วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สมดุลความฉลาด THE BALANCED INTELLIGENCES


THE BALANCED INTELLIGENCES
"สมดุลความฉลาด"
พัฒนาความฉลาดอย่างสมดุล"
การพัฒนากำลังพลให้ฉลาดอย่างสมดุล"
แนวคิดความฉลาด ๕ ประการ
ñ  สติปัญญา IQ = Intelligence Quotient
ñ  อารมณ์  EQ = Emotional Intelligence Quotient
ñ  จรรยาบรรณ MQ = Moral Intelligence Quotient
ñ  ความมุมานะ มุ่งมั่น พยายามAQ = Advancement Intelligence Quotient
ñ  องค์กร OQ = Organizational Intelligence Quotient
ñ  สมดุลความฉลด BI = The Balanced Intelligence
------
" Quotient" อ่าน [kwoh-shuhnt] "โคว - ชันท์"
ลองฟังเสียงที่ http://dictionary.reference.com/browse/quotient
เห็นออกเสียงผิด ๆ เยอะมาก (ชอบอ่านแบบอเมริกันเป็น "โคว-เทียน")
ความจริง  "ที่มา"  มาจากภาษาฝรั่งเศส เลยออกเสียงทับศัพท์
สาเหตุเกิดจาก IQ เริ่มเกิดแนวคิดในอังกฤษ Sir Francis Galton (1822 – 1911)
เติบโตในฝรั่งเศส  Alfred Binet (1857-1911) ซึ่งคิดวิธีวัด IQ เป็นคนแรก  เลยติดเอาภาษาฝรั่งเศสเข้ามา
ปัจจุบันแนวคิดเรื่องนี้พัฒนาไปอย่างมากที่สหรัฐอเมริกา (อ่านต่อ ๆ ไปแล้วจะเห็นเอง)
แนวคิดความฉลาด ๕ ประการ  Systems Concept and the Five Qs
คนส่วนใหญ่มักจะมองรายละเอียดปลีกย่อย
มากกว่าที่จะมองทั้งระบบ
ขอเสนอแนะมุมมอง ที่จะทำความเข้าใจใน “ภาพใหญ่” ของ “ความฉลาด”
ความฉลาด คืออะไร ?”
แน่นอนได้ว่า  หาคำตอบที่เป็นที่ยอมรับของ “ทุกคน” ได้ยาก
ที่พอเป็นไปได้ คือ
"ระบบชีวิต หรือ ระบบวัสดุที่สามารถสร้างความฉลาด ที่เหนือ หรือ น้อยกว่า ในด้านของ ...
1. พิสูจน์ทราบ ค้นหา รวบรวม รับรู้ ข้อมูล และข่าวสารสลับซับซ้อน และ ...
2. กระบวนการ หรือ การแปลงไปสู่ “ความธรรมดา/เข้าใจง่ายขึ้น” และ ...
3. ประยุกต์ข้อมูล องค์ความรู้ไปสู่การปฎิบัติที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ที่สามารถดำรงอยู่ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้โดยองค์รวม"

คุณลักษณะของความฉลาดมีหลายรูปแบบ เช่น :
ñ  ความฉลาดทางกายภาพ Biological Intelligence คือ ความสามารถของมนุษย์ในการปรับเปลี่ยนวิธีคิด พูด ปฏิบัติได้ตามความต้องการ ต่อปัญหา และสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อสามารถอยู่รอด และพัฒนาต่อไปได้ในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ñ  ความฉลาดของการประยุกต์ใช้ Practical Intelligence เป็น พลังสมองของมนุษย์ที่จะทำให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ในระยะยาวแห่งชีวิตตนเช่น เครื่องจักรกล เครื่องยนต์ อุปกรณ์  รวมถึง “ความคิดสร้างสรรค์”
ñ  ความฉลาดในการปฏิสัมพันธ์ Verbal and Interpersonal Intelligence เป็นทักษาะที่ช่วยให้สามารถสื่อสาร สั่งการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับนับถือ รักใคร่ของคนอื่น
ñ  ความฉลาดทางการเคลื่อนไหว Psychomotor Intelligence เป็น ความสามารถทางร่างกายในการเคลื่อนไหวในทิศทางต่างต่างได้โดยรักษาความสมดุล ขณะเคลื่อนที่อย่ามีกลยุทธ์ กรณีตัวอย่างของผู้ที่ประสบผลสำเร็จทางกีฬาเช่น Mohammed Ali, Michael Jordan and Debi Thomas มีในขณะที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด
ปัจจุบัน
Howard Gardner's theory of Multiple Intelligences advocated in 1983.
'Personal Intelligences'

1.      Linguistic Intelligence: สัมผัส ประสาทต่อภาษาพูด ภาษาเขียน ความสามารถในการเรียนภาษาต่าง ๆ ทำเข้าใจความหมาย และลำดับของคำ สามารถใช้ภาษาตามความต้องการเฉพาะ  แสดง สื่อความคิดไปยังผู้อื่น  รวมถึงความสามารถในการจำข้อมูล ข่าวสาร นักประพันธ์ กวีนิพนธ์ กฎหมาย นักพูด
2.      Logical-Mathematical Intelligenceความ เข้าใจทางคณิตศาสตร์ ตัวเลข และระบบตรรก รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหา ดำเนินการกระบวนการทางคณิตศาสตร์ สืบสวนทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบรูปแบบ เหตุผลประกอบ และคิดอย่างเป็นตรรก  สัมพันธ์กับกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
3.     Musical Intelligence: ขีด ความสามารถในการเข้าใจ ประพันธ์ดนตรี ทักษะการเล่นดนตรี และเข้าถึงรูปแบบของดนตรี ความสามารถในการจำท่วงทำนอง  น้ำเสียง และจังหวะ  ความฉลาดทางด้านนี้มีความสัมพันธ์ทางโครงสร้างขนานไปกับ Linguistic Intelligence
4.      Bodily-Kinesthetic Intelligenceมี ความจำเป็นต่อความเข้าใจในทักษะ ศักยภาพของร่างกายตนเอง ทั้งหมด หรือบางส่วนเพื่อแก้ปัญหา  และการควบคุม  เป็นความสามารถทางอารมณ์ในการสร้างความสัมพันธ์ของร่างกายให้เคลื่อน ไหวอย่างประสานสอดคล้องของอวัยวะต่าง ๆ  สามารถเป็นนักกีฬาที่เก่งได้
5.      Spatial Intelligenceจิตนาการ สร้างความคิดด้วยภาพ พื้นที่ (Space) เข้า ใจโลกอย่างแท้จริง สร้างสรรค ปรับแต่งได้ในใจ บนเอกสารหรือคอมพิวเตอร์  สามารถจดจำรูปแบบ และใช้ประโยชน์ได้ในมิติต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
6.      Interpersonal Intelligence: เข้า ใจผู้อื่น ทั้งทางอารมณ์ แรงจูงใจ ผลังผลักดัน จุดมุ่งหมาย เจตนารมณ์ ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นักการศึกษา เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย บุคคลในศาสนา ผู้นำนักการเมือง นักเจรจา (Counsellors) มีความจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องนี้อย่างมาก
7.      Intrapersonal Intelligence เข้าใจตนเอง (Self Awareness) ความเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก  ชื่นชมความรู้สึกผู้อื่น ความกลัว และความสนใจ(Motivations) สำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพการทำงานของตนเอง และการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้นี้ปรับการดำรงค์ชีวิตประจำวัน
8.      Naturalist Intelligenceความสามารถในการจำ แยกแยะ (Classify Flora and Fauna) สิ่งแวดล้อม พืช สัตว์ ก้อนหิน แร่ธาตุ วัตถุทางวัฒนธรรมเช่นเสื้อผ้า อาหาร ค่านิยมของสังคมต่าง ๆ (เพิ่มปี 1999)
โดยยังไม่ยอมรับ
Spiritual Intelligence เนื่อง จากยังมีความซับซ้อน  ปัญหาหลาย ๆ อย่าง เช่นสารัตถะของจิตวิญญาน คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสำคัญ จำเป็น  แต่ก็สัมผัส จับต้อง พิสูจน์ไม่ได้ โดยค่านิยมแห่งความจริง (Truth Value)  รวมถึงความจำเป็นที่ต้องพิสูจน์ทราบในตัวตนของมนุษยชาติ
Existential Intelligence เกี่ยวข้องกับ Ultimate Issues ซึ่งมีแนวโน้มของการยอมรับ การวัดประเมินผลมีความสมเหตุสมผล  แต่ empirical evidence is sparse
Moral Intelligence ปัญหาสำคัญคือการหานิยามศัพท์ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย  มีนัยสัมพันธ์กับผู้ปกครอง พฤติกรรม และทัศนคติการปกครองThe Sanctity of live โดยเฉพาะกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์โลก เพื่อนร่วมโลกเดียวกันอีกหลายอย่าง
 เดิม
The 1st Q สติปัญญา Intelligence Quotient (IQ)
เราคุ้นเคยกับแนวคิดของ “Intelligence Quotient” และการวัด IQ มานับร้อยปี
1.   Sir Francis Galton (16 Feb 1822 – 17 Jan 1911) "the idea that intelligence was measurable"
2.   Alfred Binet (1857-1911) "developing experiments to measure children's intelligence 'Binet Scale' "
"Intelligence Quotient"
Lewis Terman "widely accepted by 1916"

