วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

มาช่วยกันเสริมสร้าง “ความคิดสร้างสรรค์” ให้เด็กไทยกันดีกว่า



มาช่วยกันเสริมสร้าง “ความคิดสร้างสรรค์” ให้เด็กไทยกันดีกว่า

โดย วิวรรณ สารกิจปรีชา 


            ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน พ่อแม่ทุกคนมีความปรารถนาให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีอนาคตที่ดี มั่นคง แต่เศรษฐกิจของโลกและของประเทศต่างๆ ขึ้นลงไม่แน่นอนอยู่เป็นนิจ การทำงานใดๆ ในอนาคตจะต้องแข่งขันกันมากขึ้น แล้วอะไรที่จะช่วยลูกเราให้เดินไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ดีที่สุดหนอ? แน่นอนทักษะต่างๆในการทำงาน ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความสามารถในการเรียนรู้ ย่อมต้องถูกฟูมฟักให้ลูกๆของเราทุกคน แต่สิ่งที่จะทำให้ลูกของเราแตกต่างและโดดเด่น น่าจะเป็นในด้านความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด ถ้าเป็นพ่อค้าความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้สินค้าเป็นที่ต้องตา ต้องใจได้ดีมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้ วิธีการขายจูงใจมากขึ้น ถ้าเป็นครูความคิดสร้างสรรค์จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กสนุก แปลกใหม่ และเด็กๆเรียนรู้ได้ดีขึ้น ถ้าเป็นเกษตรกรความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้สามารถเพิ่มผลผลิต และการขายผลิตผลจะดลใจผู้ซื้อมากขึ้น หรืออาจจะนำส่วนเหลือของผลิตผลหลักไปทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้มากขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในการที่จะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กตั้งแต่ยังเล็ก แต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่คนไทยหลายคนมักจะอ้างว่าไม่มีเพียงพอ ทั้งๆที่ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ในทุกๆคน ปัจจัยที่ทำให้คนไทยหลายคนคิดว่าตัวเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์พอ ก็คือ วิธีการเลี้ยงดูและการศึกษาแบบไทยๆ เด็กดีของผู้ใหญ่ในประเทศไทย คือเด็กที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ เด็กที่ว่าง่าย และทำตามที่ผู้ใหญ่วางกรอบไว้ให้ เด็กที่ยกมือถามครูบ่อยๆ มักจะถูกครูตัดบทบาท เด็กที่ทำอะไรผิดไปจากสิ่งที่ครูให้ทำตามปกติถูกกล่าวหาว่าทำผิดหรือทำอะไรแผลงๆ เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้เติบโตในกรอบของคุณธรรม แต่ต้องไม่สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ไม่สกัดกั้นเสรีภาพที่จะคิด พูด ถามคำถาม ออกความเห็น และได้ลงมือทำในสิ่งที่ตนคิดไปเสียหมด 



            เด็กเล็กก่อนวัยเรียน มีความคิดสร้างสรรค์ติดตัวมาอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างตามศักยภาพของแต่ละคน Howard Gardner ได้กล่าวเมื่อมาเยือนประเทศไทยให้บรรดาครูฟังว่าเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ในช่วงก่อนวัยเรียนเด็กๆได้รับการสนับสนุนให้มีความคิดที่แตกต่าง เล่นอย่างเสรี และไม่ถูกสกัดกั้นที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป แต่เมื่อเด็กเติบโตและอยู่ในช่วงวัยเรียน เด็กๆถูกจำกัดในด้านการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ เพราะเด็กๆจะเข้าใจและจำในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกได้ว่าอย่างไหนถูกต้อง และทำอะไรอย่างไหนผิด ถ้าเมื่อใดปัญหาที่เกิดขึ้นมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว และกฎระเบียบทำให้การปฏิบัติตนของเด็กต้องดำเนินไปเหมือนกันหมด ความคิดสร้างสรรค์ก็จะถูกผลักห่างออกไป ดังนั้นผู้ใหญ่ควรตระหนักว่าความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ดีในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่สร้างสรรค์เท่านั้น มีวิจัยหลากหลายที่สรุปได้ว่าบรรยากาศที่ไม่มีกฎระเบียบมากเกินไป และบรรยากาศที่ยอมรับและยกย่องเสรีภาพจะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมาก 



