วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร

การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร


การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ครบวงจร

การอ่านออกเขียนได้ในระดับพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการสื่อสารและการเรียนรู้ วิชาการต่างๆ เป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้เรียนทุกระดับ แต่จากข้อมูลการทดสอบประเมินทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติปัจจุบันกลับพบ ว่ายังมีผู้เรียนจำนวนมากที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในระดับพื้นฐานดัง กล่าว และจากการทดสอบเขียนตามคำบอกจาก “คำตรงมาตราทั้ง ๙ แม่ซึ่งมีพยัญชนะต้นครอบคลุมอักษรสามหมู่ ครอบคลุมสระไม่น้อยกว่า ๒๐ สระขึ้นไป รวมทั้งครอบคลุมคำควบกล้ำ คำอักษรนำ และคำผันเสียงวรรณยุกต์ทุกหมู่อักษร” ที่ผู้เขียนได้ทดสอบกับผู้เรียนตั้งแต่ ป.๒ ขึ้นไปในภูมิภาคต่างๆ ปรากฏว่ามีผู้ได้คะแนนไม่ผ่านร้อยละ ๕๐ อยู่ที่ระหว่างร้อยละ ๒๐ – ๘๐ ของแต่ละโรงเรียน โดยที่การดำเนินการแก้ไขปัญหาของโรงเรียนก็ยังเป็นไปแบบไม่แม่นตรง ไม่ก่อให้เกิดสัมฤทธิผลในการแก้ไขอย่างแท้จริง ผู้เรียนที่ยังคงถูกทอดทิ้งให้อยู่ในโลกมืดของการอ่านเขียนยังมีอีกมากมาย

ผู้เขียนได้มีส่วนร่วมกับการดำเนินกิจกรรมแก้ปัญหาเรื่องนี้ทั้งเขียน หนังสือชื่อ “เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว” ให้การอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำโครงการจัดครูอาสาปฏิบัติการสอนเชิงวิจัยและกำกับตามนิเทศแบบมี ส่วนร่วม ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน (๒๕๕๗) กระทั่งได้ข้อสรุปอันเป็นสาระสำคัญในการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบครบ วงจร เพื่อให้โรงเรียนสามารถป้องกันปัญหา แก้ปัญหา และรักษาคุณภาพการอ่านออกเขียนได้ที่ยั่งยืนและเป็นต้นแบบแก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป จะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้

แนวทางดำเนินการป้องกันและแก้ปัญหา

หลักการดำเนินการ "ป้องกันปัญหาและแก้ปัญหาเพื่อประกันการอ่านออกเขียนได้ยั่งยืน" ซึ่งให้แนวทางในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ นั้นมีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้

๑.วิเคราะห์เหตุแห่งปัญหา
พบว่า เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีสาเหตุมาจาก

๑.๑ ครูสอนผิดวิถีการสอนภาษาไทย

๑.๒ ครูจัดการเรียนการสอนไม่ครบกระบวนทักษะ โดยเฉพาะความผิดพลาดสำคัญที่เกิดแก่ชั้น ป.๑ จากสาเหตุต่อไปนี้

(๑) ครู ป.๑ มักไม่ค่อยได้เขียนแบบฝึกอ่านบนกระดานดำเหมือนครูรุ่นเก่า เด็กๆ จึงขาดจุดเน้นนำสายตา ทำให้ความสนใจเนื้อหาลดลง การเปล่งเสียงอ่านคำในหนังสือเรียนที่ครูไม่อาจรู้ได้ว่าเด็กๆ แต่ละคนจะตามคำอ่านได้ตรงกับที่ครูอ่านหรือไม่ และนอกจากนั้นครูยังนำฝึกปฏิบัติน้อย ไม่ได้นำฝึกให้สมบูรณ์ทักษะอย่างจริงแท้
(๒) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้ชั้น ป.๑ ต้องเรียนสาระต่างๆ รวม ๘ สาระเหมือนกับชั้นอื่นๆ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรงเรียนยังจัดเวลาสำหรับการเรียนการสอนภาษาไทย ป.๑ น้อยเกินไป ไม่เพียงพอกับการฝึกทักษะเท่าที่ควรจะเป็น
(๓) โรงเรียนหลายแห่งจัดจำนวนนักเรียนในชั้น ป.๑ ต่อห้องมากเกินไป กล่าวคือมีจำนวนเด็ก ป.๑ ระหว่าง ๓๐-๔๕ คนต่อห้องก็มี ซึ่งถ้าจะจัดจำนวนเด็กที่เหมาะควรให้สามารถควบคุมคุณภาพการอ่านออกเขียนได้ นั้นไม่ควรเกิน ๒๕ คนต่อห้อง (ฟังมาว่าที่ประเทศฟินแลนด์ซึ่งจัดการการศึกษาได้ดีเป็นอันหนึ่งของโลกนั้น กำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้อง ๑๒-๒๐ คนเท่านั้น)
(๔) การจัดให้เด็กพิเศษ (เด็กบกพร่องการเรียนรู้) เรียนร่วมกับเด็กปกติก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้ครูไม่สามารถจัดการเรียน การสอนที่มีคุณภาพครบถ้วนไปพร้อมๆ กันได้ เพราะต้องมัวห่วงหน้าพะวงหลัง ส่งผลให้เด็กปกติได้เรียนอย่างไม่เต็มศักยภาพ และเด็กพิเศษก็จะถูกทิ้งหรือเรียนไม่ทันผู้อื่น กลายเป็นปมด้อยซ้ำซ้อน
...เมื่อเด็กๆ ผ่านชั้น ป.๑ ขึ้นไปด้วยความไม่พร้อม อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็กลายเป็นปัญหาลูกโซ่กับสาระการเรียนรู้อื่นๆ ในชั้น ป.๒ และชั้นสูงๆ ขึ้นไปไม่สิ้นสุด

๑.๓ ผู้บริหารสถานศึกษาจัดวางตัวครูอนุบาลและครู ป.๑ ไม่เหมาะบุคคล รวมทั้งมอบหมายแนวทางการจัดการเรียนการสอนไม่ถูกต้อง