 
แม้ว่าผลการวัด/ทดสอบจะเป็นที่ยอมรับ เชื่อถือได้
แต่ก็มีข้อด้อยในการวัดความฉลาดของมนุษย์ที่แท้จริงได้
เนื่องจาก เป็นการวัดประเมินจากเซลล์สมอง เพียงบางส่วน  จากทั้งหมด 25,000,000,000 เซลล์
การทดสอบ IQ  เป็นการวัดทางด้านความสามารถทางการสื่อสาร เท่านั้น
และมีผลจากความคิดเห็น Bias” ทางวัฒนธรรม สูงมาก
แบบทดสอบ ในการวัด ประเมินผล ได้รับการออกแบบ และพัฒนาโดย “คนผิวขาว”
ดังนั้น  คนตะวันออก รวมทั้งคนผิวดำ จะต้องได้รับคะแนน ผลการทดสอบ วัด ประเมินที่ต่ำกว่าคนผิวขาวอย่างแน่นอน
“Stanley Garn” กล่วว่า “If the aborigine drafted an IQ test, all of Western civilization would presumably flunk it.”
ระบบการวัดประเมินผล IQ แยกแยะประเภทของคน ตามตาราง
IQ
Older Terms
New Technical Classification
IQ
1. Higher
2. Around 100
3. Lower
3.1 Equal to a child 8- 12 yrs.
3.2 Equal to a child 3- 8 yrs.
3.3 Equal to a child 2 yrs old.
1. Genius
2. Normal Person
3. Mental Deficiency
3.1 Moron
3.2 Imbecile
3.3 Idiot
1. Genius
2. Normal Individual
3. Mental Retardation
3.1 Borderline
3.2 Mild
3.3 Moderate
3.4 Severe
3.5 Profound
Higher
84-116
68-83
52-67
36-51
20-35
Under 20
จากการวัด หรือ ไม่วัด IQ คนทั่วไป สามารถประมาณได้ว่าใครเข้าขั้น “ฉลาด/อัฉจิยะ”  “ปกติ/สามัญ” หรือ “ต่ำกว่าปกติ”
รวมถึง ในกลุ่มสังคมปกติ  “ใครฉลาดกว่าปกติ ในด้านต่าง ๆ เช่น สติปัญญา  การประยุกต์ใช้  ทางการเคลื่อนไหว หรือ ทางการสื่อสาร"
แต่การวัด IQ เป็นการเน้นย้ำ ให้น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม  การวัดมากว่า ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา  ในกลุ่มสังคมมนุษย์ ที่มีผลการวัด IQ ที่แตกต่างกัน
จากประสบการณ์ชีวิต “ไม่มีอะไรประกันได้ว่าคนที่มีผลการวัด IQ ที่สูงกว่า  จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ดีกว่า”
แนวคิดของ IQ ดีจริง  แต่ก็มีข้อด้อยสำคัญคือ วัดประเมินจากส่วนเล็ก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับความฉลาดส่วนใหญ่ทั้งระบบของมนุษย์
จึงไม่สามารถนำไปทำนายโอกาสประสบผลสำเร็จในชีวิต ในทุกสังคมมนุษย์ได้ ทั้งสังคมผิวขาว และสังคมผิวสี
The 2nd Q อารมณ์ Emotional Intelligence Quotient (EQ)
หนังสือ “Emotional Intelligence”ของ Daniel Goleman นักเขียนอเมริกัน ในปี 1995
นิยาม “Soft skills” เช่น การเตือนตนเอง “Self-awareness, Self-motivation, Empathy และการควบคุมตนเองSelf-control” 

เป็นความสำคัญ ความจำเป็น ไม่น้อยกว่า “Hard intelligence”
“Emotional intelligence or Emotional maturity” มีความสำคัญไม่น้อยกว่า 80% การการสำเร็จในชีวิตงาน
นอกจากนั้นแล้ว  ถ้าปราศจากEQ ที่เพียงพอ  จะไม่มีทางประสบความสำเร็จในงานอย่างแน่นอน
Robert Cooper นักเขียนด้าน EQ ชั้นนำอีกท่านหนึ่ง  ซึ่งเป็นผูประพันธ์ร่วมในหนังสือ “Executive EQ”
ขยายความของ EQ  ที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

รวมถึงผลงานวิจัยสนับสนุน “EQ Map” ที่ทำให้คนและองค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ประวัติของ EQ น่าจะเริ่มต้นจากผลงานของ Abraham Maslow ในปี 1950
แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่ “ปัญหา” การแยกแยะผลเสียและความล้มเหลว
ถ้า Maslow focused เน้นไปที่ “ความสุขสมบูรณ์” เราจะรับรู้ได้ทันทีว่าหากจะประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิต ควรจะต้องทำอย่างไร ในวิธีการอย่างไร
 

อีกท่านที่ต้องกล่าวถึงอีก คือ Peter Salovey และ John D. Mayer
ผลงานวิจัยจำนวนมากของท่าน  เล่มแรกคือ Emotional Intelligence (1990) กล่าวถึงกรอบของ EI เป็นทักษะขอสมมุติฐาน การสันนิษฐานเพื่อประเมินอย่างถูกต้องและแสดงออกทางอารมณ์จากคนหนึ่งไปยังผู้อื่น the effective regulation of emotion in self and others, and the use of feelings to motivate, plan and achieve in one’s life.
 
งานวิจัยของ John Mayer, Peter Salovey and David Caruso เรื่อง “Selecting a Measure of Emotional Intelligence : The Case for Ability Scales (2000) as a Chapter in R. Bar-On & J.D.A. Parker (Eds.). The Handbook of Emotional Intelligence”
โดยสรุป “EQ ไม่ทำให้คุณเปลี่ยนไปจากสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่มันส่งผลอย่างยิ่งต่อความสามารถที่กำลังทำอยู่ คือ แรงผลักดัน(Motivating),  การควบคุม(Controlling), ปฏิสัมพันธ์ (Interacting with others), การแก้ปัญหา (Solving conflict), ความพึงพอใจของผู้รับบริการ (Satisfying customers (Both External and Internal) และความพึงใจของคุณเอง (Satisfying Iurselves)
EQ ทดแทนIQ ไม่ได้
IQ ทำให้คุณได้งาน  และEQ ช่วยให้คุณเจริญก้าวหน้าในงาน
เราจำเป็นต้องมีสมดุลของทั้ง IQ และ EQ
The 3rd Q จรรยาบรรณ Moral Intelligence Quotient (MQ)
มนุษย์ที่มีทั้ง IQ และ EQ อาจประสบความสำเร็จ และมีความสุขแบบ “ทรชน”
นิยายพื้นบ้านไทย  คนที่ฉลาดสุดยอด “อัฉริยะ” อารมณ์เป็นเลิศ  แต่เป็นคน “เลวที่สุด”
บั้นปลายสุดท้านในชีวิต ประสบแต่ความล้มเหลว  แต่ก็ใช้เวลา กว่าที่จะมีคนมาพิสูจน์บาปกรรม ที่เขาก่อไว้กับผู้อื่น
แม้กระทั่ง บาปกรรมต่อน้องร่วมสายโลหิต  บุพการี
ศรีธญชัย (STNC)”

