับ ความสามารถที่จะ เก็บข้อมูล และเรียกข้อมูลที่เก็บเอาไว้กลับคืนมา ทั้งนี้รวมถึง รูปแบบของข้อมูล ความมากน้อยของข้อมูล จากการเรียนรู้ขั้นต้น แล้วนำไปปฏิบัติ
2 ทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้การโยกย้ายปรับเปลี่ยนข้อมูล (Transfer Theory) ทฤอมูลเก่า ทฤษฎีนี้ขึ้นษฎีนี้กล่าวว่า การเรียนรู้มาจาก การใช้ความเชื่อมโยง ระหว่าง ความเหมือน หรือความเกี่ยวข้องระหว่างข้อมูลใหม่กับข้อยู่กับ ข้อมูลขั้นต้นที่เก็บเอาไว้ด้วยเช่นกัน
3 ทฤษฎีของความกระตือรือร้น (Motivation Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ ความกังวล การประสบความสำเร็จและผลที่จะได้รับด้วย เช่น ถ้าทำอะไรแล้วได้ผลดี เด็กจะรู้สึกว่า ตนเองประสบความสำเร็จ ก็จะมีความกระตือรือร้น
4 ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง (Active Participation Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถ ในการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับ ความอยากจะเรียนรู้ และมีส่วนร่วม ถ้ามีความอยากเรียนรู้ และอยากมีส่วนร่วมมาก ความสามารถในการเรียนรู้ก็จะมีมากขึ้น
5 ทฤษฎีการเรียนรู้จากการเก็บรวบรวมและการดำเนินการจัดการกับข้อมูล (Information Processing Theory) ทฤษฎีนี้ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
  • ส่วนแรกพูดถึง ความสามารถในการจำระยะสั้นของสมอง ซึ่งมีขีดจำกัด สามารถเก็บข้อมูลเป็นกลุ่มก้อน (Chunking) ได้ประมาณ 7 ข้อมูล หรือ 5-9 คือ 7 บวกลบ 2 ข้อมูลก้อนนี้เป็นข้อมูลที่มีความหมาย ซึ่งอาจเป็นตัวเลข หรือคำพูด หรือตำแหน่งของตัวหมากรุก หรือใบหน้าคน เป็นต้น
  • ส่วนที่ 2 พูดถึง TOTE มาจาก Test-Operate-Test-Exit ทฤษฎีนี้นำเสนอโดย มิลเลอร์ (Miller) และคณะ กล่าวว่า ต้องมีการประเมินว่า ได้มีการกระทำที่บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าหาก บอกว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็จะต้องมีการกระทำ หรือปฏิบัติการใหม่เพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา
6 ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หรือ ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ อีกทฤษฎีหนึ่ง ตามความเห็นของ อลัน ชอว์ (Alan Shaw) กล่าวว่า เคยคิดว่า ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับ การศึกษาเรียนรู้ แต่ความจริง มีมากกว่า การเรียนรู้ เพราะสามารถนำไปใช้ใน สภาวะการเรียนรู้ ในสังคม ได้ด้วย ชอว์ ทำการศึกษา เรื่องรูปแบบ และ ทฤษฎีการเรียนรู้ และพัฒนา เขาเชื่อว่า ในระบบการศึกษา มีความสำคัญต่อเนื่องไป ถึง ระบบโครงสร้างของสังคม เด็กที่ได้รับ การสอนด้วย วิธีให้อย่างเดียว หรือ แบบเดียว จะเสียโอกาส ในการพัฒนาด้านอื่น เช่นเดียวกับสังคม ถ้าหากมีรูปแบบ แบบเดียว ก็จะเสียโอกาส ที่จะมีโครงสร้าง หรือพัฒนา ไปในด้านอื่น ๆ เช่นกัน
ชอว์ ได้ให้ความหมาย ของคำว่า คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม ในรูปแบบของพัฒนาการ ของ สังคมและจิตวิทยา ว่าเป็นแนวคิด หรือ ความเข้าใจ ที่เป็น คอนสตรัคทิวิซึ่ม (Constructivism) คือ รูปแบบที่ผู้เรียนเป็น ผู้สร้างความรู้ ไม่ใช่เป็น ผู้รับอย่างเดียว ดังนั้นผู้เรียน ก็คือ ผู้สอนนั่นเอง แต่ใน ระบบการศึกษาทุกวันนี้ รูปแบบโครงสร้าง จะตรงกันข้ามกับ ความคิดดังกล่าว โดยครูเป็น ผู้หยิบยื่นความรู้ให้ แล้วกำหนดให้ นักเรียนเป็นผู้รับความรู้นั้น
อย่างไรก็ตาม คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม มีแตกต่างจาก คอน-สตรัคทิวิซึ่ม ตรงที่ ทฤษฎีคอนสตรัคทิวิซึ่ม คือ ทฤษฎีที่กล่าวว่า ความรู้เกิดขึ้น สร้างขึ้นโดยผู้เรียน ไม่ใช่เป็นการให้จากผู้สอนหรือครู ในขณะที่ คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม มีความหมาย กว้างกว่านี้ คือ พัฒนาการของเด็ก ในการเรียนรู้ มีมากกว่า การกระทำ หรือ กิจกรรม เท่านั้น แต่รวมถึง ปฏิกิริยาระหว่างความรู้ ในตัวเด็กเอง ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ภายนอก หมายความว่า เด็กสามารถเก็บข้อมูล จากสิ่งแวดล้อมภายนอก และเก็บเข้าไป สร้าง เป็นโครงสร้าง ของความรู้ภายใน สมองของตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็สามารถเอา ความรู้ภายใน ที่เด็กมีอยู่แล้ว แสดงออกมา ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม ภายนอกได้ ซึ่งจะเกิดเป็น วงจรต่อไป เรื่อย ๆ คือ เด็กจะเรียนรู้เองจาก ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วนำข้อมูลเหล่านี้ กลับเข้าไปในสมอง ผสมผสานกับความรู้ภายในที่มีอยู่ แล้วแสดงความรู้ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