๑.๔ ผู้บริหาร นักวิชาการ และนักการศึกษาผู้กำหนดแผนงานและนโยบายระดับต่างๆ ไม่เข้าใจเหตุแห่งปัญหา ไม่สามารถกำหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอน การกำกับติดตาม และนิเทศให้ถูกต้องแท้จริง

๑.๕ ครูมีงานอื่นๆ มากเกินไป ทำให้งานสอนถูกแย่งเวลาไปเป็นอันมาก ในที่สุดก็ลดทอนคุณภาพการเตรียมการสอน ขาดประสิทธิภาพการสอน ไม่มีเวลาติดตามแก้ปัญหาเด็กอย่างใกล้ชิด และไม่มีเวลาซ่อมเสริมทักษะ ปัญหานี้สืบเนื่องจากการบริหารจัดการที่ไม่ดี ไม่สะสางขยะทางวิชาการ กระทั่งกลายเป็นสิ่งปกคลุมคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษา

๒.การแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาจะต้องจัดทำแผนงานโครงการเป็น ๒ โครงการสำคัญ คือ

๒.๑ โครงการป้องกันปัญหา
โครงการนี้จะต้องจัดทำอย่างจริงจังและถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาแบบยั่งยืนที่ชั้น อนุบาล และชั้น ป.๑ นั่นก็คือ

(๑) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับอนุบาลด้วยการเตรียมความพร้อมด้านทักษะภาษาก่อนขึ้น ป.๑ ดังนี้
-เปล่งคำ (จากการดู ฟัง สัมผัส ฯลฯ) และเปล่งเสียงพูดตามครูให้ชัดเจนทุกเสียงอักขระในถ้อยคำที่เป็นชื่อนามสิ่ง ต่างๆ ไม่น้อยกว่าระดับชั้นอนุบาลละ ๕,๐๐๐ คำ
(รวมทั้งเปล่งเสียงท่องบทอาขยานและร้องเพลงตามครู ฝึกพูดสื่อสารถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ, ฟังนิทาน เรื่องเล่า และพูดถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ)
-เปล่งเสียงท่องพยัญชนะ ก - ฮ หรือร้องเป็นเพลง เปล่งเสียงสระสั้นยาวทั้ง ๓๒ สระ ได้ถูกฐานเสียงจนเกิดทักษะจดจำได้ตามศักยภาพ
-มีพัฒนาการการจับดินสอ ปรับระยะสายตา เขียนเส้นลีลาต่างๆ และวาดรูปอย่างมีทักษะสมบูรณ์ก่อนการเขียนตัวอักษร
-สามารถเขียนพยัญชนะ ก - ฮ สระเดี่ยว วรรณยุกต์ทั้ง ๔ รูป และตัวเลข ๐-๙
ฝึกเตรียมทักษะด้านภาษาเพียงเท่านี้ให้ได้อย่างครบถ้วนแท้จริง โดยไม่ต้องฝึกอ่านและเขียนคำ เพราะขั้นตอนการฝึกอ่านและเขียนคำเป็นหน้าที่ของครู ป.๑ การเร่งฝึกอ่านเขียนก่อนวัยอันสมควร จะเป็นโทษแก่เด็กมากกว่าเป็นผลดี ซ้ำยังทำให้ครูอนุบาลไม่มีเวลาฝึกเตรียมทักษะพื้นฐานข้างต้นให้สมบูรณ์เพียง พออีกด้วย

(๒) จัดการเรียนการสอนภาษาไทย ป.๑ เพื่อการอ่านออกเขียนได้อย่างมีมาตรฐาน ดังนี้
-จัดให้มีจำนวนเด็ก ป.๑ ห้องละไม่เกิน ๒๕ คน
-ใน กรณีที่โรงเรียนใดมีนักเรียนชั้น ป.๑ มากกว่า ๑ ห้อง ให้คัดแยกเด็กแต่ละห้องตามศักยภาพการเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้จัดการเรียนการสอนง่าย ให้เด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะไปได้พร้อมๆ กัน (การจัดให้เด็กคละศักยภาพอยู่ในห้องเดียวกันจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้หลาย ประการ ดังได้กล่าวข้างต้นแล้ว)
-ครูจัดทำชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐาน ในที่นี้ขออ้างอิงตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ บทที่ ๓-๖
-ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นวันละ ๒ ชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ

๒.๒ โครงการเฉพาะกิจแก้ปัญหาเร่งด่วนที่ชั้น ป.๒ ขึ้นไป
เนื่องจากเด็กที่เลื่อนชั้นจาก ป.๑ มาอยู่ในชั้นเรียนต่างๆ ขณะนี้จำนวนมากยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจัดทำโครงการแก้ปัญหาเฉพาะกิจเร่งด่วน ดังนี้

(๑) สำรวจสภาพปัญหาด้วยการให้เด็กชั้น ป.๒ ขึ้นไปเขียนตามคำบอกจากคำทดสอบ ๕๐ คำ โดยที่คำทดสอบนี้มีมาตรฐานพื้นทักษะระดับชั้น ป.๑ ซึ่งมีค่าความยากง่ายเฉลี่ยองค์ประกอบของคำครอบคลุม
-คำที่มีพยัญชนะต้นอักษรสามหมู่
-คำที่สะกดตรงมาตราทั้ง ๙ แม่
-คำที่ประสมสระไม่น้อยกว่า ๒๐ สระขึ้นไป
-คำควบกล้ำและคำอักษรนำ
-คำผันเสียงวรรณยุกต์ทั้งสามหมู่อักษร
ชุดคำทดสอบ ๕๐ คำ ตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ จำนวน ๒ ชุด ซึ่งสามารถเลือกใช้ชุดใดชุดหนึ่งก็ได้ หรืออาจออกคำทดสอบเพิ่มเติมจากหลักการมาตรฐานดังกล่าวได้อีกตามที่เห็นเหมาะ สม
นักเรียนที่ได้คะแนนไม่ถึง ๒๕ คะแนนให้คัดจำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ เข้าสู่โครงการแก้ปัญหา
(๒) จำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละไม่เกิน ๒๐ คน โดยพิจารณาให้เด็กเรียนช้าอยู่กับช้า เด็กเรียนเร็วอยู่กับเร็ว รวมทั้งดูวัยให้ใกล้เคียงกัน และดูคะแนนความสามารถที่ใกล้เคียงกันให้อยู่กลุ่มเดียวกันด้วย
(๓) จัดให้มีครูอาสาเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนเพื่อการแก้ปัญหาเป็นการ เฉพาะ ครูอาสาคนหนึ่งจะรับผิดชอบเด็กได้ไม่เกิน ๔ กลุ่ม หรือไม่เกิน ๘๐ คน
(๔) ครูอาสาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มละไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ถ้ามีเด็ก ๔ กลุ่มก็จะต้องสอนวันละ ๔ รอบ รอบละ ๑ กลุ่มต่อ ๑ ชั่วโมง ดังนั้น ครูอาสาที่รับผิดชอบสอนวันละ ๔ กลุ่ม ควรจะต้องว่างจากภารกิจอื่นอย่างสิ้นเชิง เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาเพื่อกิจกรรมการสอนแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
(๕) ครูอาสาเขียนชาร์ตประกอบการสอนตามแบบฝึกในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ ตั้งแต่บทที่ ๓ ถึงบทที่ ๖ และดำเนินการสอนไปตามลำดับเนื้อหาอย่างครบถ้วน โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง คือ