โหดร้าย  เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด 
ในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนแบบนี้อยู่ไม่น้อย
เราปารถนาที่จะมีคนที่มีทั้ง IQ, EQ และ MQ ในทุกองค์กร
เปรียบเสมือนกับ  ถาดผลไม้ ผลได้ดี ๆ เยอะแยะ  แต่ก็ไม่ดีไปทั้งหมด  เหมือนกับสังคมมนุษย์
แต่สิ่งไหนดี  สิ่งไหนไม่ดี  ต่างรู้แก่ใจ  แยกแยะได้
MQ or Moral Intelligence imply Ethics, Integrity and Spiritual Civilization.
Ethics คือ การพูด การกระทำ ที่สะอาด ปราศจากความมัวหมอง  เคารพในตัวเอง และเป็นที่เคารพของผู้อื่น
Integrity คือ ความเป็นมนุษญที่สมบูรณ์ ใกล้เคียงกับปราศจากมณทิล เพระาไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุด  นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ ที่ได้รับการยอมรับ เคารพ ศรัทธา เช่น ความซื่อสัตย์ (Honesty), Uprightness และ ความจริงใจ (Sincerity) ที่สามารถเรียกศรัทธา ความเคารพนับถือจากบุคคลรอบข้าง
บุคคลที่มี MQ สูงควรจะต้องมีคุณลักษณะดังนี้
ñ  ควบคุมตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective self-control) ต่อแรงผลักดัน  สิ่งเร้าที่จะทำให้ทำในทางที่เสื่อม เช่น  Bribery และCorruption.
ñ  Merit is the foundation of all actions and behavior with noble manner.
ñ  รักษาคำพูด
The 4th Q : Advancement Adversity Intelligence Quotient (AQ)
เป็นที่แน่นอนว่าคนที่มีทั้ง  IQ + EQ + MQ ย่อมต้องเป็นคนดีในสังคมมนูนย์
ในขณะที่  คนที่มีเฉพาะ IQ + EQ อาจเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ  แต่ทำร้ายสังคม
มนุษย์  3Qs อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง 
ขาดก๊อกสอง”  ที่จะสร้างฝันที่ยิ่งใหญ่ให่สมบูรณ์ได้
“You can never make a great dream come true, if you do not have a great dream in the first place.”
ถ้าไม่ใฝ่ฝันแล้ว  ไม่มีทางเป็นจริงได้แน่”
อันของสูง  แม้นปอง  ต้องจิต
ถ้าไม่คิดปีนป่าย  จะได้หรือ”
ความมักใหญ่ ใฝ่สูง”

มนุษย์พิเศษ  ที่มีแรงผลักดันมากกว่าปกติ เท่านั้น  ที่จะทำได้
เหมือนกับมนุษย์ 3Q อาจไม่มีคุณค่า  ถ้าไม่มีสิ่งนี้
จำเป็นต้องมีความมุมานะ พยายาม เป็นพิเศษ
อาจเป็นไปในรูปแบบของ “อำนาจ  สถานทางเศรษฐกิจ ข้อมูลสารสนเทศ องค์ความรู้”
ในสถานการณ์วิกฤต “อุปสรรคที่ไม่อาจเอาชนะได้  สิ่งกีดขวาง รั้งหน่วง ความล้มเหลวที่เผชิญอยู่ ปัญหาสำคัญๆ รอบด้าน”
คุณจะปรับเปลี่ยนให้เป็น “โอกาส” ได้หรือไม่ ?
ทำได้  ถ้าคุณมี  3Qs และ AQ ด้วย
AQ  เป็นสิ่งที่คุณมีเหนือกว่าคนอื่น  พลังขับดันในตัวเอง (Extraordinary Self-motivation) และInspiration บวกกับพลังองค็ความรู้ที่มีอยู่  จะทำให้สามารถก้าวพ้นวิกฤตได้  คุณจะ “เหนือปกติ”
การแบ่งระดับคะแนนของ AQ
กลุ่ม จ
(AQ = 0)
ผู้ละเลย  ไม่พยายามยามปีนป่ายภูเขาแห่งชีวิตเลย พยายามพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
กลุ่ม ง 
(AQ = 1)
ไม่มีทางทำได้” รู้แต่ไม่มีความพยายามใด ไ ทั้งสิ้น
กลุ่ม ค
(AQ = 2)
ทำไปนิดหน่อย แล้วเลิก” พยายาม คิด วางแผน เตรียมการ และลงมือทำ  แต่พอเจอปัญหา เห็นว่าเป็นเรื่องยากลำบากแน่ ๆ  “เลิก”
กลุ่ม ข
(AQ = 3)
มีจำนวนน้อยลง  เป็นคนที่มีพรสวรรค์ และแรงผลักดันสูงพอสมควร
แต่พอมาถึงจุดที่จวนจะสำเร็จ  หมดความพยายาม เห็นว่ามาถึงจุดนี้ได้ก็ดีพอแล้ว
เลิก” เป็นบุคคลที่เหมาะกับ “ลูกจ้าง หรือ มืออาชีพ” ที่พอใจกับเงินเดือน ประโยชน์พื้นฐานสังคม(รักษาพยาบาล ค่าเล้าเรียน ...) และกองทุนบำเหน็จบำนาญ รวมถึง อาจเป็นเจ้าของกิจการขน่ดเล็กได้ด้วย
กลุ่ม ก
(AQ = 4)
มนุษย์พิเศษ  “อึด” สร้างแรงจูงใจของตนเอง (Motivation) และ Inspiration
มี AQ สูงเป็นพิเศษ เป็นบุคคลที่ประสบโอกาส หรือ วิกฤตในชีวิต
สามารถแก้ปัญหาได้  เอาชนะอุปสรรขัดขวางได้  ทำลายสิ่งกีดขวางต่าง ๆ
มุ่งไปสู่ “จุดสูงสุด”
นอกจากนั้น ยังสามารถข้ามผ่านจุดสูงสุดด้านต่าง ๆ หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ
นับป็น “ผู้ประสบผลสำเร็จ” แต่ก็อาจไม่มีความสุข
เพราะเหตุต้องพึ่งพา ระดับต่าง ๆ ของ EQ หรือ MQ ในบางสถานการณ์

Paul G. Stoltz, “Adversity Quotient : Turning Obstacles Into Opportunities” (1997)อธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้
 
The 5th : องค์ก ร Organizational Intelligence Quotient (OQ) 
และสมดุลความฉลาด Balanced Intelligences (BI)
มนุษย์ที่มีทั้ง 4Qs ข้างต้นมารวมอยู่ในองค์กรเดียวกัน
มิได้หมายความว่า มี OQ แล้ว
แต่อาจไม่มี “จิตวิญญานแห่งองค์กร” เลยก็ได้
เป็นไปได้ที่อาจเป็น “Artificially made intelligent”
เหมือนกับ “มารยาท” ในสังคมมนุษย์ “สร้าง” ขึ้นาให้ดูดี
But the case of human organization is worse than any artificial intelligent system, that has no soul and no mind of its own, and that is better off than a mentally retarded organization with weak soul at the system level but too strong determination at individual and/or subsystem levels. We can call this type of bureaucracy as, “A low OQ institution without BI.”
Michael D. McMaster, “The Intelligence Advantage : Organizing for Complexity”, (1996), and Jack Ring “Toward the Intelligent Enterprise” 1999.
Organizational Intelligent Quotient (OQ) จากหนังสือของ Mc Master and the 10-pages Internet article by Ring. However, I have found these landmark workpieces to be admirable and valuable assets for myself and probably others in this globalization and information age.
IQ, EQ, MQ and AQ และการมุ่งเน้นศึกษาวิเคราะห์ด้านองค์กร :
IQ ส่วนบุคคล อาจมีความแตกต่างไปจาก Organizational IQ.
ตัวอย่างของ James Bond มีความฉลาดครบในทุกด้น (Practical plus Psychomotor and Verbal/interpersonal และ Biological intelligent) ในตัวบุคคล