ดังนั้น ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม จึงให้ความสำคัญ กับโอกาสและ วัสดุที่จะใช้ใน การเรียนการสอน ที่เด็กสามารถนำไป
สร้างความรู้ ให้เกิดขึ้นภายใน ตัวเด็ก เองได้ ไม่ใช่ซึ่งไม่ใช่วิธีที่เกิดประโยชน์กับเด็ก ครูต้องเข้าใจธรรมชาติ ของกระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กกำลัง เรียนรู้อยู่ และช่วยเสริมสร้าง กระบวนการ เรียนรู้ นั้นให้เป็นไปได้ดีขึ้น ตามธรรมชาติของเด็ก แต่ละคน ครูควรคิดค้น พัฒนาสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คิดค้นว่าจะให้โอกาสแก่ผู้เรียน อย่างไรจึงจะให้ ผู้เรียนสามารถ สร้างความรู้ขึ้นเองได้ ถ้าเราให้ความสนใจเช่นนี้ เราก็จะหาทางพัฒนา และสร้าง วัสดุอุปกรณ์ ประกอบการเรียน การสอนใหม่ ๆ หรือหาวิธีที่ จะใช้อุปกรณ์การเรียน การสอน ที่มีอยู่ให้เป็น ประโยชน์ด้วย วิธีการเรียนแบบใหม่ คือ การสร้างให้ผู้เรียน สร้างโครงสร้างของ ความรู้ขึ้นเอง
ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท (Seymour Papert) และ ศาสตราจารย์ มิทเชล เรสนิก (Mitchel Resnick) มีความเห็นว่า ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม คือ ทฤษฎีการศึกษาการเรียนรู้ ที่มีพื้นฐานอยู่บนกระบวนการการสร้าง 2 กระบวนการด้วยกัน
สิ่งแรก คือ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วย การสร้างความรู้ใหม่ ขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่รับแต่ข้อมูล ที่หลั่งไหลเข้ามา ในสมองของผู้เรียน เท่านั้น โดยความรู้ จะเกิดขึ้นจาก การแปลความหมาย ของประสบการณ์ที่ได้รับ
สิ่งที่สอง คือ กระบวนการการเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้น มีความหมายกับ ผู้เรียนคนนั้นมุ่งการสอน การป้อนความรู้ให้ คิดค้นแต่วิธีที่จะสอนอย่างไรจึงจะได้ผล ซึ่งไม่ใช่ วิธีที่เกิดประโยชน์กับเด็ก ครูต้องเข้าใจ ธรรมชาติ ของ กระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กกำลัง เรียนรู้อยู่ และช่วยเสริมสร้างกระบวนการ เรียนรู้นั้นให้เป็นไปได้ดีขึ้นตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน
ครูควรคิดค้นพัฒนาสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คิดค้นว่า จะให้โอกาสแก่ผู้เรียนอย่างไรจึงจะให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นเองได้
ถ้าเราให้ความสนใจเช่นนี้ เราก็จะหาทางพัฒนาและสร้างวัสดุอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนใหม่ ๆ หรือหาวิธีที่จะใช้อุปกรณ์ การเรียนการสอน ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ด้วยวิธีการเรียนแบบใหม่ คือการสร้างให้ผู้เรียนสร้างโครงสร้าง ของความรู้ขึ้นเอง
มีความหมายกับผู้เรียนคนนั้นทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม บอกว่า การจะให้การศึกษากับเด็กขึ้นอยู่กับว่า เรามีความเชื่อว่า ความรู้เกิดขึ้น ได้อย่างไร ถ้าหากเราเชื่อว่าความรู้เกิดจากการที่เด็กพยายามจะสร้างความรู้ขึ้นเอง การให้การศึกษาก็จะต้อง ประกอบด้วย การดึงเอา ความรู้นี้ ออกมาจากเด็ก ด้วยการขอให้เด็กทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือตอบคำถาม ที่จะใช้ความรู้นั้น และให้โอกาสเด็กมีส่วนร่วม ในกิจกรรม ที่จะทำให้ เกิดกระบวนการสร้างความรู้ ในทางตรงข้ามถ้าเราเชื่อว่าความรู้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ภายนอก การให้การศึกษา ก็จะต้อง ประกอบด้วย การให้ประสบการณ์ที่ถูกต้องกับเด็ก แสดงให้เด็กเห็นถึงวิธีที่ถูกต้องที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือบอกคำตอบที่ถูกต้อง ให้กับเด็ก วิธีนี้คือ การศึกษาในสมัยก่อนนั่นเอง