ขั้นที่หนึ่ง แจกลูก ให้ผูกจำ
ขั้นที่สอง อ่านคำ ย้ำวิถี
ขั้นที่สาม คัดลายมือ ซ้ำอีกที
ขั้นที่สี่ เขียนคำบอก ทุกชั่วโมง

(๖) ครูอาสาดำเนินการสอนแก้ปัญหาไปจนครบถ้วนเนื้อหาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ากลุ่มละ ๙๐ ชั่วโมง หรือไม่น้อยกว่า ๔ เดือน หรืออาจเกินกว่าเวลาที่กำหนดนี้ก็ได้ ทั้งนี้ให้ถือเอาความมีสัมฤทธิผลของทักษะของเด็กแต่ละกลุ่มและแต่ละคนเป็น สำคัญ
(๗) เมื่อสอนครบตามเนื้อหาบทที่ ๓-๖ ให้ครูอาสานำคำทดสอบ ๕๐ คำใช้ครั้งแรกก่อนเข้าโครงการมาทดสอบให้เด็กเขียนตามคำบอกอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการและผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปัญหา (โดยทั่วไป ถ้าครูอาสาดำเนินการอย่างครบถ้วนตามเนื้อหาแบบฝึก กระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคแทรกซ้อน จะได้ผล ๑๐๐%)
(๘) จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเสนอหน่วยงานในสังกัดรับทราบ

๓.การบริหาร กำกับติดตาม นิเทศ และประเมินผล
ฝ่ายบริหารและฝ่ายวิชาการจะต้องเรียนรู้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการต่างๆ จากหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ ให้เกิดความเข้าใจตรงกันกับครูอนุบาล ครู ป.๑ และครูอาสา เพื่อวางแผนงานสนับสนุน ติดตามกำกับดูแล นิเทศ และช่วยเหลือ ดังนี้

๓.๑ จัดสรรงบประมาณในส่วนที่จำเป็นเพื่อการสนับสนุน เช่น จัดซื้อหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว และ ก ไก่ น้อมไหว้ จัดซื้อกระดาษและเครื่องเขียน เพื่อเขียนชาร์ตประกอบการสอนชุดละประมาณไม่น้อยกว่า ๒๐๐ แผ่น และกระดาษเอสี่เพื่อเด็กอนุบาลฝึกเขียนเส้นลีลาต่างๆ

๓.๒ บริหารบุคลากรและวิชาการให้เอื้อต่อกระบวนการแก้ปัญหา (มีรายละเอียดในหนังสือที่อ้างอิง)

๓.๓ ติดตามกำกับดูแล นิเทศ และช่วยเหลือ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องกำกับให้ครูดำเนินการ คือ
(๑) ครูอนุบาลปฏิบัติการตามแนวทางดำเนินการและมีมาตรฐานสัมฤทธิผลที่สามารถตรวจสอบได้จาก
-มีหลักฐานบัญชีคำและการเปล่งคำของนักเรียนที่มีมาตรฐานและสอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับการนิเทศ
-มีหลักฐานชาร์ตพยัญชนะ ก-ฮ, ชาร์ตสระที่มีมาตรฐาน และสามารถพิสูจน์การเปล่งท่องของนักเรียนได้
-นักเรียนมีพัฒนาการการจับดินสอ ปรับระยะสายตา เขียนเส้นลีลาต่างๆ และวาดรูปอย่างมีทักษะสมบูรณ์ก่อนการเขียนตัวอักษร, มีหลักฐานการจัดเก็บผลงานและพัฒนาการของนักเรียนอย่างเป็นระบบ
-นักเรียนสามารถเขียนพยัญชนะ ก - ฮ สระเดี่ยว วรรณยุกต์ทั้ง ๔ รูป และตัวเลข ๐-๙, มีหลักฐานการจัดเก็บผลงานและพัฒนาการของนักเรียนอย่างเป็นระบบ
(๒) ครู ป.๑ ปฏิบัติการสอนเพื่อประกันการอ่านออกเขียนได้วันละ ๒ ชั่วโมง และสามารถตรวจสอบได้จาก
-ครูมีชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐานตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว บทที่ ๓-๖
-ครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
(๓) ครูอาสาปฏิบัติการสอนเพื่อแก้ปัญหาการอ่านการเขียนอย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง และมีหลักฐานเอกสารประกอบการดำเนินงานที่สามารถตรวจสอบได้ ดังนี้
-ครูได้ดำเนินการทดสอบการเขียนตามคำบอกนักเรียนก่อนเข้าโครงการจากคำมาตรฐาน ๕๐ คำและมีกระดาษคำตอบเก็บไว้อย่างเป็นระบบและหมวดหมู่ที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
-ครูมีชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐานตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว บทที่ ๓-๖
-ครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง
-นักเรียนมี “สมุดคัดลายมือ” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี “สมุดเขียนตามคำบอก” ที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ “เขียนตามคำบอก” ด้วยคำมาตรฐาน ๕๐ คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ

หากทำตามที่กล่าวมานี้ รับประกันว่าจะสามารถป้องกันปัญหาและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนแท้จริง ซึ่งนี่คือแนวที่พิสูจน์มาแล้วกับครูและเด็กๆ ในโรงเรียนที่เข้าร่วมแนวทางทั่วทุกภูมิภาค
 
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ทุ่งสักอาศรม ๓๕ หมู่ ๑๓ ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ๗๑๑๗๐
โทร. ๐๘๑-๙๙๕๖๐๑๖ e-mail : tungsakasome@yahoo.com

พัฒนาการด้านสติปัญญา: วัยประถมต้น (Primary school children cognitive development)



พัฒนาการด้านสติปัญญา: วัยประถมต้น (Primary school children cognitive development)


บทนำ

เด็กวัยประถมต้น (6-9 ขวบ) มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ Jean Piaget เรียกว่า Concrete Operation คือ มีความสามารถคิดเหตุผลเชิงตรรกะได้ สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อมตามความเป็นจริง สามารถพิจารณาเปรียบเทียบจัดของเป็นกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลายอย่าง เริ่มเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ และเข้าใจความคงตัวของสสารว่า การเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอกไม่มีผลต่อสภาพเดิม ต่อปริมาณ น้ำหนัก และปริมาตร มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดแก้ปัญหาตามวิธีการของตัวเอง ชอบแสวงหาวิธีการต่างๆจากการลองปฏิบัติ ซักถาม เปรียบเทียบ และจดจำสิ่งของหรือบุคคลต่างๆได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการด้านภาษาและการใช้สัญลักษณ์ในวัยนี้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามาก สามารถเข้าใจภาษา ความหมายของคำใหม่ๆ อ่านและเขียนได้มากขึ้น สามารถอธิบาย บอกความเหมือน-ความต่างได้ มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาสัมพันธ์กัน รวมทั้งเข้าใจความหมายของบทเรียน ทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา และการอ่าน การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการจัดการเรียนการสอนของครู จะช่วยให้เด็กมีวิธีคิด มีวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม เกิดทางเลือกและวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการในวัยต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

พัฒนาการด้านสติปัญญาวัยประถมต้นสำคัญอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างบุคคลเกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญา เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่รอบตัวจำเป็นต้องตระหนักและคำนึงถึงความ สามารถเฉพาะของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตามศักยภาพของตน ดังนั้น การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาดหรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ถ้านำระดับสติปัญญาหรือไอคิวมาเป็นมาตรวัด ก็อาจวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วน ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบไม่สามารถวัดได้ เช่น ความ สามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา หรือความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้ที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหน แล้วนำแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลไป
ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ได้เสนอว่า ปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ (1) ด้านภาษา (2) ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (3) ด้านมิติสัมพันธ์ (4) ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (5) ด้านดนตรี (6) ด้านมนุษยสัมพันธ์ และ (7) ด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ (8) ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายความ สามารถที่หลากหลายได้ครอบคลุมมากขึ้น
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรทราบและเข้าใจลักษณะของเด็ก ยอมรับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน สามารถประเมินพัฒนา การของเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละวัย และตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสามารถวิเคราะห์ปัญหาพฤติ กรรมของเด็ก และหาแนวทางแก้ไขปัญหานั้นอย่างเหมาะสม

เด็กวัยประถมต้นมีสมรรถนะและพัฒนาการด้านสติปัญญาอย่างไร?