 
แต่การที่มีองค์กรสนับสนุน ที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ถ้าปราศจากองค์กรเหล่านี้  ผลสำเร็จของงาน 007 จะเป็นอย่างไร
ถ้ามี  IQ organization ต่ำ
เมื่อมีบุคลากร IQ มารวมกันในองค์กร มิได้หมายความว่าจะมี IQ organization สูงตามไปด้วยในทันที
น่าแปลกใจ ที่บางครั้ง ค้นพบว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติในบางสถานการณ์
ทำไม?  เพระาว่า  IQ  ส่วนบุคคล มีความจำเป็น  แต่ไม่เพียงพอ
จำเป็นต้องมี ประการแรก คือ EQ, MQ และAQ ที่ประสานเกื้อกูลอย่างเหมาะสม (Positive Synergy and in good balance)
ประการที่สอง คือ  OQ มีมิติของ EQ ในระดับขององค์กรอยู่ด้วย
เมื่อบุคลากรที่มี EQ สูงทำงานร่วมกัน อาจจะทำให้เกิด หรือไม่ทำให้เกิด EQ organization
ด้วยหตุว่า  EQ ที่สูงส่งของแต่ละบุคคล อาจไม่มี หรือมีแตกต่างกันออกไปในด้านMQ
ศรีธนญชัย” เพียงคนเดียว อาจทำให้ทั้งองค์กร มี  EQ และ/หรือ  IQ ต่ำไปทันที “ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งฆ่อง”
ถ้าองค์กรใด องค์กรหนึ่ง มี “ศรีธนญชัย”  IQ และ EQ สูงมาก  แต่ MQ ต่ำ  องค์กรจะเป็นอย่างไร ?
มิติของ MQ ต่อ OQ อาจแสดงออกมาในรูปที่ บุคลากรMQ สูมารวมตัวกันอยู่ในองค์กรที่มีผู้บริหารภาวะผู้นำต่ำ  หรือ โครงสร้างองค์กรไม่เหมาะสม 
เป็นไปได้ที่อาจมีการพัฒนาองค์กร เพื่อผสมผสานMQ หรือกลบเกลื่อน ลบล้างไปในที่สุดในระยะยยาว
Organizational intelligent quotient ในมิติของ AQ  บุคคลากร AQ  สูง ในองค์กรที่ตกต่ำไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลบางสิ่งบางอย่าง
ในที่สุด จะประสบกับการปรับสมดุลในกลุ่ม IQ, EQ, MQ และAQ ในระดับบุคคล
OQ to have a healthy and totally productive organization that will provide all kinds of benefits at minimum costs for all stakeholders and the environment, including the ecosystem and the balance of Nature.
The Balanced Intelligences (BI), that is. We need to scientifically study the BI dynamics, like aerodynamics, and come up with an organization and management engineering (or bio-engineering) that can better design and develop organizations capable of flying higher with more dynamic stability and have the performance characteristics plus the features of a convertible helicopter-jet aircraft or an excellent hybrid of a hummingbird and an eagle.
The characteristics and dynamism of BI is shown graphically in Exhibit B. The BI map in the exhibit shows BI profiles of two persons, Joe and Jan. In comparison between them, Joe has higher IQ and MQ than Jan, but he has lower EQ and AQ.
เป็นไปได้ที่ องค์กรที่มีบุคลากรประเภท “นาย ก” จำนวนมาก
อาจมี OQ สูงกว่าองค์กรที่มีเปอร์เซนของบุคลากรแบบ “นาง ข”
The balanced intelligences (BI) is a very crucial success factor for people and organizations in the New Economy, or the knowledge-based economy, especially for innovative enterprises that have to become learning organizations with effective organizational learning (OL) principles and practices. We need to design and develop a set of reliable instruments for measurement of BI, including training and development programs for continuous improvement of the dynamic balanced intelligences. This is the mission of our forthcoming book : The Balanced Intelligences.
บทสรุป
มนุษย์ไม่ควรอยู่อย่างโดดเดี่ยว  เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังคม องค์กร ในหลากหลายรูปแบบ  หลากหลายสมาชิก
ความอยู่รอด และคุณภาพชีวิตของเรา  (Quality of lives and survival of the homosapiens) ขึ้นอยู่กับ “สุขภาพ” “ความฉลาด” และ “การปรับสมดุล” ขององค์กร/สังคม
สังคมมนุษย์ หยุดนิ่ง อยู่กับที่ไม่ได้  เคลื่อนไหว ช้า หรือ เร็ว เท่านั้น
และไม่ควรเคลื่อนไหว หรือเติบโต เร็วเกินไป จนเสีย “สมดุล”
บุคคล 1, 2 หรือ 3 Qs ไม่เพียงพอกับศตวรรษที่ 21st
เราต้องการอย่างน้อย 4Qs.
แต่มนุษย์ 4Qs มารวมกันอยู่ในองค์กร ก็ไม่ได้ประกันว่า OQ จะสูงตามไปด้วย
เราต้องการ “มนุษย์พันธุ์ใหม่” สำหรับทฤษฎีองค์กรใหม่  เทคโนโลยีการบริหารจัดการแบบใหม่
ที่จะ “ออกแบบ”  “พัฒนา” สมดุลความฉลาด ในองค์กร

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร

การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร


การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร

การอ่านออกเขียนได้ในระดับพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการสื่อสารและการเรียนรู้ วิชาการต่างๆ เป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้เรียนทุกระดับ แต่จากข้อมูลการทดสอบประเมินทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติปัจจุบันกลับพบ ว่ายังมีผู้เรียนจำนวนมากที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในระดับพื้นฐานดัง กล่าว และจากการทดสอบเขียนตามคำบอกจาก “คำตรงมาตราทั้ง ๙ แม่ซึ่งมีพยัญชนะต้นครอบคลุมอักษรสามหมู่ ครอบคลุมสระไม่น้อยกว่า ๒๐ สระขึ้นไป รวมทั้งครอบคลุมคำควบกล้ำ คำอักษรนำ และคำผันเสียงวรรณยุกต์ทุกหมู่อักษร” ที่ผู้เขียนได้ทดสอบกับผู้เรียนตั้งแต่ ป.๒ ขึ้นไปในภูมิภาคต่างๆ ปรากฏว่ามีผู้ได้คะแนนไม่ผ่านร้อยละ ๕๐ อยู่ที่ระหว่างร้อยละ ๒๐ – ๘๐ ของแต่ละโรงเรียน โดยที่การดำเนินการแก้ไขปัญหาของโรงเรียนก็ยังเป็นไปแบบไม่แม่นตรง ไม่ก่อให้เกิดสัมฤทธิผลในการแก้ไขอย่างแท้จริง ผู้เรียนที่ยังคงถูกทอดทิ้งให้อยู่ในโลกมืดของการอ่านเขียนยังมีอีกมากมาย

ผู้เขียนได้มีส่วนร่วมกับการดำเนินกิจกรรมแก้ปัญหาเรื่องนี้ทั้งเขียน หนังสือชื่อ “เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว” ให้การอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำโครงการจัดครูอาสาปฏิบัติการสอนเชิงวิจัยและกำกับตามนิเทศแบบมี ส่วนร่วม ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน (๒๕๕๗) กระทั่งได้ข้อสรุปอันเป็นสาระสำคัญในการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบครบ วงจร เพื่อให้โรงเรียนสามารถป้องกันปัญหา แก้ปัญหา และรักษาคุณภาพการอ่านออกเขียนได้ที่ยั่งยืนและเป็นต้นแบบแก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป จะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้

แนวทางดำเนินการป้องกันและแก้ปัญหา

หลักการดำเนินการ "ป้องกันปัญหาและแก้ปัญหาเพื่อประกันการอ่านออกเขียนได้ยั่งยืน" ซึ่งให้แนวทางในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ นั้นมีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้

๑.วิเคราะห์เหตุแห่งปัญหา
พบว่า เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีสาเหตุมาจาก

๑.๑ ครูสอนผิดวิถีการสอนภาษาไทย

๑.๒ ครูจัดการเรียนการสอนไม่ครบกระบวนทักษะ โดยเฉพาะความผิดพลาดสำคัญที่เกิดแก่ชั้น ป.๑ จากสาเหตุต่อไปนี้

(๑) ครู ป.๑ มักไม่ค่อยได้เขียนแบบฝึกอ่านบนกระดานดำเหมือนครูรุ่นเก่า เด็กๆ จึงขาดจุดเน้นนำสายตา ทำให้ความสนใจเนื้อหาลดลง การเปล่งเสียงอ่านคำในหนังสือเรียนที่ครูไม่อาจรู้ได้ว่าเด็กๆ แต่ละคนจะตามคำอ่านได้ตรงกับที่ครูอ่านหรือไม่ และนอกจากนั้นครูยังนำฝึกปฏิบัติน้อย ไม่ได้นำฝึกให้สมบูรณ์ทักษะอย่างจริงแท้
(๒) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้ชั้น ป.๑ ต้องเรียนสาระต่างๆ รวม ๘ สาระเหมือนกับชั้นอื่นๆ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรงเรียนยังจัดเวลาสำหรับการเรียนการสอนภาษาไทย ป.๑ น้อยเกินไป ไม่เพียงพอกับการฝึกทักษะเท่าที่ควรจะเป็น
(๓) โรงเรียนหลายแห่งจัดจำนวนนักเรียนในชั้น ป.๑ ต่อห้องมากเกินไป กล่าวคือมีจำนวนเด็ก ป.๑ ระหว่าง ๓๐-๔๕ คนต่อห้องก็มี ซึ่งถ้าจะจัดจำนวนเด็กที่เหมาะควรให้สามารถควบคุมคุณภาพการอ่านออกเขียนได้ นั้นไม่ควรเกิน ๒๕ คนต่อห้อง (ฟังมาว่าที่ประเทศฟินแลนด์ซึ่งจัดการการศึกษาได้ดีเป็นอันหนึ่งของโลกนั้น กำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้อง ๑๒-๒๐ คนเท่านั้น)
(๔) การจัดให้เด็กพิเศษ (เด็กบกพร่องการเรียนรู้) เรียนร่วมกับเด็กปกติก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้ครูไม่สามารถจัดการเรียน การสอนที่มีคุณภาพครบถ้วนไปพร้อมๆ กันได้ เพราะต้องมัวห่วงหน้าพะวงหลัง ส่งผลให้เด็กปกติได้เรียนอย่างไม่เต็มศักยภาพ และเด็กพิเศษก็จะถูกทิ้งหรือเรียนไม่ทันผู้อื่น กลายเป็นปมด้อยซ้ำซ้อน
...เมื่อเด็กๆ ผ่านชั้น ป.๑ ขึ้นไปด้วยความไม่พร้อม อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็กลายเป็นปัญหาลูกโซ่กับสาระการเรียนรู้อื่นๆ ในชั้น ป.๒ และชั้นสูงๆ ขึ้นไปไม่สิ้นสุด