             สำหรับเด็กเล็กแล้ว การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ควรมุ่งไปที่กระบวนการมากกว่าผลิตผลหรือตัวบุคคล เช่น การพัฒนาส่งเสริมความคิดที่แปลกใหม่ เป็นต้น ผู้ใหญ่ควรคิดแยกแยะความคิดสร้างสรรค์ออกจากความฉลาดและความสามารถพิเศษ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก และความคิดสร้างสรรค์ไม่มีปรากฏให้เห็นเฉพาะในดนตรี ศิลปะ หรือผลงานการเขียนเท่านั้น แต่ความคิดสร้างสรรค์มีปรากฏให้เห็นได้ในทุกวิชาที่มีกำหนดในหลักสูตร ทั้งในวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และอื่นๆ ในเด็กเล็กๆการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ควรเริ่มจากการส่งเสริมความคิดที่หลากหลาย และการแสดงออกตามความคิดต่างๆเหล่านั้นหลายวิธีเด็กๆควรได้รับการส่งเสริมให้ประเมินตนเองมากกว่าที่จะถูกประเมินโดยผู้อื่น เด็กๆควรรับรู้ว่า การแก้ปัญหาใดก็ตามไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว เด็กๆควรได้รับการส่งเสริมให้สำรวจออกความเห็น ทดลองและแก้ปัญหาด้วยวิธีที่หลากหลายด้วยตัวเด็กเอง บรรยากาศที่เด็กไม่กลัวว่าคำตอบของตนอาจจะผิด จะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี 



             การให้รางวัลเพื่อจูงใจเด็กๆมักจะมีผลลบกับการคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับการกำหนดกฎเกณฑ์ผิด-ถูกกับเด็กในการทำกิจกรรมต่างๆ ผู้ใหญ่ต้องรับรู้ว่าเด็กต้องการการยอมรับคำตอบและ หรือความคิดเห็นที่เด็กเสนอ จากบุคคลรอบข้างทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อีกทั้งเด็กๆต้องได้รับโอกาสที่จะทดลองตามความคิดของตัวเองด้วย 



             การให้รางวัลไม่มีผลต่อการให้ความคิดเห็น แต่จะทำให้คุณภาพของคำตอบหรือการตอบสนองของเด็ก และการคิดที่แตกต่างไปจากแนวคิดที่มีอยู่ลดลง ความสามารถในการคิดเชื่อมโยงจากแนวทางหนึ่งไปยังอีกแนวทางหนึ่งจะลดลง เพราะเด็กอยากได้รับการชมเชยจึงคิดและเลือกที่จะตอบในเฉพาะแนวทางที่จะได้รางวัลเท่านั้น ดั้งนั้นการมีความต้องการด้วยตนเองที่จะคิดสร้างสรรค์ย่อมดีกว่าและควรได้รับการส่งเสริมมากกว่า ถ้าพวกกิจกรรมต่างๆที่เด็กได้ลงมือกระทำ สำรวจ สืบค้น ทดลองนั้น มีความหมายและเกี่ยวข้องกับประสบการณ์เดิมของเด็กกับชีวิตประจำวันของเด็ก โอกาสที่จะช่วยให้เด็กได้เห็นและเรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวพันกันระหว่างสิ่งต่างๆและวิชาต่างๆ หลายวิชาในหลักสูตรจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก การเรียนรู้แบบดังกล่าวจะช่วยให้เด็กเกิดความคิดที่หลากหลาย มีความคิดริเริ่ม และเรียนรู้อย่างเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น 