จากวัยอนุบาลมาเป็นเด็กประถมที่รู้จักเหตุและผล มีความคิดเป็นของตนเอง สามารถแก้ไขปัญหา พร้อมเรียนรู้โลกกว้างในกรอบของระเบียบวินัย จึงทำให้สามารถมองเห็นพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ดังนี้
อายุ 6 ขวบ เริ่มต้นวัยประถม เด็กวัยนี้มีความสนใจกิจกรรมและงานของตนเองนานขึ้น มีความกระตือรือร้น สนใจของแปลก ใหม่ แต่หากมีสิ่งที่น่าสนใจกว่า อาจหันไปสนใจของอีกอย่างได้ทันที นอกจากนี้สามารถวาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน วาดรูปคน เขียนตัวอักษรง่ายๆได้ รู้ซ้ายขวา นับ 1-30 ได้ สามารถอธิบายความหมายของคำ และบอกความแตกต่างของ 2 สิ่งได้
อายุ 7 ขวบ วัยประถมเต็มตัว เมื่อเด็กมีความสนใจสิ่งใดแล้ว จะพยายามทำให้สำเร็จ มีความอยากรู้อยากเห็น เข้าใจเรื่องเหตุและผลมากขึ้น สามารถจดจำระยะเวลา อดีตและปัจจุบันได้ มีความสนใจที่ยาวนานขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปคนมีรายละเอียดมากขึ้น เขียนตัวหนังสือได้ครบตามแบบ บอกวันในสัปดาห์ เปรียบ เทียบขนาดใหญ่ เล็ก เท่ากัน แก้ปัญหาได้ บวก ลบ เลขง่ายๆ และบอกเวลาก่อน-หลังได้
อายุ 8 ขวบ วัยแห่งการเรียนรู้ เด็กวัยประถมจะสนใจและจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมาย และหมกมุ่นจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ เข้าใจคำสั่งและตั้งใจทำงานให้ดีกว่าเดิม เด็กวัยนี้วาดรูปสิ่งที่พบเห็นเป็นสัดส่วนและมีรายละเอียด เขียนตัวหนังสือถูกต้อง เป็นระเบียบ บอกเดือนของปีได้ สะกดคำง่ายๆได้ ฟังเรื่องราวแล้วเข้าใจเนื้อหาและขั้นตอนได้ เปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน และสามารถเข้าใจปริมาตร
อายุ 9 ขวบ ซึมซับความรู้ วิธีการพูดของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ภาษาที่ซับซ้อนขึ้น รู้จักถาม-ตอบอย่างมีเหตุผล เต็มไปด้วยความรู้รอบตัว สามารถหาคำตอบเองได้จากการสังเกต เด็กจะต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีของสะสม และเลียนแบบการกระทำของคนที่โตกว่า เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปทรงกระบอกมีความลึกได้ บอกเดือนถอยหลังได้ เขียนเป็นประโยค เริ่มอ่านในใจ เริ่มคิดเลขในใจ บวกลบหลายชั้น และคูณชั้นเดียว
เด็กวัยประถม เป็นช่วงที่เด็กไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงบ่ายหรือเย็นแล้วจึงกลับเข้าบ้าน จึงเกิดการเรียนรู้ทั้งที่บ้านและที่โรง เรียน เด็กวัยนี้มีความสามารถที่จะมองเหตุการณ์ในภาพรวม และมองรายละเอียด รวมทั้งเลือกที่จะสนใจจุดย่อยๆได้ เด็กจะมีความคิดเรื่องความคงที่ของวัตถุ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนภาชนะไป มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล สามารถคิดแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของตนเองต่อโลกกว้าง รู้จักแยกสิ่งของออกเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ คิดกลับไปกลับมา และคิดในใจได้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์และมีความสำคัญต่อการดำเนิน ชีวิตในวัยนี้ คิดและมองโลกในมุมมองของผู้อื่นได้มากขึ้น ทำให้การปรับตัวเข้ากับคนอื่นทำได้ดีขึ้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาให้ลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การพัฒนาสติปัญญาจะต้องพัฒนาให้ครบทุกด้าน นั่นคือ การพัฒนาให้ลูกมีทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ มีความฉลาด ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง รู้จักตนเอง และมีความมั่นคงทางอารมณ์ มีทักษะการแก้ปัญหา และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การดูแลลูกในวัยประถม จึงเป็นช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่ง เพราะเป็นวัยที่ลูกต้องเรียนรู้และปรับตัวในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเรียน การเข้ากับเพื่อน เข้ากับครู และปรับตัวให้เข้ากับระบบโรงเรียน ซึ่งลูกต้องช่วยตัวเองมากขึ้นและมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองต่อไปได้ตาม ลำดับ โดยพ่อแม่จะช่วยเหลือลูกได้ ดังนี้
  • ดูแลเรื่องเรียน การเรียนในชั้นประถมแตกต่างจากอนุบาล คือ มีการเรียนเป็นชั่วโมง ลูกต้องนั่งเรียนเป็นเวลานาน และเริ่มมีการบ้าน พ่อแม่จึงควรดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือลูก เช่น ช่วยตรวจการบ้านว่าทำถูกต้องหรือไม่ ช่วยลูกทบทวนบท เรียน ช่วยให้ลูกสนุกกับการเรียน สนุกกับการทำงาน ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยคิดว่าจะทำงานอย่างไรให้สวยงาม เรียบร้อย
  • ช่วยเหลือเรื่องปรับตัว ให้คำแนะนำต่างๆ การไปโรงเรียนเป็นการเรียนรู้ในทุกด้านของชีวิต พ่อแม่ควรให้คำแนะ นำในการคิดแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ลูกไม่เข้าใจบทเรียน ไม่กล้าถามครู ลูกจดงานไม่ทัน ไม่รู้จักขอดูจากเพื่อน ถูกเพื่อนล้อเลียน ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร หรือถูกรังแก โดนข่มขู่ ฯลฯ
  • หาเวลาว่างพูดคุยกัน พ่อแม่ควรหาเวลาพูดคุยกับลูก แสดงท่าทียอมรับ เปิดใจฟังเรื่องของลูกเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป แบบสบายๆ ให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมจะเปิดใจพูดคุยกับพ่อแม่ ด้วยการใช้ภาษาแบบเด็ก ฟังโดยไม่ขัดแย้ง ให้เกียรติ หลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง

ประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กวัยนี้ จะประเมินความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการใช้ภาษา ทั้งความเข้าใจภาษา และการสื่อความหมายต่างๆ ดังนี้
  • ลูกได้รับสารอาหารบำรุงสมองครบถ้วน เพียงพอ ได้แก่ ตับ ไข่ ปลา ไก่ หมู นม และอาหารทะเล ผักและผลไม้ วิตามินและเกลือแร่ ฯลฯ
  • ลูกสามารถใช้ภาษาสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักขอร้อง ไกล่เกลี่ย ต่อรอง ขอบคุณ ขอโทษ และลูกมักได้รับคำชื่นชม คำแนะนำ กำลังใจจากพ่อแม่เสมอ
  • ลูกสามารถคิดเป็นระบบ คิดแก้ปัญหาได้เหมาะกับวัย พ่อแม่ให้โอกาสลูกได้ฝึกคิด ฝึกเลือก และหัดตัดสินใจ ทำให้ลูกเข้าใจว่า ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ เมื่อเผชิญปัญหา ลูกมีโอกาสได้ฝึกคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
  • ลูกมีจินตนาการ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สังเกตได้จากงานเขียนหรือการเล่นของลูก ลูกมีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติ ได้แสดงออก รู้จักเคลื่อนไหวร่างกาย และจินตนาการเป็นสิ่งต่างๆ
  • ลูกมีโอกาสเล่น ออกกำลังกาย ได้เล่นเกมที่ไม่ต้องแข่งกัน ได้เล่นเกมง่ายๆเป็นกลุ่ม เช่น เล่นโดมิโน ต่อจิ๊กซอว์ ลูกสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์และเรียนรู้ที่จะสร้างกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง
  • ลูกมีความสนใจ ใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถ มีผลการเรียนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งมาจากความสามารถ ความรับผิด ชอบ และความอดทนของตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อการสอบว่า อาจทำผิดพลาดและสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไป
  • ลูกสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีโอกาสฝึกคิด จัดกลุ่ม จับคู่ นับจำนวนต่างๆ ในสถาน การณ์จริง ให้มีส่วนร่วมในการทำงานต่างๆในบ้าน เช่น จัดโต๊ะอาหาร ทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้ เป็นต้น