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก

MQ (Moral Quotient) คือระดับจริยธรรมศีลธรรมบุคคล ซึ่งสามารถการควบคุมตนเอง มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีความกตัญญู เป็นคนดี มีระเบียบวินัย มีสำนึกผิดชอบชั่วดี และเคารพนับถือผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสังคมและมนุษยชาติ บางคนเข้าใจว่า EQ กับ MQ นั้นคือ สิ่งเดียวกันแต่จิตแพทย์ จาก ม.ฮาร์วาด ดร.โรเบิร์ต โคลส์ ( Cole ; 1997 ) ได้แยกเอาระดับความคิดด้านจริยธรมมและศีลธรรมนี้ออกมาจากความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญเฉพาะขึ้นอีก ดร.โรเบิร์ต โคลส์ กล่าวว่า MQ นั้นไม่สามารถฝึกฝนหรือขัดเกลาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่บุคคลเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว เหมือนดังคำโบราณของไทยที่ว่า "สันดอนนั้นขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยาก"
การที่บุคคลคนหนึ่งจะมี MQ ระดับดี ต้องเริ่มปลูกฝังในวัยเด็กจึงจะได้ผล อาศัยปัจจัย 3 อย่างด้วยกันคือ การสอนศีลธรรมโดยตรงให้กับเด็ก การถ่ายทอดทางศีลธรรมจากผู้ใหญ่ให้กับเด็ก ความรักและวินัย
MQ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกมาตั้งแต่วัยเด็ก ถ้าบุคคลได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมาแต่ยังเป็นเด็ก บุคคลก็สามารถ พัฒนาพื้นฐาน MQ ของตนขึ้นมาในระดับหนึ่ง (มากน้อยแล้วแต่การปลูกฝัง) และ MQ นี้ก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ของบุคคลผู้นั้น และจะรอเวลาที่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง โดยการอบรมสั่งสอน การฟังธรรม และวิธีอื่น ๆ แต่ถ้าบุคคลไม่มี MQ อยู่ในจิตสำนึกดั้งเดิมแล้ว ไม่ว่าโตขึ้นจะได้รับการกระตุ้น อย่างไรก็ไม่สามารถ ทำให้บุคคลผู้นั้น กลายเป็นคนดีขึ้นมาได้มากนัก
ในทางจิตวิทยา เรื่องระดับพัฒนาการทางจริยธรรม ได้มีนักจิตวิทยาได้เสนอทฤษฏีที่น่าสนใจ ไว้นานแล้วก่อน ที่จะมีการเสนอเรื่อง MQ ก็คือ Lawrance Kolhberg 1927-1987 ซึ่งนับว่าเป็นทฤษฏี ที่อาจนำไปทำความเข้าใจบุคลิกภาพของบุคคลได้อีกแนวคิดหนึ่ง

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฎีของโคลเบิร์ก (Kolhberg) เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานสืบเนื่องมาจาก ทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิร์กได้ปรับปรุงวิธีการวิจัย การวิเคราะห์ผลรวมทั้งได้ทำการวิจัยอย่างกว้าวขวาง ไม่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ได้ทำการวิจัยในประเทศอื่น ที่มีวัฒนธรรมต่างไป เช่น ประเทศไต้หวัน เตอรกี และเม็กซิโก เป็นต้น โคลเบิร์กได้คิดวิธีวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีระบบการ ให้คะแนนอย่างมีระเบียบ แบบแผน ผู้ที่จะใช้วิธีการให้คะแนนระดับพัฒนาการทางจริยธรรม จะต้องได้รับการอบรมเป็นพิเศษ วิธีการวิจัยที่โคลเบิร์กใช้ก็คล้ายคลึง กับวิธีการของพีอาเจต์มาก คือสร้างสถานการณ์สมมติปัญหาทางจริยธรรม ที่ผู้ตอบยาก ที่จะตัดสินใจได้ว่า "ถูก" "ผิด" "ควรทำ" หรือ "ไม่ควรทำ" อย่างเด็ดขาด เพราะขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง การตอบจะขึ้น กับวัยของผู้ตอบ เกี่ยวกับความเห็นใจ ในบทบาทของผู้พฤติกรรมในเรื่องค่านิยม ความสำนึกในหน้าที่ในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม ความยุติธรรมหรือหลักการที่ตนยึด จากการวิเคราะห์คำตอบของผู้ตอบวัยต่าง ๆ โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังนั้น พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมีทั้งหมด 6 ขั้น คำอธิบายของระดับและขั้นต่าง ๆ ของพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก มีดังต่อไปนี้

ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre-Conventional) ในระดับนี้เด็กจะได้รับ กฎเกณฑ์และข้อกำหนดของพฤติกรรมที่ "ดี" "ไม่ดี" จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น บิดา มารดา ครูหรือเด็กโต และมักจะคิดถึงผลที่ตามมาที่จะนำรางวัลหรือการลงโทษมาให้
พฤติกรรม "ดี" พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รางวัล
พฤติกรรม "ไม่ดี" พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รับโทษ
โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
1.1 การลงโทษ และการเชื่อฟัง (Punishment and Obedience Orientation)
1.2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน (Instrumental Relativist Orientation)

ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม (Conventional) พัฒนาการจริยธรรมระดับนี้ ผู้ทำถือว่า การประพฤติตนตาม ความคาดหวัง ของผู้ปกครอง บิดา มารดา กลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกหรือของชาติ เป็นสิ่งที่ควรจะทำหรือทำความผิดเพราะกลัวว่า ตนจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ผู้แสดงพฤติกรรมจะไม่คำนึงถึงผลตามที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง ถือว่าความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี เป็นสิ่งสำคัญ ทุกคนมีหน้าที่จะรักษามาตรฐานทางจริยธรรม ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
2.1 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สำหรับ "เด็กดี" (Interpresonal Concordance of "good boy, nice girl" Orientation)
2.2 กฎและระเบียบ ("Law-andorder" Orientation) การทำถูกไม่ประพฤติผิด คือ การทำ ตามหน้าที่ประพฤติตนไม่ผิดกฎหมาย และรักษาระเบียบแบบแผนของสังคม

ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ หรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม (Post-conventional Level) พัฒนาการ ทางจริยธรรมระดับนี้ เป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะ ตีความหมายของ หลักการและมาตรฐานทาง จริยธรรมด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักฐานของความประพฤติที่จะปฏิบัติตาม การตัดสิน "ถูก" "ผิด" "ไม่ควร" มาจากวิจารณญาณของตนเอง ปราศจากอิทธิพลของผู้มีอำนาจหรือกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิก กฎเกณฑ์ – กฎหมาย ควรจะตั้งบนหลักความยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกของสังคมที่ตนเป็นสมาชิก โคลเบิร์กแบ่งพัฒนาการทางจริยธรรม ระดับนี้เป็น 2 ขั้น

สรุปแล้ว พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมี 3 ระดับ และ 6 ขั้น ขั้นต่าง ๆ ของพัฒนาการทางจริยธรรม มีดังนี้

ขั้นที่ 1 การลงโทษ และการเชื่อฟัง
โคลเบิร์กกล่าวว่าในขั้นนี้เด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องชี้ว่า พฤติกรรมของตน "ถูก" หรือ "ผิด" เป็นต้นว่าถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ "ผิด" และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งนั้นอีก พฤติกรรมใดที่มีผลตามด้วยรางวัลหรือคำชม
เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ "ถูก" และจะทำซ้ำอีกเพื่อหวังรางวัล

ขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน
ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ เพื่อประโยชน์หรือความพอใจของตนเอง หรือทำดีเพราะอยากได้ของตอบแทน หรือรางวัล ไม่ได้คิดถึงความยุติธรรมและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำเพื่อสนองความต้องการ เห็นใจผู้อื่น หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำเพื่อสนองความต้องการของตน แต่มักจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เช่น ประโยค "ถ้าเธอทำให้ฉัน ฉันจะให้........."

ขั้นที่ 3 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคมสำหรับ "เด็กดี"
พัฒนาการทางจริยธรรมขั้นนี้เป็นพฤติกรรมของ "คนดี" ตามมาตรฐานหรือความคาดหวังของบิดามารดา หรือเพื่อนวัยเดียวกัน พฤติกรรม "ดี" หมายถึง พฤติกรรมที่จะทำให้ผู้อื่นชอบและยอมรับ หรือไม่ประพฤติผิดเพราะเกรงว่าพ่อแม่จะเสียใจ

ขั้นที่ 4 กฎและระเบียบ
โคลเบิร์กอธิบายว่า เหตุผลทางจริยธรรมในขั้นนี้ถือว่าสังคมจะอยู่ด้วยความมีระเบียบร้อยต้องมี กฎหมายและข้อบังคับ คนดีหรือ คนที่มีพฤติกรรมถูกต้อง คือคนที่ปฏิบัติตามระเบียบบังคับหรือกฎหมาย ทุกคนควรเคารพกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และความเป็นระเบียบของสังคม

ขั้นที่ 5 สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา
ขั้นนี้เน้นถึงความสำคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ใน สังคมยอมรับ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรที่จะปฏิบัติตาม โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนที่จะใช้มาตรฐานทางจริยธรรม ได้ใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบว่า สิ่งไหนผิดและสิ่งไหนถูก ในขั้นนี้การ "ถูก" และ "ผิด" ขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของบุคคลแต่ละบุคคล แม้ว่าจะเห็น ความสำคัญของสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างบุคคล แต่เปิดให้มีการแก้ไข โดยคำนึงถึงประโยชน์และ สถานการณ์แวดล้อมในขณะนั้น

ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle Orientation)
ขั้นนี้เป็นหลักการมาตรฐานจริยธรรมสากล เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม เพื่อความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชน และเพื่อ ความยุติธรรม ของมนุษย์ทุกคนในขั้นนี้สิ่งที่ "ถูก" "ผิด" เป็นสิ่งที่มโนธรรมของแต่ละบุคคลที่เลือกยึดถือ

สรุปแล้ว โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ถือว่าพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์เป็นไปตามขั้นอย่างมีระเบียบ คือเริ่มจากขั้นที่ 1,2,3,4,5 และ 6 ตามลำดับ บุคคลทุกคนจะต้องผ่านพัฒนาการทางจริยธรรมขั้นต้น ๆ ซึ่งเป็นรากฐานของพัฒนาการทางจริยธรรมขั้นต่อไป และเมื่อผ่านแล้ว ก็ยากที่จะกลับไปขั้นเดิมอีก
สรุปลำดับขั้นพัฒนาการจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม " ดี" คือได้รางวัล "ไม่ดี"คือการได้รับโทษ
ขั้นที่ 1. บุคคลใช้เกณฑ์ทางจริยธรรม โดยยึดการลงโทษ การเชื่อฟัง เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน
ขั้นที่ 2. บุคคลใช้ กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน ไม่คิดถึงความยุติธรรม ไม่เห็นใจผู้อื่น ทำเพื่อสนองความต้องการ ของตนเอง ทำโดยมีเงื่อนไข ระดับจริยธรรมตามกฏเกณฑ์สังคม
ขั้นที่ 3. บุคคลทำตามความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สำหรับเด็กดี good boy, nice girl
จะทำตามผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา ยอมรับโดยไม่คำนึงความถูกต้อง
ขั้นที่ 4. บุคคลยึดกฎและระเบียบ การทำตามหน้าที่ ประพฤติตนไม่ผิดกฎหมาย รักษาระเบียบแบบแผน ของสังคม
ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณหรือระดับเหนือกฎเกณฑ์ของสังคม
ขั้นที่ 5. บุคคลยึดหลักสัญญาประชาคม หรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา
ขั้นที่ 6. บุคคลยึดหลักการคุณธรรมสากล

โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และโลกก็ประสบกับปัญญาใหม่ ๆ ซึ่งในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นและปัญหาบางปัญหาก็มี ความซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกด้านส่งผลให้บุคคลที่ไม่สามารถจัดการกับ การเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ต้องเผชิญกับ ความยุ่งยาก อาชีพบางอาชีพ หากบุคคลากรที่ไม่สามารถปรับตัว กับการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องออกจากอาชีพไปก็มี โลกของงานอาชีพ หลายอาชีพ ในปัจจุบันได้รับผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วโดยเฉพาะ การเปลี่ยนแปลง ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และเทคโนโลยีการสื่อสารดังนั้นบุคคลที่พึงประสงค์ในศตวรรษนี้ นอกจากเป็นผู้มีบุคลิกภาพ ด้านองค์ประกอบ IQ ,EQ, และ MQ ในระดับสูงแล้ว ยังมีองค์ประกอบ ที่ปัจจุบันใน วงการธุรกิจ ให้ความสำคัญมากคือ องค์ประกอบด้าน AQ

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ศธ.ช็อก! WEF จัดอันดับการศึกษา “ไทย” คุณภาพต่ำ ตามก้น “เขมร-เวียดนาม”

ศธ.ช็อก! WEF จัดอันดับการศึกษา “ไทย” คุณภาพต่ำ ตามก้น “เขมร-เวียดนาม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กันยายน 2556 17:33 น.
       ศธ.เต้น! เหตุ WEF จัดอันดับการศึกษาไทยคุณภาพต่ำ ไล่ตามก้น กัมพูชา-เวียดนาม “จาตุรนต์” สั่งวิเคราะห์ด่วนหาที่มาที่ไปและข้อมูลตัวชี้วัดที่นำมาใช้ ก่อนปรับการศึกษาทั้งระบบ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       วันนี้ (3 ก.ย.) ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการประชุมของ World Economic Forum (WEF) - The Global Information Technology Report 2013 ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มสุดท้ายอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนต่ำที่สุด รองจากประเทศเวียดนาม ที่ได้อันดับ 7 และประเทศกัมพูชา อันดับ 6 ซึ่งทั้งนี้ ผลการจัดอันดับได้สรุปว่า เงินทุนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดของการมีระบบการศึกษาที่ดี และการที่ครูอาจารย์มีเงินเดือนสูง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถทางการสอนสูงตามไปด้วย สำหรับประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการผลักดันเรื่องเงินเดือนครู ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องเร่งรัดครูในเรื่องประสิทธิภาพในการสอนควบคู่กันไปด้วย
      
       ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ.กล่าวต่อว่า ทั้ง นี้ สำหรับประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในกลุ่มอาเซียน เรียงตามลำดับที่ดีที่สุด ดังนี้ อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์ อันดับ 2 ประเทศมาเลเซีย อันดับ 3 ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม อันดับ 4 ประเทศฟิลิปปินส์ อันดับ 5 ประเทศอินโดนีเซีย อันดับ 6 ประเทศกัมพูชา อันดับ 7 ประเทศเวียดนาม และอันดับ 8 ประเทศไทย ซึ่ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก และได้สั่งการให้ตนวิเคราะห์ที่มาที่ไปของผลการจัดอันดับดังกล่าว จากนี้ตนจะต้องไปศึกษาว่าผลการจัดอันดับที่ออกมามีความเที่ยงตรงมากน้อยแค่ ไหน โดยจะต้องดูวิธีการจัดว่าใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดบ้าง
      
       อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูหลักๆ พบว่า การจัดอันดับดังกล่าวเป็นการประเมินภาพรวมการจัดการศึกษาของแต่ละประเทศ และคาดว่าจะมีการนำคะแนนการสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ Program for International Student Assessment (PISA) มาเป็นองค์ประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจน เนื่องจากหากดูข้อมูลคะแนนสอบ PISA 2012 ที่กำลังจะประกาศผลเร็วๆ นี้ โดยประเทศเวียดนามเข้าสอบครั้งแรก และขณะนี้เริ่มทราบผลคะแนนแล้วว่า คะแนนคณิตศาสตร์ของเวียดนามได้สูงพอๆ กับประเทศจีน เมื่อครั้งที่ร่วมเข้าสอบ PISA ในปี 2009 ซึ่งเท่าที่ดู เวียดนามน่าจะติดอันดับ 1 ใน 5 มากกว่า ดังนั้น จึงต้องไปศึกษาวิธีการประเมินและตัวชี้วัดให้ละเอียดก่อน จึงจะสามารถวิเคราะห์ผลการจัดอันดับครั้งนี้ได้
      
       “ข้อมูลนี้ถือว่าน่าตกใจ เพราะอันดับของเราถือว่าต่ำมาก แต่เมื่อเทียบในอันดับโลกเราก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ต่ำขนาดนี้ ดังนั้นจึงต้องไปวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่า เป็นเพราะอะไร แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาไทยก็จะต้องมีการปรับใหญ่ทั้งระบบ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่การปรับหลักสูตรเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญต้องไปดูการจัดการศึกษาในภาพรวมว่าได้มาตรฐานโลกหรือไม่ และถ้าดูจากผลการวิเคราะห์คะแนน PISA ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า เด็กไทยคิดไม่เป็น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ประเด็นสำคัญที่เราจะต้องไปเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การปฏิรูปวิธีการเรียนการสอน และปฏิรูปครู ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการศึกษา” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ.กล่าว
       

คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 8 บรรทัด/ปี เร่งหนุนเยาวชนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น

คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 8 บรรทัด/ปี เร่งหนุนเยาวชนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น


ศธ.เปิดงาน เผยคนไทยรู้หนังสือมากขึ้น ถึงร้อยละ 97 ส่วนการอ่านหนังสือยังน้อยเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อปี ขณะที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน มาเลเซีย เวียดนาม อ่านหนังสือ 5 เล่มต่อปี
ศ.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดงานวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ พ.ศ.2555 พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันอัตราผู้รู้หนังสือของไทยเพิ่มขึ้น ขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 97 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 3 ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ จะเร่งผลักดันให้เยาวชนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่รู้หนังสือ หากต้องการเรียนก็จะมีหลักสูตรเร่งรัด เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภายใน 8 เดือน คาดว่าจะมีผลให้ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ กลับมารู้หนังสือมากขึ้น
นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า อัตราการอ่านหนังสือของคนไทย จากการสำรวจเมื่อปี 2553 อยู่ที่เฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม มีอัตราการอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 เล่ม ส่วนประเทศในแถบยุโรปอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 16 เล่ม คาดว่าการที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยมาจากการมีสื่ออื่นให้ศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งอินเทอร์เน็ต และช่องทางอื่นๆ อย่างไรก็ตาม กศน.จะเร่งผลักดันและส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น ด้วยโครงการบ้านหนังสือ กระจายหนังสือดีให้ประชาชนได้อ่าน . - สำนักข่าวไทย