๑.๓ ผู้บริหารสถานศึกษาจัดวางตัวครูอนุบาลและครู ป.๑ ไม่เหมาะบุคคล รวมทั้งมอบหมายแนวทางการจัดการเรียนการสอนไม่ถูกต้อง

๑.๔ ผู้บริหาร นักวิชาการ และนักการศึกษาผู้กำหนดแผนงานและนโยบายระดับต่างๆ ไม่เข้าใจเหตุแห่งปัญหา ไม่สามารถกำหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอน การกำกับติดตาม และนิเทศให้ถูกต้องแท้จริง

๑.๕ ครูมีงานอื่นๆ มากเกินไป ทำให้งานสอนถูกแย่งเวลาไปเป็นอันมาก ในที่สุดก็ลดทอนคุณภาพการเตรียมการสอน ขาดประสิทธิภาพการสอน ไม่มีเวลาติดตามแก้ปัญหาเด็กอย่างใกล้ชิด และไม่มีเวลาซ่อมเสริมทักษะ ปัญหานี้สืบเนื่องจากการบริหารจัดการที่ไม่ดี ไม่สะสางขยะทางวิชาการ กระทั่งกลายเป็นสิ่งปกคลุมคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษา

๒.การแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาจะต้องจัดทำแผนงานโครงการเป็น ๒ โครงการสำคัญ คือ

๒.๑ โครงการป้องกันปัญหา
โครงการนี้จะต้องจัดทำอย่างจริงจังและถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาแบบยั่งยืนที่ชั้น อนุบาล และชั้น ป.๑ นั่นก็คือ

(๑) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับอนุบาลด้วยการเตรียมความพร้อมด้านทักษะภาษาก่อนขึ้น ป.๑ ดังนี้
-เปล่งคำ (จากการดู ฟัง สัมผัส ฯลฯ) และเปล่งเสียงพูดตามครูให้ชัดเจนทุกเสียงอักขระในถ้อยคำที่เป็นชื่อนามสิ่ง ต่างๆ ไม่น้อยกว่าระดับชั้นอนุบาลละ ๕,๐๐๐ คำ
(รวมทั้งเปล่งเสียงท่องบทอาขยานและร้องเพลงตามครู ฝึกพูดสื่อสารถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ, ฟังนิทาน เรื่องเล่า และพูดถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ)
-เปล่งเสียงท่องพยัญชนะ ก - ฮ หรือร้องเป็นเพลง เปล่งเสียงสระสั้นยาวทั้ง ๓๒ สระ ได้ถูกฐานเสียงจนเกิดทักษะจดจำได้ตามศักยภาพ
-มีพัฒนาการการจับดินสอ ปรับระยะสายตา เขียนเส้นลีลาต่างๆ และวาดรูปอย่างมีทักษะสมบูรณ์ก่อนการเขียนตัวอักษร
-สามารถเขียนพยัญชนะ ก - ฮ สระเดี่ยว วรรณยุกต์ทั้ง ๔ รูป และตัวเลข ๐-๙
ฝึกเตรียมทักษะด้านภาษาเพียงเท่านี้ให้ได้อย่างครบถ้วนแท้จริง โดยไม่ต้องฝึกอ่านและเขียนคำ เพราะขั้นตอนการฝึกอ่านและเขียนคำเป็นหน้าที่ของครู ป.๑ การเร่งฝึกอ่านเขียนก่อนวัยอันสมควร จะเป็นโทษแก่เด็กมากกว่าเป็นผลดี ซ้ำยังทำให้ครูอนุบาลไม่มีเวลาฝึกเตรียมทักษะพื้นฐานข้างต้นให้สมบูรณ์เพียง พออีกด้วย

(๒) จัดการเรียนการสอนภาษาไทย ป.๑ เพื่อการอ่านออกเขียนได้อย่างมีมาตรฐาน ดังนี้
-จัดให้มีจำนวนเด็ก ป.๑ ห้องละไม่เกิน ๒๕ คน
-ใน กรณีที่โรงเรียนใดมีนักเรียนชั้น ป.๑ มากกว่า ๑ ห้อง ให้คัดแยกเด็กแต่ละห้องตามศักยภาพการเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้จัดการเรียนการสอนง่าย ให้เด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะไปได้พร้อมๆ กัน (การจัดให้เด็กคละศักยภาพอยู่ในห้องเดียวกันจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้หลาย ประการ ดังได้กล่าวข้างต้นแล้ว)
-ครูจัดทำชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐาน ในที่นี้ขออ้างอิงตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ บทที่ ๓-๖
-ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นวันละ ๒ ชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ

๒.๒ โครงการเฉพาะกิจแก้ปัญหาเร่งด่วนที่ชั้น ป.๒ ขึ้นไป
เนื่องจากเด็กที่เลื่อนชั้นจาก ป.๑ มาอยู่ในชั้นเรียนต่างๆ ขณะนี้จำนวนมากยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจัดทำโครงการแก้ปัญหาเฉพาะกิจเร่งด่วน ดังนี้

(๑) สำรวจสภาพปัญหาด้วยการให้เด็กชั้น ป.๒ ขึ้นไปเขียนตามคำบอกจากคำทดสอบ ๕๐ คำ โดยที่คำทดสอบนี้มีมาตรฐานพื้นทักษะระดับชั้น ป.๑ ซึ่งมีค่าความยากง่ายเฉลี่ยองค์ประกอบของคำครอบคลุม
-คำที่มีพยัญชนะต้นอักษรสามหมู่
-คำที่สะกดตรงมาตราทั้ง ๙ แม่
-คำที่ประสมสระไม่น้อยกว่า ๒๐ สระขึ้นไป
-คำควบกล้ำและคำอักษรนำ
-คำผันเสียงวรรณยุกต์ทั้งสามหมู่อักษร
ชุดคำทดสอบ ๕๐ คำ ตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ จำนวน ๒ ชุด ซึ่งสามารถเลือกใช้ชุดใดชุดหนึ่งก็ได้ หรืออาจออกคำทดสอบเพิ่มเติมจากหลักการมาตรฐานดังกล่าวได้อีกตามที่เห็นเหมาะ สม
นักเรียนที่ได้คะแนนไม่ถึง ๒๕ คะแนนให้คัดจำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ เข้าสู่โครงการแก้ปัญหา
(๒) จำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละไม่เกิน ๒๐ คน โดยพิจารณาให้เด็กเรียนช้าอยู่กับช้า เด็กเรียนเร็วอยู่กับเร็ว รวมทั้งดูวัยให้ใกล้เคียงกัน และดูคะแนนความสามารถที่ใกล้เคียงกันให้อยู่กลุ่มเดียวกันด้วย
(๓) จัดให้มีครูอาสาเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนเพื่อการแก้ปัญหาเป็นการ เฉพาะ ครูอาสาคนหนึ่งจะรับผิดชอบเด็กได้ไม่เกิน ๔ กลุ่ม หรือไม่เกิน ๘๐ คน
(๔) ครูอาสาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มละไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ถ้ามีเด็ก ๔ กลุ่มก็จะต้องสอนวันละ ๔ รอบ รอบละ ๑ กลุ่มต่อ ๑ ชั่วโมง ดังนั้น ครูอาสาที่รับผิดชอบสอนวันละ ๔ กลุ่ม ควรจะต้องว่างจากภารกิจอื่นอย่างสิ้นเชิง เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาเพื่อกิจกรรมการสอนแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
(๕) ครูอาสาเขียนชาร์ตประกอบการสอนตามแบบฝึกในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ ตั้งแต่บทที่ ๓ ถึงบทที่ ๖ และดำเนินการสอนไปตามลำดับเนื้อหาอย่างครบถ้วน โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง คือ