เกร็ดความรู้เพื่อครู

องค์ประกอบด้านสติปัญญา ประกอบด้วยความพร้อมทางการเรียน ทั้งด้านภาษาและคณิตศาสตร์ โดยมีความเข้าใจภาษาและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีความพร้อมทางการรับรู้และความสามารถในการแก้ปัญหา ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการต่อจากพ่อแม่ ครูจึงควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กและครอบครัว รับฟังปัญหาเด็ก ไม่ด่วนสรุปเร็วเกินไป และมีท่าทีเป็นกลาง หาข้อมูลเพื่อให้รู้สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหา มองเด็กในแง่ดี ชี้ แนะในกรณีที่เด็กคิดไม่ออกด้วยตัวเอง จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เด็กรักกัน ยอมรับและช่วยเหลือกัน มีการชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี มีวิธีตักเตือน ชักจูงให้อยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา และพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา ซึ่งประ กอบด้วยการแปลโจทย์ปัญหา การทำงานร่วมกัน การวางแผน การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนข้อมูล การประสานงาน การแบ่งงาน เป็นต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบที่เด็กมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้วิถีการทำงานของเพื่อน เกิดการช่วย เหลือซึ่งกันและกัน และช่วยผลักดันให้เกิดผลงานที่ดี พัฒนาให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากกว่าแค่การนั่งฟังครูสอน ครูจึงควรออกแบบและจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมอง ทั้งสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาของเด็ก ด้วยการจัดกิจกรรมที่สมดุลระหว่างการนั่งเรียนในชั้นเรียนกับกิจกรรมการ เคลื่อนไหวร่างกาย มีการฝึกภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน มีการแสดงออกทั้งด้านกีฬา ดนตรี และศิลปะ ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้ขนาด ปริมาณ การเพิ่มขึ้นลดลง การใช้ตัวเลข ได้สัมผัสวัตถุที่เป็นของจริง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ฝึกที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้มีทั้งการทำงานเดี่ยวและทำงานกลุ่ม ที่สำคัญ ฝึกให้รู้จักตนเอง วิเคราะห์ข้อเด่น ข้อด้อยของตัวเอง เข้าใจตนเอง เพื่อที่จะดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม
ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็ควรมีระบบให้ความช่วยเหลือนักเรียน มีระบบคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาด้านต่างๆ เช่น ปัญหาการเรียน ปัญหาพฤติกรรมหรืออารมณ์ และมีทีมนักจิตวิทยาช่วยประเมินผล หาสาเหตุ ส่งต่อ ติดตามผลการให้ความช่วย เหลือ จึงจะช่วยทำให้โรงเรียนสามารถพัฒนาเด็กได้เพิ่มขึ้น เพราะการไปโรงเรียนไม่ใช่ไปเรียนหนังสืออย่างเดียว แต่เด็กควรจะได้รับการปลูกฝัง ฝึกหัด และเรียนรู้ เพื่อที่จะก้าวต่อไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและดีงาม

บรรณานุกรม

  1. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2549). สุขภาวะองค์รวมแนวพุทธ. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา.
  2. ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นฯ. คู่มือเลี้ยงลูก วัย 6-12 ปี. แหล่งที่มา http://www.rcpsycht.org/cap/book03. php (1 มกราคม 2556)
  3. นายแพทย์ สุรพงศ์ อำพันวงษ์ คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 26 มีนาคม 2543) แหล่งที่มา http://www.teerawatschool.com 1 มกราคม 2556)
  4. พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา แหล่งที่มา http://www.childanddevelopment.com (1 มกราคม 2556)


http://taamkru.com/th/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99/

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คำในบัญชีพื้นฐานเด็กอนุบาล



คำในบัญชีคำชั้นเด็กเล็กมีจำนวนทั้งสิ้น  ๒๔๒  คำ  จะเป็นคำนามจำนวน  ๑๗๕  คำ  คำสรรพนาม    คำ  คำกริยา  คำเชื่อม  และอื่นๆ  อีก  ๖๑  คำ
                คำนาม  จัดประเภทของคำเป็นหมวดได้  ๑๒  หมวด  คือ  หมวดที่เกี่ยวกับ  ตำแหน่งอาชีพ  เครือญาติ  อวัยวะ  เครื่องแต่งกาย เครื่องนอน  ดอกไม้  ผลไม้  ผัก  อาหาร  สัตว์  สิ่งของ  พาหนะ  และสถานที่  ได้แก่คำต่อไปนี้

                ตำแหน่ง อาชีพ  รวม  ๒๒  คำ  ได้แก่  หมอ  คน  ตำรวจ  พระ  ครู  เด็ก  นักเรียน  แม่ค้า  ทหาร  ชาวนา  ในหลวง  พระราชินี  พระเจ้าอยู่หัว  ผู้ชาย  ผู้หญิง

                เครือญาติ รวม  ๑๔  คำ  ได้แก่  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ตา  เพื่อน  ลุง  ปู่ น้า ยาย  ลูก  ย่า  อา  และ  ป้า

                อวัยวะรวม  ๒๑  คำ  ได้แก่  มือ  ขา  ปาก  ตัว  ตา  จมูก  นม  หน้า  เท้า  หู  ฟัน  นิ้ว  คิ้ว  คอ  แขน  ตีน  หลัง  หัวเข่า  สะดือ  ตับ  หัว  และผม

                เครื่องแต่งกาย เครื่องนอน  รวม  ๑๑  คำ  ได้แก่  กางเกง  เสื้อ  เสื้อผ้า  ผ้า  หมวก  เสื้อกันหนาว  หมอน  ผ้าห่ม  มุ้ง  เตียง  และที่นอน

                ดอกไม้  รวม       คำ  ได้แก่ ดอกไม้  ดอกเข็ม  กุหลาบ  และมะลิ

ผลไม้  รวม  ๑๐  คำ  ได้แก่   กล้วย  แตงโม  มะพร้าว  ส้ม  เงาะ  มะละกอ  ชมพู่  น้อยหน่า  ฝรั่ง  มะม่วง  ลำไย  ละมุด  ส้มโอ  ขนุน  มะขาม  ลางสาด  องุ่น  และมะยม