             การสำรวจ สืบค้น อย่างลึกซึ้งและไปได้เนิ่นนานกับงานที่เป็นลักษณะเปิดกว้าง ไม่จำกัดคำตอบที่ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมให้เด็กอยากเรียนรู้ และช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ดี ผู้ใหญ่ควรทำตนเป็นเสมือนผู้ให้การสนับสนุนตามความคิดของเด็ก เป็นผู้ตั้งคำถามปลายเปิด เป็นผู้ช่วยนำทางและทำงานเป็นสมาชิกของกลุ่มเด็กๆในการสำรวจสืบค้น ผู้ใหญ่สามารถรับรู้ได้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็ก ในการตอบสนองความคิดของเด็กๆ ในการรู้ว่าควรจะส่งเสริมสนับสนุนเด็กๆให้ทำสิ่งที่ท้าทายหรือเสี่ยงต่อความผิดพลาดเมื่อใด และจะไม่เข้าไปรบกวนเด็กๆเมื่อใดโดยการรับฟังเด็กๆอย่างตั้งใจและสังเกตอย่างละเอียด ผู้ใหญ่ควรจะตระหนักว่าจังหวะในการส่งเสริมและวิธีการส่งเสริมจะต้องเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และพัฒนาการ ความสามารถของเด็กแต่ละคนเสมอ ดังนั้นความเอาใจใส่ของครูและผู้ปกครองจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กไทยของเราได้เป็นอย่างดี 


แหล่งที่มา
http://www.preschool.or.th/article_kindergarten/journal_create.html

การส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา



การส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา

             สำหรับการคิดแก้ปัญหานั้นเป็นการคิดที่ต้องใข้ความสามารถของสมองและประสบการณ์เดิม  เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาจึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักในการที่จะส่งเสริมให้เด็กได้มีทักษะในการคิดแก้ปัญหา  สำหรับแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาพอจะกล่าวได้ดังนี้
            1. การให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก  ทำให้เด็กมีความรู้สึกปลอดภัย  มีความสุข  มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมองโลกในแง่ดี
            2. เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น  และตัดสินใจ  เพื่อช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก  และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
            3.ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต  โดยการจัดประสบการณ์ให้มีการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง  5   เพื่อการรับรู้ในทุกด้าน มีผู้ใหญ่คอยให้การสนับสนุนและคอยดูแลช่วยเหลือ
            4.ส่งเสริมให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเองให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก  ซึ่งจะเป็นพื้นฐานการด้านบุคลิกภาพคือความเชื่อมั่นในตนเองทำให้ส่งผลต่อการคิดแก้ปัญหาของเด็ก
            5.แสดงความชื่นชมเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ดีงามและทำให้เด็กเกิดความมั่นใจเมื่อเด็กทำ
สิ่งที่ดีงาม
อันจะทำให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง  และมีกำลังใจในการจะทำความดีและสิ่งดีงาม
            6.จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดแก้ปัญหาของเด็ก  และมีบรรยากาศที่ทำให้เด็กได้รู้สึกสบายใจ  ไม่เคร่งเครียด  สภาพแวดล้อมดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทักษะการคิด
            ทั้งหมดนี้คงจะเป็นแนวทางในการที่พัฒนาความคิดแก้ปัญหาสำหรับเด็กของเราได้ต่อไป