ขั้นที่หนึ่ง แจกลูก ให้ผูกจำ
ขั้นที่สอง อ่านคำ ย้ำวิถี
ขั้นที่สาม คัดลายมือ ซ้ำอีกที
ขั้นที่สี่ เขียนคำบอก ทุกชั่วโมง

(๖) ครูอาสาดำเนินการสอนแก้ปัญหาไปจนครบถ้วนเนื้อหาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ากลุ่มละ ๙๐ ชั่วโมง หรือไม่น้อยกว่า ๔ เดือน หรืออาจเกินกว่าเวลาที่กำหนดนี้ก็ได้ ทั้งนี้ให้ถือเอาความมีสัมฤทธิผลของทักษะของเด็กแต่ละกลุ่มและแต่ละคนเป็น สำคัญ
(๗) เมื่อสอนครบตามเนื้อหาบทที่ ๓-๖ ให้ครูอาสานำคำทดสอบ ๕๐ คำใช้ครั้งแรกก่อนเข้าโครงการมาทดสอบให้เด็กเขียนตามคำบอกอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการและผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปัญหา (โดยทั่วไป ถ้าครูอาสาดำเนินการอย่างครบถ้วนตามเนื้อหาแบบฝึก กระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคแทรกซ้อน จะได้ผล ๑๐๐%)
(๘) จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเสนอหน่วยงานในสังกัดรับทราบ

๓.การบริหาร กำกับติดตาม นิเทศ และประเมินผล
ฝ่ายบริหารและฝ่ายวิชาการจะต้องเรียนรู้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการต่างๆ จากหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ ให้เกิดความเข้าใจตรงกันกับครูอนุบาล ครู ป.๑ และครูอาสา เพื่อวางแผนงานสนับสนุน ติดตามกำกับดูแล นิเทศ และช่วยเหลือ ดังนี้

๓.๑ จัดสรรงบประมาณในส่วนที่จำเป็นเพื่อการสนับสนุน เช่น จัดซื้อหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว และ ก ไก่ น้อมไหว้ จัดซื้อกระดาษและเครื่องเขียน เพื่อเขียนชาร์ตประกอบการสอนชุดละประมาณไม่น้อยกว่า ๒๐๐ แผ่น และกระดาษเอสี่เพื่อเด็กอนุบาลฝึกเขียนเส้นลีลาต่างๆ

๓.๒ บริหารบุคลากรและวิชาการให้เอื้อต่อกระบวนการแก้ปัญหา (มีรายละเอียดในหนังสือที่อ้างอิง)

๓.๓ ติดตามกำกับดูแล นิเทศ และช่วยเหลือ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องกำกับให้ครูดำเนินการ คือ
(๑) ครูอนุบาลปฏิบัติการตามแนวทางดำเนินการและมีมาตรฐานสัมฤทธิผลที่สามารถตรวจสอบได้จาก
-มีหลักฐานบัญชีคำและการเปล่งคำของนักเรียนที่มีมาตรฐานและสอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับการนิเทศ
-มีหลักฐานชาร์ตพยัญชนะ ก-ฮ, ชาร์ตสระที่มีมาตรฐาน และสามารถพิสูจน์การเปล่งท่องของนักเรียนได้
-นักเรียนมีพัฒนาการการจับดินสอ ปรับระยะสายตา เขียนเส้นลีลาต่างๆ และวาดรูปอย่างมีทักษะสมบูรณ์ก่อนการเขียนตัวอักษร, มีหลักฐานการจัดเก็บผลงานและพัฒนาการของนักเรียนอย่างเป็นระบบ
-นักเรียนสามารถเขียนพยัญชนะ ก - ฮ สระเดี่ยว วรรณยุกต์ทั้ง ๔ รูป และตัวเลข ๐-๙, มีหลักฐานการจัดเก็บผลงานและพัฒนาการของนักเรียนอย่างเป็นระบบ
(๒) ครู ป.๑ ปฏิบัติการสอนเพื่อประกันการอ่านออกเขียนได้วันละ ๒ ชั่วโมง และสามารถตรวจสอบได้จาก
-ครูมีชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐานตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว บทที่ ๓-๖
-ครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
(๓) ครูอาสาปฏิบัติการสอนเพื่อแก้ปัญหาการอ่านการเขียนอย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง และมีหลักฐานเอกสารประกอบการดำเนินงานที่สามารถตรวจสอบได้ ดังนี้
-ครูได้ดำเนินการทดสอบการเขียนตามคำบอกนักเรียนก่อนเข้าโครงการจากคำมาตรฐาน ๕๐ คำและมีกระดาษคำตอบเก็บไว้อย่างเป็นระบบและหมวดหมู่ที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
-ครูมีชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐานตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว บทที่ ๓-๖
-ครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ

หากทำตามที่กล่าวมานี้ รับประกันว่าจะสามารถป้องกันปัญหาและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนแท้จริง ซึ่งนี่คือแนวที่พิสูจน์มาแล้วกับครูและเด็กๆ ในโรงเรียนที่เข้าร่วมแนวทางทั่วทุกภูมิภาค
 
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ทุ่งสักอาศรม ๓๕ หมู่ ๑๓ ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ๗๑๑๗๐
โทร. ๐๘๑-๙๙๕๖๐๑๖ e-mail : tungsakasome@yahoo.com

พัฒนาการด้านสติปัญญา: วัยประถมต้น (Primary school children cognitive development)



พัฒนาการด้านสติปัญญา: วัยประถมต้น (Primary school children cognitive development)


บทนำ

เด็กวัยประถมต้น (6-9 ขวบ) มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ Jean Piaget เรียกว่า Concrete Operation คือ มีความสามารถคิดเหตุผลเชิงตรรกะได้ สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อมตามความเป็นจริง สามารถพิจารณาเปรียบเทียบจัดของเป็นกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลายอย่าง เริ่มเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ และเข้าใจความคงตัวของสสารว่า การเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอกไม่มีผลต่อสภาพเดิม ต่อปริมาณ น้ำหนัก และปริมาตร มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดแก้ปัญหาตามวิธีการของตัวเอง ชอบแสวงหาวิธีการต่างๆจากการลองปฏิบัติ ซักถาม เปรียบเทียบ และจดจำสิ่งของหรือบุคคลต่างๆได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการด้านภาษาและการใช้สัญลักษณ์ในวัยนี้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามาก สามารถเข้าใจภาษา ความหมายของคำใหม่ๆ อ่านและเขียนได้มากขึ้น สามารถอธิบาย บอกความเหมือน-ความต่างได้ มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาสัมพันธ์กัน รวมทั้งเข้าใจความหมายของบทเรียน ทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา และการอ่าน การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการจัดการเรียนการสอนของครู จะช่วยให้เด็กมีวิธีคิด มีวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม เกิดทางเลือกและวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการในวัยต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

พัฒนาการด้านสติปัญญาวัยประถมต้นสำคัญอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างบุคคลเกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญา เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่รอบตัวจำเป็นต้องตระหนักและคำนึงถึงความ สามารถเฉพาะของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตามศักยภาพของตน ดังนั้น การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาดหรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ถ้านำระดับสติปัญญาหรือไอคิวมาเป็นมาตรวัด ก็อาจวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วน ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบไม่สามารถวัดได้ เช่น ความ สามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา หรือความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้ที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหน แล้วนำแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลไป
ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ได้เสนอว่า ปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ (1) ด้านภาษา (2) ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (3) ด้านมิติสัมพันธ์ (4) ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (5) ด้านดนตรี (6) ด้านมนุษยสัมพันธ์ และ (7) ด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ (8) ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายความ สามารถที่หลากหลายได้ครอบคลุมมากขึ้น
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรทราบและเข้าใจลักษณะของเด็ก ยอมรับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน สามารถประเมินพัฒนา การของเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละวัย และตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสามารถวิเคราะห์ปัญหาพฤติ กรรมของเด็ก และหาแนวทางแก้ไขปัญหานั้นอย่างเหมาะสม

เด็กวัยประถมต้นมีสมรรถนะและพัฒนาการด้านสติปัญญาอย่างไร?