ผัก  รวม  ๑๐  คำ  ได้แก่ ผัก  พริก  มะเขือ  ผักกาด  หญ้า  ผักบุ้ง  คะน้า  กะหล่ำปลี ผักชี และถั่ว

อาหารรวม  ๑๒  คำ  ได้แก่  ไข่  ข้าว  น้ำ  ขนม  ขนมปัง  น้ำปลา  น้ำตาล  ยา  ก๋วยเตี๋ยว  ข้าวสาร  น้ำส้ม  และแกง

สัตว์ รวม ๒๕  คำ  ได้แก่   ไก่  หมู  กระต่าย  ปลา  หมา  นก  แมว  เต่า  หมี  ปู  ปลาทู  เป็ด  ช้าง  เสือ  ลิง  วัว  งู  จระเข้  ควาย  นกแก้ว  ม้า  สิงโต  กวาง  หมาป่า  และกุ้ง

สิ่งของ  รวม  ๒๗  คำ  ได้แก่  หนังสือ  แปรง  ช้อน  จาน  ชาม  โทรทัศน์  โต๊ะ  ของเล่น  ตุ๊กตา  ร่ม  ประตู  กระเป๋า  ตู้  ถ้วย  วิทยุ  กระป๋อง  หม้อ  ขัน  เตา  การ์ตูน  รูป  ตู้เย็น  สมุด  ทัพพี  ถุง  ตะหลิว  และมีด

พาหนะ  รวม    คำ  ได้แก่  รถ  เรือ  รถไฟ  และรถยนต์

สถานที่  รวม  ๑๓  คำ  ได้แก่  โรงเรียน  บ้าน  วัด  ตลาด  ครัว  ห้อง  โรงพยาบาล  ถนน  สวนสัตว์  นา  ดิน  ฝน  และป่า

คำกริยา  คำเชื่อม  และอื่นๆ  รวม  ๖๑  คำ  ได้แก่  วิ่ง  มี  ก็  ไป  กิน  ใส่  ขาย  เล่น  ให้  ชอบ  มา  ล้าง  ซื้อ  อยู่  ได้  นอน  เลี้ยง  ดู  เดิน  รัก  อาบน้ำ   ฟัง  นั่ง  ดื่ม  ร้องไห้  เขียน  ฉีดยา  กระโดด  ไม่  เก็บ  กัด  พาย  ร้อน  หยิบ  ไหว้  เห็น  บิน  เที่ยว  ถู  ตี  สอน  ตัด  ต้ม  ยิง  อ่าน  กวาด  ไล่  เปิด  มัด  ตก  กราบ  จับ  ปลูก  หา  ขี่  พา  ขุด  เจอ  ติด  รู้  และ  รู้จัก

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขอแนะนำ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ 21”

ขอแนะนำ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ 21”
- โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล -
โครงการประชุมวิชาการประจำปี สตรี เยาวชน และครอบครัวศึกษา ครั้งที่ 10 "สตรีและเยาวชนศึกษา: ยุทธศาสตร์เพื่อความเข้มแข็งของสังคมไทย"
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบปาฐกถา http://goo.gl/nZ8oIo
ดาวน์โหลดเพื่ออ่านเอกสารถอดความปาฐกถา http://goo.gl/b8MFNv
ดาวน์โหลดไฟล์และฟังเสียงการปาฐกถา http://goo.gl/tVlz5V

มาดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ เสวนาเรื่อง สมองกับความสุข

มาดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ
 
    ผู้ร่วมเสวนาเรื่อง "สมองกับความสุข" ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อผมเล่าถึงเรื่องราวของ นายไฟเนียส เกจ (Phineas Gage) ชาวอเมริกันผู้โด่งดังที่ถูกยกเป็นตัวอย่างเล่าขาน เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์เรา     นายไฟเนียส เกจ เป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างทางรถไฟจากเมืองเวอร์มองต์ ใน ค.ศ. 1848 (ขณะที่มีอายุ 25 ปี) วันหนึ่งขณะระเบิดทางรถไฟ ถูกเศษแท่งเหล็กกระเด็นเจาะทะลุกะโหลกจากบริเวณแก้มซ้ายผ่านหลังเบ้าตาออกไปที่กลางศรีษะ
     เขาได้รับการรักษาจนรอดชีวิต แต่หลังจากนั้นและจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 38 ปี เขาก็เปลี่ยนบุคลิกนิสัย จากคนสุภาพเรียบร้อย รับผิดชอบงานดี มาเป็นคนหยาบคายหุนหันพลันแล่น ไม่สนใจคนอื่น และมักตัดสินใจทำอะไรผิดๆ อยู่เสมอ
     ปัจจุบัน กะโหลกศรีษะของนายเกจ และแท่งเหล็กยาว 5 ฟุต ที่ทำลายสมองส่วนหน้าตรงกลางของเขา (อันเป็นต้นเหตุทำให้เขากลับกลายเป็นคนละคน) นั้น ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
     วงการศึกษาวิทยาศาสตร์ด้านสมอง มักหยิบยกกรณีของนายเกจ (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 164 ปีมาแล้ว) มาเล่าเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสมองส่วนหน้าตรงกลาง (middle prefrontal neocortex) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนหน้า*
     *สมองส่วนหน้า หมายถึง เปลือกสมองใหม่ (neocortex) ของสมองส่วนหน้า (prefrontal) ซึ่งมีความเจริญสูงสุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเรา ทำหน้าที่เกี่ยวกับเชาวน์ปัญญา การใช้เหตุผล การคิดเชิงนามธรรม การวางแผน การบริหารจัดการ การแก้ปัญหา และศีลธรรม
     ในหนังสือ "Mindful Brain" ซึ่งเขียนโดยนายแพทย์แดเนียล ซีเกล (Dr. Daniel Siegel) ได้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กล่างถึง หน้าที่ 9 ประการของสมองส่วนหน้าตรงกลางไว้ดังนี้
     1. ปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย ระหว่างประสาทซิมพาเทติก (ประสาทคันเร่ง) กับประสาทพาราซิมพาเทติก (ประสาทเบรก) ให้สามารถทำงานได้อย่างแข็งขันแต่สงบ หากประสาทคันเร่งทำงานมากไป ทำให้ทำงานแข็งขัน แต่เครียดขี้หงุดหงิดโมโหง่าย และหากประสาทเบรกทำงานมากไป (เช่น นอนหรืออยู่ว่างๆ ทั้งวัน) ก็จะทำให้เฉื่อยชา เบื่อ ซึมเศร้า
     2. รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้สามารถสื่อสารสัมพันธุ์กับผู้อื่นได้ดี
     3. เห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยผ่านกลไกของเซลล์ประสาทที่ชื่อว่า "เซลล์กระจกเงา (mirror neuron)" ทำให้มีความรักความเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
     4. ควบคุมอารมณ์ ไม่เกิดอารมณ์สุดโต่ง หุนหันพลันแล่น มีความนิ่งสงบ สุขุม
     5. ควบคุมความกลัว ไม่ให้เกิดความกลัวอย่างไร้เหตุผล หรือตื่นตูม
     6. ยั้งคิด รู้จักยับยั้งชั่งใจ คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
     7. รู้ตน รู้แจ้งรู้ทันจิตใจของตนเองเข้าใจพื้นเพความเป็นมาของตนเอง รู้ทันจุดอ่อนจุดแข็ง และเป้าหมายชีวิตของตนเอง
     8. หยั่งรู้ความรู้สึกของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อมีความเครียด (เช่น กล้ามเนื้อเกร็ง ใจหวิวใจสั่น จุกแน่นท้อง ท้องไส้ปั่นป่วน หายใจไม่อิ่ม) ทำให้รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองก็จะช่วยให้หายเครียด ขณะเดียวกันการหยั่งรู้ความรู้สึกของร่างกายตนเอง ก็จะช่วยให้เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย
     9. ส่งเสริมศีลธรรม ทำให้รู้ว่า "อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควร อะไรไม่ควร" ด้วยตนเอง ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมในเชิงบวก
     9 ข้อนี้นับว่าเป็น "จิตสูง" ที่มนุษย์ทุกคนควรมี (มนุษย์ แปลตามอักขระว่า "จิตสูง") จะทำให้ดำรงชีวิตอย่างมีความสำเร็จและความสุข
     สมองส่วนหน้าตรงกลางที่ทำหน้าที่ "จิตสูง" ดังกล่าว อยู่ตรงหลังหน้าผากระหว่างกลางหัวคิ้ว 2 ข้าง ดังที่ชาวอินเดียโบราณเรียกว่า"ดวงตาที่สาม"
     ผู้ที่สูญเสียสมองส่วนหน้าหรือดวงตาที่สาม ดังเช่น นายไฟเนียส เกจ และผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บกระเทือนถูกสมองส่วนนี้ ก็จะสูญเสียหน้าที่ "จิตสูง" 9 ข้อ กลายเป็นคนหยาบช้า หุนหันพลันแล่น ไม่สนใจตนเองและผู้อื่น
     ตรงกันข้าม ถ้าเรารู้จักฝึกให้สมองส่วนหน้าตรงกลางหรือดวงตาที่สาม "โตขึ้น" ก็จะทำให้เรามีจิตสูงสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น
     ฝึกง่ายๆ โดยหมั่นบริหารร่างกาย (ออกกำลังกาย) บริหารจิต (ฝึกสมาธิ เจริญสติ) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินผักผลไม้และปลา (ที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสวาย) เป็นประจำ
     มีหลักฐานการวิจัย โดยทำการถ่ายภาพสมองด้วยเทคนิคสมัยใหม่พบว่าผู้ที่ฝึกสมาธิ (เช่น พระทิเบต) และผู้ที่ฝึกโยคะติดต่อกันมานานหลายปี สมองส่วนหน้าตรงกลาง หรือดวงตามที่สามของคนเหล่านี้โตขึ้นจริง ยิ่งฝึกมามากก็ยิ่งโตกว่าผู้ที่ฝึกมาน้อย
     ขอให้เราหันมาสนใจดูแลดวงตาที่สามกันเถอะ
     นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 398
http://www.ideaforlife.net/health/article/0127.html

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อัศจรรย์กระบวนการอ่านในเด็กปฐมวัย

โครงการปฐมวัยอ่านหนังสือเก่ง
อัศจรรย์กระบวนการอ่านในเด็กปฐมวัย
ได้ไปเยื่อนชมผลงานของโรงเรียนที่ใช้กระบวนการอ่านได้(ภายในสามวินาที...ครูเรียกกันแบบนี้) สิ่งที่ได้พบจากเด็กและคุณครูคือมีความสุขในการเรียนการสอน พัฒนาการของเด็กๆเป็นไปได้อย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เด็กๆแย่งกันที่จะอ่านหนังสือให้ฟัง มุมหนังสือกับมุมของเล่น เห็นได้ชัดว่ามุมหนังสือเด็กๆจะอยู่ประจำมากกว่า พร้อมกับการนำสือต่างๆมาใช้ในกิจกรรมทำให้ความสนใจในการเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น ที่สำคัญคุณครูสามารถประยุกค์ใช้กับหน่วยกิจกรรมต่างๆได้อย่างน่าสนใจ
ขอขอบคุณ ผศ.ดร.ดวงจันทร์ เดี่ยววิไล หัวหน้าโครงการวิจัยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนในจังหวัดลำปาง ด้วยกระบวนการพัฒนาครูแบบหนุนนำต่อเนื่อง(Teacher Coaching) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พร้อมด้วย รศ.ศุภศักดิ์ ลิมปิติ ในการให้คำชี้แนะและกำลังใจ
ขอคุณคุณครู ครูศิริกุล อ่อนอุทัย โรงเรียนประชารักษ์ศึกษา
คุณครูชนิกาพร ทองเดช โรงเรียนทุ่งน้อยพัฒนา
ที่ให้ความรู้และให้โอกาสกับเด็กๆ
ท่านใดสนใจกระบวนการยินดีแลกเปลี่ยนกันนะครับ ขอเพียง ลงมือทำ เห็นผลไว ใช้เวลาน้อย ลงชื่อ สอนชั้นใหนจำนวนกี่คน อีเมล์ไว้
กระบวนการอาจต้องใช้เวลาทำความเข้าใจบ้างแต่ไม่ยาก