แหล่งที่มา
http://rb1curicurriculum.blogspot.com/2010/01/blog-post_01.html

12 เทคนิค พัฒนาทักษะการคิดให้ลูก

12 เทคนิค พัฒนาทักษะการคิดให้ลูก


          เนื่องจากการคิดเป็นรากฐานหรือแกนสำคัญของทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ดังนั้น ถ้าทักษะการคิดไม่ดี ทักษะทั้งสี่ด้านนี้ก็จะไม่ดีตามไปด้วย
    มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการสอนเด็กอนุบาลวัย 4 ขวบ ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเมือง ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเด็กกลุ่มที่ได้รับการสอนทักษะการคิดมีความสามารถทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนดีกว่าเด็กกลุ่มที่ไม่ได้รับการสอน ดังนั้น การพัฒนาคนจึงควรเริ่มพัฒนาที่ความคิดก่อน ความคิดจะช่วยสร้างทั้ง 4 ด้านที่กล่าวไว้ข้างต้นให้ก้าวหน้ามากขึ้นและยั่งยืน
          โดยทั่วไป เด็กแต่ละคนมีความสามารถในการคิดและการรับรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก ซึ่งวิธีการคิด และการเรียนรู้ของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะของพัฒนาการตามวัยและระดับการเจริญเติบโตทางสติปัญญา นอกจากนี้ ความสามารถในการสื่อสารของเด็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญติดตามเด็กตั้งแต่อายุ 2 ปี จนถึงอายุ 6 ปี พบว่าเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสาร รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้มักจะมีความบกพร่องทางการคิด และมีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน โดย เด็กจะอ่านและเขียนช้ากว่าและมีข้อจำกัดในการเชื่อมโยงความคิดและเหตุการณ์ต่าง ๆ มากกว่าเด็กที่ไม่มีปัญหา
         จะเห็นว่าการพัฒนาทักษะการคิดให้เด็กเป็นงานที่นับว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กควรได้รับการเตรียมและปูพื้นฐานการคิด ซึ่งเป็นแกนสำคัญของการพัฒนาทักษะอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเตรียมพื้นฐานการคิดตลอดจนการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กให้ปรากฏ
เทคนิคสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิด
         ในการพัฒนาทักษะการคิดหรือฝึกเด็กให้เป็นนักคิดที่ดีมีหลายวิธี ซึ่งการเลือกใช้วิธีใดนั้นอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและที่สำคัญจะต้องคำนึงปัจจัยในตัวเด็กเองด้วย เช่น ลักษณะนิสัยใจคอ สิ่งที่เด็กชอบ หรือสนใจระดับสติปัญญา เป็นต้น ซึ่งผู้ฝึกอาจพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่า ควรใช้วิธีใดจึงเหมาะสม
     

 ทั้งนี้เพื่อให้ได้ประสิทธิผลจากการฝึกมากที่สุด ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเทคนิคสำคัญในพัฒนาทักษะการคิด ให้เกิดขึ้น
  1.  การฝึกควรเริ่มฝึกเด็กให้คิดจากสิ่งที่ง่ายก่อนแล้วจึงไปสิ่งที่ยากขึ้น
  2. เตรียมเด็กโดยการกระตุ้นหรือส่งเสริมให้เด็กสนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
  3. การฝึกควรกำหนดจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ทุกครั้ง
  4. สร้างนิสัยความอยากรู้ อยากเห็น และการค้นคว้าฝ่ารู้ให้เด็ก
  5. ใช้หัวข้อที่เด็กคุ้นเคย รู้จัก หรือสนใจ แล้วกำหนดเป็นคำถาม
  6. สอนและฝึกให้เด็กรู้จักการเปรียบเทียบ ความเหมือน และความแตกต่าง
  7. ฝึกให้เด็กหัดเชื่อมโยงรูปภาพ สถานการณที่จำลองกับของจริง
  8. จัดเตรียมคำถามที่กระตุ้นให้เด็กหรือจินตนาการ และให้โอกาสเด้กได้สื้อออกมาถึงพลังความนึกคิดควบคู่ไปกับทักษะการแก้ปัญหา
  9. พัฒนาทักษะการคิดควบคู่ไปกับทักษะการแก้ปัญหา
  10. สนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กมีอิสระในการคิด การถาม และการแสดงออก
  11. สร้างความมั่นใจ พร้อมทั้งให้กำลังใจ
  12. ให้เวลาในการคิด ไม่เร่งรัด เพราะอาจทำให้เด็กเกิดความเครียด และไม่ควรจำกัดการคิดของเด็ก
          เทคนิคทั้ง 12 ข้อที่กล่าวมานี้จะช่วยให้การฝึกเด็กให้หัดคิดมีประสิทธิภาพ และพัฒนาเป็นนักคิดที่ดีต่อไป คุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกเป็นนักคิดที่ดี ก็ต้องเตรียมลูกให้พร้อม และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอตามที่ได้กล่าวไว้ ข้างต้นว่าวิธีการฝึกให้เด็กเป็นนักคิดสามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะเลือกใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ที่สำคัญคือวิธีการที่ใช้นั้นควรเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้และมีโอกาสใช้ความคิดของตัวเอง และควรดำเนินไปตามธรรมชาติ ไม่เร่งรัด แต่มีความสม่ำเสมอต่อเนื่อง รวมทั้งต้องตอบสนองความต้องการตามวัยและพัฒนาการของเด็กเองด้วย
แหล่งที่มา