จากวัยอนุบาลมาเป็นเด็กประถมที่รู้จักเหตุและผล มีความคิดเป็นของตนเอง สามารถแก้ไขปัญหา พร้อมเรียนรู้โลกกว้างในกรอบของระเบียบวินัย จึงทำให้สามารถมองเห็นพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ดังนี้
อายุ 6 ขวบ เริ่มต้นวัยประถม เด็กวัยนี้มีความสนใจกิจกรรมและงานของตนเองนานขึ้น มีความกระตือรือร้น สนใจของแปลก ใหม่ แต่หากมีสิ่งที่น่าสนใจกว่า อาจหันไปสนใจของอีกอย่างได้ทันที นอกจากนี้สามารถวาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน วาดรูปคน เขียนตัวอักษรง่ายๆได้ รู้ซ้ายขวา นับ 1-30 ได้ สามารถอธิบายความหมายของคำ และบอกความแตกต่างของ 2 สิ่งได้
อายุ 7 ขวบ วัยประถมเต็มตัว เมื่อเด็กมีความสนใจสิ่งใดแล้ว จะพยายามทำให้สำเร็จ มีความอยากรู้อยากเห็น เข้าใจเรื่องเหตุและผลมากขึ้น สามารถจดจำระยะเวลา อดีตและปัจจุบันได้ มีความสนใจที่ยาวนานขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปคนมีรายละเอียดมากขึ้น เขียนตัวหนังสือได้ครบตามแบบ บอกวันในสัปดาห์ เปรียบ เทียบขนาดใหญ่ เล็ก เท่ากัน แก้ปัญหาได้ บวก ลบ เลขง่ายๆ และบอกเวลาก่อน-หลังได้
อายุ 8 ขวบ วัยแห่งการเรียนรู้ เด็กวัยประถมจะสนใจและจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมาย และหมกมุ่นจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ เข้าใจคำสั่งและตั้งใจทำงานให้ดีกว่าเดิม เด็กวัยนี้วาดรูปสิ่งที่พบเห็นเป็นสัดส่วนและมีรายละเอียด เขียนตัวหนังสือถูกต้อง เป็นระเบียบ บอกเดือนของปีได้ สะกดคำง่ายๆได้ ฟังเรื่องราวแล้วเข้าใจเนื้อหาและขั้นตอนได้ เปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน และสามารถเข้าใจปริมาตร
อายุ 9 ขวบ ซึมซับความรู้ วิธีการพูดของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ภาษาที่ซับซ้อนขึ้น รู้จักถาม-ตอบอย่างมีเหตุผล เต็มไปด้วยความรู้รอบตัว สามารถหาคำตอบเองได้จากการสังเกต เด็กจะต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีของสะสม และเลียนแบบการกระทำของคนที่โตกว่า เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปทรงกระบอกมีความลึกได้ บอกเดือนถอยหลังได้ เขียนเป็นประโยค เริ่มอ่านในใจ เริ่มคิดเลขในใจ บวกลบหลายชั้น และคูณชั้นเดียว
เด็กวัยประถม เป็นช่วงที่เด็กไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงบ่ายหรือเย็นแล้วจึงกลับเข้าบ้าน จึงเกิดการเรียนรู้ทั้งที่บ้านและที่โรง เรียน เด็กวัยนี้มีความสามารถที่จะมองเหตุการณ์ในภาพรวม และมองรายละเอียด รวมทั้งเลือกที่จะสนใจจุดย่อยๆได้ เด็กจะมีความคิดเรื่องความคงที่ของวัตถุ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนภาชนะไป มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล สามารถคิดแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของตนเองต่อโลกกว้าง รู้จักแยกสิ่งของออกเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ คิดกลับไปกลับมา และคิดในใจได้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์และมีความสำคัญต่อการดำเนิน ชีวิตในวัยนี้ คิดและมองโลกในมุมมองของผู้อื่นได้มากขึ้น ทำให้การปรับตัวเข้ากับคนอื่นทำได้ดีขึ้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาให้ลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การพัฒนาสติปัญญาจะต้องพัฒนาให้ครบทุกด้าน นั่นคือ การพัฒนาให้ลูกมีทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ มีความฉลาด ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง รู้จักตนเอง และมีความมั่นคงทางอารมณ์ มีทักษะการแก้ปัญหา และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การดูแลลูกในวัยประถม จึงเป็นช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่ง เพราะเป็นวัยที่ลูกต้องเรียนรู้และปรับตัวในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเรียน การเข้ากับเพื่อน เข้ากับครู และปรับตัวให้เข้ากับระบบโรงเรียน ซึ่งลูกต้องช่วยตัวเองมากขึ้นและมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองต่อไปได้ตาม ลำดับ โดยพ่อแม่จะช่วยเหลือลูกได้ ดังนี้
  • ดูแลเรื่องเรียน การเรียนในชั้นประถมแตกต่างจากอนุบาล คือ มีการเรียนเป็นชั่วโมง ลูกต้องนั่งเรียนเป็นเวลานาน และเริ่มมีการบ้าน พ่อแม่จึงควรดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือลูก เช่น ช่วยตรวจการบ้านว่าทำถูกต้องหรือไม่ ช่วยลูกทบทวนบท เรียน ช่วยให้ลูกสนุกกับการเรียน สนุกกับการทำงาน ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยคิดว่าจะทำงานอย่างไรให้สวยงาม เรียบร้อย
  • ช่วยเหลือเรื่องปรับตัว ให้คำแนะนำต่างๆ การไปโรงเรียนเป็นการเรียนรู้ในทุกด้านของชีวิต พ่อแม่ควรให้คำแนะ นำในการคิดแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ลูกไม่เข้าใจบทเรียน ไม่กล้าถามครู ลูกจดงานไม่ทัน ไม่รู้จักขอดูจากเพื่อน ถูกเพื่อนล้อเลียน ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร หรือถูกรังแก โดนข่มขู่ ฯลฯ
  • หาเวลาว่างพูดคุยกัน พ่อแม่ควรหาเวลาพูดคุยกับลูก แสดงท่าทียอมรับ เปิดใจฟังเรื่องของลูกเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป แบบสบายๆ ให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมจะเปิดใจพูดคุยกับพ่อแม่ ด้วยการใช้ภาษาแบบเด็ก ฟังโดยไม่ขัดแย้ง ให้เกียรติ หลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง

ประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กวัยนี้ จะประเมินความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการใช้ภาษา ทั้งความเข้าใจภาษา และการสื่อความหมายต่างๆ ดังนี้
  • ลูกได้รับสารอาหารบำรุงสมองครบถ้วน เพียงพอ ได้แก่ ตับ ไข่ ปลา ไก่ หมู นม และอาหารทะเล ผักและผลไม้ วิตามินและเกลือแร่ ฯลฯ
  • ลูกสามารถใช้ภาษาสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักขอร้อง ไกล่เกลี่ย ต่อรอง ขอบคุณ ขอโทษ และลูกมักได้รับคำชื่นชม คำแนะนำ กำลังใจจากพ่อแม่เสมอ
  • ลูกสามารถคิดเป็นระบบ คิดแก้ปัญหาได้เหมาะกับวัย พ่อแม่ให้โอกาสลูกได้ฝึกคิด ฝึกเลือก และหัดตัดสินใจ ทำให้ลูกเข้าใจว่า ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ เมื่อเผชิญปัญหา ลูกมีโอกาสได้ฝึกคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
  • ลูกมีจินตนาการ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สังเกตได้จากงานเขียนหรือการเล่นของลูก ลูกมีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติ ได้แสดงออก รู้จักเคลื่อนไหวร่างกาย และจินตนาการเป็นสิ่งต่างๆ
  • ลูกมีโอกาสเล่น ออกกำลังกาย ได้เล่นเกมที่ไม่ต้องแข่งกัน ได้เล่นเกมง่ายๆเป็นกลุ่ม เช่น เล่นโดมิโน ต่อจิ๊กซอว์ ลูกสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์และเรียนรู้ที่จะสร้างกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง
  • ลูกมีความสนใจ ใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถ มีผลการเรียนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งมาจากความสามารถ ความรับผิด ชอบ และความอดทนของตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อการสอบว่า อาจทำผิดพลาดและสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไป
  • ลูกสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีโอกาสฝึกคิด จัดกลุ่ม จับคู่ นับจำนวนต่างๆ ในสถาน การณ์จริง ให้มีส่วนร่วมในการทำงานต่างๆในบ้าน เช่น จัดโต๊ะอาหาร ทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้ เป็นต้น