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด ตอน ม้าตีนปลาย


เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด ตอน ม้าตีนปลาย
ถ้าลูกเรียนไม่เก่ง อ่านไม่ออก เมื่อชั้นอนุบาลหรือ ป 1 ท่านจะทำอย่างไร?
หมอจะเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของหมอและลูกหมอเองให้ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดกับผู้อ่านทุกท่าน ถ้าเป็นกรณีลูกของคุณ คุณจะทำอย่างไร?
ลูกชายคนโต เรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งที่เน้นการเลี้ยงดูเด็ก สอนเด็กให้ช่วยเหลือตัวเอง เข้าสังคมเล่นกับเพื่อน ไม่เน้นการเรียนการสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้หรือแม้กระทั่งการบวกเลข ไม่ว่าจะเป็นเลขหนึ่งหลักหรือสองหลักก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อลูกหมอเริ่มเข้าโรงเรียนชั้นประถม 1 อ่านหนังสือเป็นคำไม่ได้เลย อ่านวันที่ที่ครูจดบนกระดานไม่ได้ อ่านได้แต่ ก .. ไก่ ข.. ไข่ ค... ควาย หรือคำง่ายๆ เช่น กา ขา เป็นต้น ในขณะที่เด็กคนอื่นส่วนมากอ่านออกและบวกเลขได้แล้ว ถ้าคุณเป็นตัวหมอ คุณคิดว่าคุณควรทำอย่างไร
1)จ้างครูมาสอนพิเศษตัวต่อตัว
หรือ 2)ส่งลูกไปเรียนพิเศษ และทำการบ้านเพิ่มเติม
หรือ 3) ติวและสอนหนังสือลูกด้วยตัวเองอย่างเข้มข้นเพื่อให้ลูกเรียนทันเพื่อน
ถ้าคุณตอบข้อ 1, 2 หรือ 3 ข้อใดข้อหนึ่งคุณคิด ........ผิดครับ เพราะหมอแน่ใจในตัวลูกหมอว่าไม่โง่แน่นอน (ถ้าคุณผู้อ่านยังจำได้ คนเราจะฉลาดหรือไม่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมครับ) หมอจึงปล่อยให้ลูกเรียนอย่างสบายตามปกติ ไม่มีการติวหรือเรียนพิเศษ เพียงแต่ให้ทำการบ้านตามที่คุณครูสั่ง หมอมีหน้าที่ตรวจว่าลูกทำการบ้านคร บและถูกต้องเพียงเท่านั้น เสาร์อาทิตย์เป็นวันครอบครัว เป็นวันพักผ่อน พาไปเที่ยวเขาดินแทบทุกอาทิตย์ ไม่มีการส่งลูกไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้าจรดเย็นอย่างที่หลายคนทำกันอยู่ ถึงเวลาสอบเทอมแรกลูกหมอยังอ่านหนังสือไม่คล่อง เวลาสอบลูกเล่าว่าต้องให้คุณครูยืนอยู่ข้างๆ อ่านโจทย์ให้ฟังแล้วให้ลูกเลือกคำ ตอบเอง ผลการสอบเทอมแรกลูกหมอได้ที่ 29 จาก 30 คน อ่านไม่ผิดหรอกครับ ได้ที่ 2 จากท้ายห้อง น่าตกใจไหมครับ? ถึงตอนนี้ถ้าคุณเป็นตัวหมอ คุณจะทำอย่างไร?
1)จ้างครูมาสอนพิเศษตัวต่อตัว
หรือ 2) ส่งลูกไปเรียนพิเศษและทำการบ้านเพิ่มเติม
หรือ 3) สอนหนังสือลูกด้วยตัวเองอย่างเข้มข้นเพื่อให้ลูกสอบดีขึ้น
ถ้าคุณตอบข้อ 1 , 2 หรือ 3 ข้อใดข้อหนึ่ง คุณตอบ........ผิดครับ ปิดเทอมหมอส่งลูกไปอยู่กับอาม่า(แม่ของหมอ)ที่กาญจนบุรี ไปใช้ชีวิตเรียนรู้ธรรมชาติต่างจังหวัด เปิดเทอมจึงไปรับกลับมาเรียนตามปกติ ไม่มีการสอนหรือเรียนพิเศษเพิ่มเติมเหมือนเทอมแรก ผลการสอบเทอมปลาย ลูกหมอเริ่มอ่านหนังสือได้คล่อง สอบได้ที่ประมาณ 22 – 23 ของห้อง ปิดเทอมใหญ่ก็ไปอยู่กับอาม่าที่ต่างจังหวัดเหมือนเคยจนเปิดเทอม กลับมาเรียน ป.2 ลูกไปเรียนตามปกติ ทุกอย่างยังทำเหมือนเดิม หมอเพียงตรวจการบ้านว่าทำครบและถูกต้อง ผลการสอบปรากฏว่าลูกค่อยๆ ดีขึ้นจนประมาณ ป . 3 ก็เริ่มเห็นว่าลูกทันเพื่อนในชั้นแล้ว แต่เกรดการสอบก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยปานกลางของห้อง จะมาเริ่มเห็นว่าลูกเริ่มเก่งประมาณ ม. 1 พอถึง ม. 3 หมอก็แน่ใจว่าลูกเก่งพอสมควร สอบได้เกรด 3 กว่า พอ ม. 4 – ม. 6 ผลการสอบก็ดีขึ้นตามลำดับ จนสามารถสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ จากเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออก สอบได้ที่ท้ายสุดของห้อง ปัจจุบันเรียนจบเป็นหมออายุรกรรมโรคหัวใจแล้วครับ