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

เด็กปฐมวัยคุณค่าที่น่าลงทุน

เด็กปฐมวัยคุณค่าที่น่าลงทุน

                                                                               โดยครูดอยกลางกรุง
         มีผู้รู้หลายๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่า เด็กเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของชาติต่อไป ซึ่งนั่นก็คือเป็นอนาคตของชาตินั่นเอง การที่เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการ ศึกษาเป็นส่วนสำคัญยิ่งประการหนึ่งที่จะช่วยให้ทรัพยากรเหล่านั้นเติบโต อย่างมีคุณภาพแต่ก็ยังมีปัจจัย แวดล้อมด้านอื่นๆ ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
        การจัดการศึกษาให้แก่เด็กๆ เหล่านี้เปรียบเหมือนการลงทุนที่ชาติจะเป็นผู้ได้กำไรดังนั้นการจัดการศึกษา จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องที่จะวางนโยบายทางการ ศึกษาให้เป็นไปตามความต้องการของชาติและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ในปัจจุบันการจัดการศึกษาของประเทศไทยยังไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่ต้อง การเท่าที่ควรยังคงต้องการการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อ เนื่อง
        ในการการจัดการศึกษาของเด็กปฐมวัยนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางรากฐานของ ค่านิยม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในด้านต่างๆ ให้ติดตัวไปกลายเป็นลักษณะนิสัยที่ถาวรถ้าต้องการปลูกฝังค่านิยมด้านใด คุณลักษณะด้านไหนสามารถปลูกฝังได้ดีที่สุดก็ในช่วงวัยปฐมวัยนี้ซึ่งในการ จัดการศึกษาของเด็กปฐมวัยจะจัดการเรียนรู้ในรูปแบบบูรณาการซึ่งจะจัด ประสบการณ์ในทุกๆ ด้านให้เป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตให้แก่เด็กๆ
        วัยปฐมวัย ( 2 – 6 ปี)* มีลักษณะเด่นในด้านต่างๆ เช่นความอยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัส อยากทดลอง อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว เด็กวัยนี้สามารถเรียนรู้จากการดูเห็น สัมผัส (เรียนรู้จากประสาทสัมผัส) การลอกเลียนแบบบุคคลใกล้ชิด พวกเขามองเห็นโลกใบนี้ด้วยความสนุกมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตพวกเขาตลอดเวลาเขาพร้อมที่จะเรียนรู้ถูกผิดแต่ก็ต้องมีผู้ใหญ่ คอยชี้แนะให้ความดูแลสิ่งผิดถูกในการจัดการเรียนการสอนแม้ว่าครูพยายามจัด กิจกรรมหรือประสบการณ์ด้านต่างๆ ให้แก่พวกเขามากเพียงใดแต่ในชีวิตประจำวันที่พวกเขาได้สัมผัสนอกห้องเรียน นั้นมันมักตรงกันข้ามกับคำสอนหรือบทเรียนที่คุณครูได้พร่ำสอนทำให้พวกเขา สับสนว่าสิ่งใดกันแน่ที่ถูกต้องควรปฏิบัติสิ่งใดกันแน่ที่ว่าผิดไม่ควรทำมี ตัวอย่างจากนักเรียนในห้องของผู้เขียน ในตอนเช้าน้องพั้นซ์ได้บอกกับคุณครูว่าตอน