เกร็ดความรู้เพื่อครู

องค์ประกอบด้านสติปัญญา ประกอบด้วยความพร้อมทางการเรียน ทั้งด้านภาษาและคณิตศาสตร์ โดยมีความเข้าใจภาษาและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีความพร้อมทางการรับรู้และความสามารถในการแก้ปัญหา ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการต่อจากพ่อแม่ ครูจึงควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กและครอบครัว รับฟังปัญหาเด็ก ไม่ด่วนสรุปเร็วเกินไป และมีท่าทีเป็นกลาง หาข้อมูลเพื่อให้รู้สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหา มองเด็กในแง่ดี ชี้ แนะในกรณีที่เด็กคิดไม่ออกด้วยตัวเอง จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เด็กรักกัน ยอมรับและช่วยเหลือกัน มีการชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี มีวิธีตักเตือน ชักจูงให้อยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา และพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา ซึ่งประ กอบด้วยการแปลโจทย์ปัญหา การทำงานร่วมกัน การวางแผน การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนข้อมูล การประสานงาน การแบ่งงาน เป็นต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบที่เด็กมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้วิถีการทำงานของเพื่อน เกิดการช่วย เหลือซึ่งกันและกัน และช่วยผลักดันให้เกิดผลงานที่ดี พัฒนาให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากกว่าแค่การนั่งฟังครูสอน ครูจึงควรออกแบบและจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมอง ทั้งสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาของเด็ก ด้วยการจัดกิจกรรมที่สมดุลระหว่างการนั่งเรียนในชั้นเรียนกับกิจกรรมการ เคลื่อนไหวร่างกาย มีการฝึกภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน มีการแสดงออกทั้งด้านกีฬา ดนตรี และศิลปะ ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้ขนาด ปริมาณ การเพิ่มขึ้นลดลง การใช้ตัวเลข ได้สัมผัสวัตถุที่เป็นของจริง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ฝึกที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้มีทั้งการทำงานเดี่ยวและทำงานกลุ่ม ที่สำคัญ ฝึกให้รู้จักตนเอง วิเคราะห์ข้อเด่น ข้อด้อยของตัวเอง เข้าใจตนเอง เพื่อที่จะดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม
ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็ควรมีระบบให้ความช่วยเหลือนักเรียน มีระบบคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาด้านต่างๆ เช่น ปัญหาการเรียน ปัญหาพฤติกรรมหรืออารมณ์ และมีทีมนักจิตวิทยาช่วยประเมินผล หาสาเหตุ ส่งต่อ ติดตามผลการให้ความช่วย เหลือ จึงจะช่วยทำให้โรงเรียนสามารถพัฒนาเด็กได้เพิ่มขึ้น เพราะการไปโรงเรียนไม่ใช่ไปเรียนหนังสืออย่างเดียว แต่เด็กควรจะได้รับการปลูกฝัง ฝึกหัด และเรียนรู้ เพื่อที่จะก้าวต่อไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและดีงาม

บรรณานุกรม

  1. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2549). สุขภาวะองค์รวมแนวพุทธ. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา.
  2. ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นฯ. คู่มือเลี้ยงลูก วัย 6-12 ปี. แหล่งที่มา http://www.rcpsycht.org/cap/book03. php (1 มกราคม 2556)
  3. นายแพทย์ สุรพงศ์ อำพันวงษ์ คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 26 มีนาคม 2543) แหล่งที่มา http://www.teerawatschool.com 1 มกราคม 2556)
  4. พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา แหล่งที่มา http://www.childanddevelopment.com (1 มกราคม 2556)


http://taamkru.com/th/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99/

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คำในบัญชีพื้นฐานเด็กอนุบาล



คำในบัญชีคำชั้นเด็กเล็กมีจำนวนทั้งสิ้น  ๒๔๒  คำ  จะเป็นคำนามจำนวน  ๑๗๕  คำ  คำสรรพนาม    คำ  คำกริยา  คำเชื่อม  และอื่นๆ  อีก  ๖๑  คำ
                คำนาม  จัดประเภทของคำเป็นหมวดได้  ๑๒  หมวด  คือ  หมวดที่เกี่ยวกับ  ตำแหน่งอาชีพ  เครือญาติ  อวัยวะ  เครื่องแต่งกาย เครื่องนอน  ดอกไม้  ผลไม้  ผัก  อาหาร  สัตว์  สิ่งของ  พาหนะ  และสถานที่  ได้แก่คำต่อไปนี้

                ตำแหน่ง อาชีพ  รวม  ๒๒  คำ  ได้แก่  หมอ  คน  ตำรวจ  พระ  ครู  เด็ก  นักเรียน  แม่ค้า  ทหาร  ชาวนา  ในหลวง  พระราชินี  พระเจ้าอยู่หัว  ผู้ชาย  ผู้หญิง

                เครือญาติ รวม  ๑๔  คำ  ได้แก่  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ตา  เพื่อน  ลุง  ปู่ น้า ยาย  ลูก  ย่า  อา  และ  ป้า

                อวัยวะรวม  ๒๑  คำ  ได้แก่  มือ  ขา  ปาก  ตัว  ตา  จมูก  นม  หน้า  เท้า  หู  ฟัน  นิ้ว  คิ้ว  คอ  แขน  ตีน  หลัง  หัวเข่า  สะดือ  ตับ  หัว  และผม

                เครื่องแต่งกาย เครื่องนอน  รวม  ๑๑  คำ  ได้แก่  กางเกง  เสื้อ  เสื้อผ้า  ผ้า  หมวก  เสื้อกันหนาว  หมอน  ผ้าห่ม  มุ้ง  เตียง  และที่นอน

                ดอกไม้  รวม       คำ  ได้แก่ ดอกไม้  ดอกเข็ม  กุหลาบ  และมะลิ

ผลไม้  รวม  ๑๐  คำ  ได้แก่   กล้วย  แตงโม  มะพร้าว  ส้ม  เงาะ  มะละกอ  ชมพู่  น้อยหน่า  ฝรั่ง  มะม่วง  ลำไย  ละมุด  ส้มโอ  ขนุน  มะขาม  ลางสาด  องุ่น  และมะยม

ผัก  รวม  ๑๐  คำ  ได้แก่ ผัก  พริก  มะเขือ  ผักกาด  หญ้า  ผักบุ้ง  คะน้า  กะหล่ำปลี ผักชี และถั่ว

อาหารรวม  ๑๒  คำ  ได้แก่  ไข่  ข้าว  น้ำ  ขนม  ขนมปัง  น้ำปลา  น้ำตาล  ยา  ก๋วยเตี๋ยว  ข้าวสาร  น้ำส้ม  และแกง

สัตว์ รวม ๒๕  คำ  ได้แก่   ไก่  หมู  กระต่าย  ปลา  หมา  นก  แมว  เต่า  หมี  ปู  ปลาทู  เป็ด  ช้าง  เสือ  ลิง  วัว  งู  จระเข้  ควาย  นกแก้ว  ม้า  สิงโต  กวาง  หมาป่า  และกุ้ง

สิ่งของ  รวม  ๒๗  คำ  ได้แก่  หนังสือ  แปรง  ช้อน  จาน  ชาม  โทรทัศน์  โต๊ะ  ของเล่น  ตุ๊กตา  ร่ม  ประตู  กระเป๋า  ตู้  ถ้วย  วิทยุ  กระป๋อง  หม้อ  ขัน  เตา  การ์ตูน  รูป  ตู้เย็น  สมุด  ทัพพี  ถุง  ตะหลิว  และมีด

พาหนะ  รวม    คำ  ได้แก่  รถ  เรือ  รถไฟ  และรถยนต์

สถานที่  รวม  ๑๓  คำ  ได้แก่  โรงเรียน  บ้าน  วัด  ตลาด  ครัว  ห้อง  โรงพยาบาล  ถนน  สวนสัตว์  นา  ดิน  ฝน  และป่า

คำกริยา  คำเชื่อม  และอื่นๆ  รวม  ๖๑  คำ  ได้แก่  วิ่ง  มี  ก็  ไป  กิน  ใส่  ขาย  เล่น  ให้  ชอบ  มา  ล้าง  ซื้อ  อยู่  ได้  นอน  เลี้ยง  ดู  เดิน  รัก  อาบน้ำ   ฟัง  นั่ง  ดื่ม  ร้องไห้  เขียน  ฉีดยา  กระโดด  ไม่  เก็บ  กัด  พาย  ร้อน  หยิบ  ไหว้  เห็น  บิน  เที่ยว  ถู  ตี  สอน  ตัด  ต้ม  ยิง  อ่าน  กวาด  ไล่  เปิด  มัด  ตก  กราบ  จับ  ปลูก  หา  ขี่  พา  ขุด  เจอ  ติด  รู้  และ  รู้จัก