ลูกคนที่ 2 ก็เหมือนกัน ตอนเข้าเรียนชั้นประถม 1 อ่านไม่ออก เขียนเป็นคำไม่ได้ ปรากฏว่าโรงเรียนมีโครงการทดลองจับ เด็กเรียนอ่อนทั้งหมด 40 กว่าคนรวมอยู่ห้องเดียวกัน ให้ครูประจำชั้น 2 คนดูแล สอนติวพิเศษตอนเย็นทุกวัน ครูสั่งการบ้านเยอะแยะไปหมด เช่นเลข 10 ข้อ แต่ละข้อจะมี 10 ข้อย่อย รวมเป็น 100 ข้อต่อครั้ง ตอนเย็นพ่อแม่ต้องมานั่งรอกันเต็มหน้าห้องทุกวัน หลายคนเป็นทุกข์กังวลใจมากและนั่งคุยปรับทุกข์กันเอง ส่วนหมอนั้นชินเสียแล้ว เพราะประสบการณ์จากลูกคนแรกสอนว่าถ้าลูกเรานั้นใช้ได้ เริ่มต้นถึงจะช้ากว่า แต่ท้ายที่สุดก็จะสามารถทันเพื่อนได้โดยตัวเขาเอง โดยไม่ต้องเร่งเรียนพิเศษ ผลการสอนปรากฏว่าเย็นวันหนึ่ง หมอไปถึงหน้าห้อง เห็นห้องปิดหมดทั้งประตูและหน้าต่าง ปิดไฟมืดและเงียบ พ่อแม่นั่งรอคอยกันเต็มหน้าห้องเหมือนทุกวัน ถามได้ความว่าครูทนไม่ไหว ในความเป็นเด็กอ่อนของนักเรียนทั้งห้อง ซนมาก ไม่สนใจเรียน ไม่ยอมนั่งเรียน เดิน วิ่งไม่ฟังครู จนครูทนไม่ไหว ร้องไห้ ปิดประตูหน้าต่างรวมทั้งไฟและพัดลม ปล่อยให้เด็กนั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้อง เป็นการทำโทษ สักพักจึงปล่อยกลับบ้าน ทำเอาพ่อแม่ใจเสียกันแทบทุกคน ยกเว้นหมอคนเดียวที่มีประสบการณ์มาแล้ว จึงรู้สึกเฉยๆ เพราะสังเกตเห็นและคิดว่าลูกเรานั้นใช้ได้ โตขึ้นก็จะเก่งและดีขึ้นได้โดยตัวเขาเองเหมือนพี่ของเขาเช่นเดียวกัน ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็เป็นวันครอบครัว พาลูกไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก เที่ยวเขาดินเหมือนเดิม ปิดเทอมลูกคนเล็กก็ไปอยู่กับอาม่าพร้อมพี่ชาย ผลการสอบของลูกคนเล็กเป็นไปตามคาด ปีแรกๆคล้ายพี่ชาย แต่ผลการเรียนก็ดีขึ้นตามลำดับ ถึง ม.3 ก็เห็นชัดว่าเขาเรียนใช้ได้ สอบเข้าเรียนได้คณะวิศวะจุฬาฯ จนจบทำงาน 3 ปี แล้วได้ทุนจากธนาคารแห่งหนึ่ง ไปเรียนจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ ( MBA) ประเทศสหรัฐอมริกา และกลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งนั้นอยู่ในขณะนี้
จากประสบการณ์ที่ได้จากลูกทั้ง2คนที่ผ่านมา หมอจึงไม่แน่ใจว่าการเรียนพิเศษ การติวนั้นจะช่วยให้ลูกเรียนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้นในระยะยาวได้จริงอย่างที่หลายคนตั้งความหวังไว้หรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมอส่งลูกไปเรียนพิเศษ ติวอย่างเข้มข้น ลูกจะเรียนเก่งสอบเอนทรานซ์ได้ดีกว่านี้หรือไม่? แต่หมอแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่งว่า การเคี่ยวเข็ญให้เด็กเรียนหนักทั้งที่เด็กไม่พร้อม ศักยภาพไม่เพียงพอ แทนที่จะช่วยส่งเสริมเด็ก หมอคิดว่ากลับจะทำให้เด็กเหนื่อยเกินไป รู้สึกล้าและเบื่อการเรียน จนโตขึ้นเป็นคนที่ไม่อยากเรียนรู้ ไม่สนใจเรียนเพิ่มเติม ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เรียนได้แต่ในห้อง ค้นคว้าเรียนเองไม่ได้ คิดเองไม่เป็นและทำงานไม่เป็น การยัดเยียดให้เด็กเรียนจนเต็มสมอง จนสมองไม่มีที่ว่างพอที่จะเติมหรือใส่อะไรลงไปได้อีกเมื่อโตขึ้นไม่น่าจะเป็นผลดีต่อตัวเด็ก ถ้าเปรียบเหมือนม้าแข่ง การเฆี่ยนม้าให้วิ่งเต็มที่อยู่ตลอด เวลา โดยที่โค้ชไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสภาพและศักยภาพของม้า ไม่มีผ่อนหนัก ผ่อนเบา จนม้าหมดแรง หมดสภาพ ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ เหมือนม้าตีนต้น สู้รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ถนอมม้า แล้วเร่งเมื่อถึงเวลา ก็จะเข้าสู่เส้นชัย เปรียบเหมือนม้าตีนปลายน่าจะได้ผลดีกว่า
ขอให้มีความสุข และสนุกกับการเลี้ยงลูกนะครับ