เย็นคุณพ่อจะมารับ ( โดยปกติจะกลับรถโรงเรียน )เมื่อถึงเวลาเย็นคุณพ่อก็ไม่ได้มารับคุณครูจึงถามว่าน้องพั้นซ์ไหนบอกว่า คุณพ่อจะมารับไงคะ น้องพั้นซ์ก็ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันคะ สงสัยคงเล่นไพ่อยู่มั้ง จะเห็นว่าเด็กๆ ตอบด้วยความซื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเล่นไพ่เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแต่ได้เห็น คุณพ่อเล่นเป็นประจำจนเคยชินนี่คือตัวอย่างที่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังจะรู้สึกขำ แต่ถ้าเราหยุดคิดซักนิด คำพูดของน้องพั้นซ์นั้นได้สะท้อนอะไรให้พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ได้รับรู้ไม่ มากก็น้อยและได้หันไปมองสังคมแวดล้อมของเราว่ามันได้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อย เพียงใด
        สังคมที่ทุกคนมุ่งแต่ทำมาหากินจนขาดสิ่งที่คอยค้ำยันให้ทุกคนมีจิตสำนึกที่ ดีต่อสังคม สังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ มอมเมาเด็กๆ และเยาวชน อาทิเช่น สื่อลามกในรูปแบบ วีดีโอ หนังสือ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ฯลฯ ซึ่งล้วนแฝงสิ่งที่ยั่วยุ มอมเมา ให้เด็กๆ ของเราคิดไม่เป็น ขาดการควบคุมอย่างจริงจังจากผู้เกี่ยวข้องทั้งๆ ที่มีกฎหมายอยู่แล้ว สื่อวีดีโอหาซื้อได้ง่ายมาก บางทีอาจจะมากกว่าการหาซื้อขนมไทยบางอย่างซะอีก หนังสือแม้จะเป็นหนังสือการ์ตูน หนังสือละคร นิยาย ฯลฯ ก็ยังมีภาพ ที่ไม่เหมาะสมแอบแฝงอยู่มากมายจนเด็กๆ เห็นชินตาทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ธรรมดา เลย ส่วนภาพยนตร์ นั้นผู้เขียนเคยมีประสบการณ์พาหลานไปชมภาพยนตร์การ์ตูนก่อนจะฉายจริงก็จะมี ภาพยนตร์ตัวอย่างให้ดูก่อนแค่ดูก็อยากกลับออกมาจากโรงภาพยนตร์เสียให้ได้มี ภาพยนตร์ตัวอย่าง 4-5 เรื่องแล้วก็ต้องตัดเป็นฉากเลิฟซีนมาโฆษณาให้ดูผู้ที่รับผิดชอบผู้เกี่ยว ข้องเขาไม่ได้สนใจเลยว่าภาพยนตร์การ์ตูนใครคือผู้เข้าชมและบริษัทภาพยนตร์ เขาสร้างมาเพื่อให้ผู้ชมวัยใดและที่สำคัญอีกสื่อหนึ่งก็คือโทรทัศน์ซึ่งถือ ว่าเป็นสื่อที่ใกล้ตัวเด็กๆ มากที่สุดเพราะแทบทุกบ้านต้องมีโทรทัศน์กันแทบทั้งนั้นแล้วโทรทัศน์บ้านเรา ก็มีแต่ละครเสริมสร้างปัญญาน้อยมาก รายการที่มีสาระก็หาได้น้อยและอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ดึกเกินไปก็เช้าเกินเหตุ ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเป็นละครแทบทุกช่อง นี่ก็อยากจะถามว่าเราจะร่วมกันรับผิดชอบได้หรือเปล่า ละครที่มีแต่เสียงกรีดร้องไร้เหตุผลผู้คนแต่งตัวไร้ศิลปะ พูดจามีแต่ด่าทอ ชอบทำตาถลนใส่ผู้อื่น ไม่พอใจต้องร้องให้ดังที่สุดและอะไรๆ ต่อมิอะไรที่ตัวละครแสดงแล้วดูเหมือนถูกใจผู้จัดแต่กลับลืมดูว่าผู้ดูผู้ซึม ซับสิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเราต่อไปสังคมที่ปล่อยให้เด็กๆ เดินทางเรียนรู้ผิดถูกอย่างโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวมองหรือมองเห็นแต่ไม่ได้ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือดูแลอย่างจริงแล้วอย่างนี้เด็กปฐมวัยวัยแห่งการเรียน รู้ จากการใช้ตา หู ปาก จมูก การจดจำ การเลียนแบบ การสังเกต ฯลฯ ก็คงจะจดจำสิ่งที่สังคมได้หยิบยื่นให้อย่างล้นหลามนี้ไปอย่างไม่มีหนทาง ปฏิเสธได้เลย แล้วใครจะร่วมเป็นผู้ลงทุนให้เด็กๆ ของเราเหล่านี้ให้เติบใหญ่เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพด้วยการจัดการศึกษาที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดีพร้อมจะให้เด็กๆ ของพวกเราเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าไม่ใช่พวกเราทุกคนอยู่ร่วมกันใน สังคม

* รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ เอกสารการสอนพฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา เด็กปฐมวัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2544.

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก

ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก

บทความโดย นายธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ ผู้อำนวยการสมาคมไทสร้างสรรค์ คัดจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับสมน้ำหน้าประเทศไทย
ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งที่ทำ งานการศึกษามากว่า ๒๕ ปี รู้สึกสะเทือนใจอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวในวันนี้ เพราะงานที่ทำต้องเกี่ยวข้องกับเด็กๆและโรงเรียนของรัฐ อันเป็นโรงเรียนที่ดำรงอยู่ด้วยภาษีของเรา ด้วยเงินของเรา แต่เราแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้กับความจริงที่ว่า เด็กๆของเราจำนวนมากที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกว่า ๓๕,๐๐๐ โรงนี้ อยู่ในภาวะอ่านหนังสือไม่ออก
สำนัก งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเคยออกมายอมรับเมื่อปีที่ แล้วว่า มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามอ่านหนังสือไม่ออกร้อยละ ๑๒ หรือประมาณ ๘๐,๐๐๐ คน ซึ่งนับเป็นความกล้าหาญอย่างมาก แต่ สพฐ. ก็ไม่กล้าหาญมากพอที่จะบอกความจริงทั้งหมด เพราะความจริงน่ากลัวกว่านั้นมาก และการยอมรับว่าเด็ก ป.๓ อ่านหนังสือไม่ออกนั้น ฟังดูก็เหมือนจะตั้งใจชี้ประเด็นปัญหาเพื่อให้เกิดการแก้ไข แต่วิธีการนำปัญหามาวางบนโต๊ะของเรานั้น มักจะทำเมื่อทุกอย่างสายเกือบเกินแก้แล้วในแทบทุกกรณี รวมทั้งในกรณีนี้ เพราะจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออกนั้นมีอยู่ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ ป.๓ ที่ท่านพูดเอาไว้ไปจนถึงมัธยมปลาย หากจะคิดคำนวนอย่างง่ายๆ จำนวนนักเรียนเฉลี่ยตามอัตราการเกิดของประชากร ตามข้อมูลด้านล่างนี้ เราก็จะเห็นว่ามีเด็กๆอ่านหนังสือไม่ออกอยู่นับแสนนับล้านคนในปัจจุบัน
นักเรียนสังกัดสพฐ*
อายุ๙-๑๕(ป.๓-ม.๓)
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๕
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๑๐
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๑๒
5,034,897 คน
251,744 คน
503,489 คน
604,187 คน
*ที่ มา กระทรวงศึกษาธิการ ตารางที่  25 อัตราการออกกลางคันระดับประถมศึกษา - มัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ปีการศึกษา 2550 ( เฉพาะนักเรียนในสังกัด สพฐ. ลบออกกลางคันจำนวน 85,803 คนแล้ว -ผู้เขียน)

ตัวเลขจากการคิดคำนวนอย่างง่ายๆตามตารางข้างบนนี้บอกอะไรแก่เรา ?

หาก นับรวมเด็กๆที่ออกจากระบบโรงเรียนไปโดยอ่านหนังสือไม่ออกในรอบ สิบปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าเป็นภาพอันน่าสยดสยองขนาดไหน (แค่ร้อยละ ๕ นั้นก็มากกว่าทหารไทยทั้งกองทัพแล้ว) คำถามที่ตามมาคือกระทรวงศึกษาธิการทำอะไรอยู่กับเรื่องนี้ เราอาจจะได้คำอธิบายมากมาย รวมทั้งคำตอบว่ากำลังพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรกันอยู่ ซึ่งก็เป็นคำตอบที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เปลี่ยนหลักสูตรและการสอน ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ ๒๕๒๑ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษาที่ใช้เวลาไปแล้วกว่า ๑๐ ปี ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการในทุกระดับเพื่อโดยหวังว่าการศึกษาของเราจะดี ขึ้น ฯลฯ
ผู้ เขียนในฐานะบุคคลหนึ่งที่ทำงานการศึกษาพื้นฐานและการอ่านออก เขียนได้ (literacy) มานานพอสมควร เห็นว่าโดยแท้จริงแล้ว สิ่งที่เป็นอยู่ในระบบโรงเรียนขณะนี้ไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้ ของเด็กๆแต่ประการใด หากแต่สิ่งที่ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของบุคลากรส่วนใหญ่ในกระทรวง ศึกษาธิการเป็นเพียงการรักษาตนให้ปลอดภัยจากการประเมินหรือจากระเบียบทาง ราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กๆและประเทศชาติเพียงน้อยนิด
ถามว่าทำไมผู้เขียนจึงมองอย่างนั้น คำตอบอยู่ในความจริงเพียงสองสามข้อ
๑. เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? แล้วโรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ของพวกเขาอย่างไร?
๒. หลายโรงเรียนบอกว่า นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกนั้นเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าเป็นเด็กพิเศษ แต่โรงเรียนไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งโง่ที่ไม่พูดว่าประชากรโลกที่ประสบภาวะ ความพิการนั้นมีประมาณร้อยละ ๑๐ และมีเพียงร้อยละ ๒๐ ของกลุ่มนี้ที่ต้องการการจัดการศึกษาแบบพิเศษ (ร้อยละ ๘๐ สามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ และในจำนวนนั้นยังสามารถแยกประเภทความพิการออกได้อีกหลายสาขาโดยส่วนใหญ่ไม่ เกี่ยวกับความบกพร่องทางการเรียนรู้) แต่ความจริงที่พบเห็นคือ มีเด็กกว่าร้อยละ ๑๐ ในโรงเรียนหลายแห่งที่ถูกตีตราว่า “พิการ” ดังนั้นการอ้างว่าเด็กอ่านหนังสือไม่ออกจำนวนมากเพราะประสบภาวะความพิการจึง ฟังไม่ขึ้น
เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมเด็กจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? โรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ขแงพวกเขาอย่างไร?

๓. กรมการศึกษานอกโรงเรียน มีหลักสูตรการศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ตั้งแต่พ.ศ ๒๕๓๓ ถ้าจำไม่ผิด) สอนผู้ใหญ่ชาวเขาที่พูดภาษาไทยได้เล็กน้อยและอ่านหนังสือไม่ออก ให้อ่านออกเขียนได้ด้วยเวลาเรียนเพียง ๒๐๐ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทำไมเด็กที่เข้าชั้นเรียนกว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงเป็นเวลาต่อเนื่องถึง ๖ ปีจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก
ข้อ เท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้ บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด)กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
ดัง นั้น จึงไม่แปลกที่เด็กๆจำนวนมหาศาลไม่ได้อะไรเลยจากเวลากว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงที่อยู่ในชั้นเรียน ตรงนี้อาจจะมีเสียงโต้แย้งว่า เด็กๆได้เรียนรู้มากมายหลากหลายมิติแม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นอันดับแรกว่า การออกกฏหมายบังคับให้พ่อแม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกนั้นมี พื้นฐานสำคัญที่สุดอยู่ที่การทำให้เด็กๆ “อ่านออกเขียนได้” เพราะการอ่านออกเขียนได้เป็นกุญแจดอกแรกที่จะเปิดประตูไปสู่โลกของการเรียน รู้ และประตูบานแรกนี้คือโอกาสที่จะนำพวกเขาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคือการรังสรรสังคมที่ดีงาม ปลายทางของการอ่านออกเขียนได้จึงยาวไกลเกินกว่าเราจะจินตนาการไปถึง ตรงข้ามกับความมืดมนอับจนหนทางของการไม่รู้หนังสือทั้งในระดับปัจเจกและ สังคม
ผู้ เขียนมีความเชื่อมั่นอยู่สองสามประการเกี่ยวกับการทำหน้าที่ใน ฐานะนักการศึกษาว่า ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ครู” นั้นมีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวคือสอนหนังสือ และต้องสอนหนังสือให้ดี ภาระกิจประการแรกสุดของครูผู้สอนการศึกษาพื้นฐานคือ จะต้องกระทำทุกวิถีทางให้เด็กๆ “อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้” การสอนไปวันๆโดยไม่สามารถช่วยให้พวกเขาอ่านหนังสือออกจึงเป็นความบกพร่องและ ความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุดในฐานะนักวิชาชีพ ส่วนผู้บริหารโรงเรียนนั้นก็มีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวเช่นกัน คือการรับประกันต่อพ่อแม่และสังคมว่าครูทุกคนภายใต้การบังคับบัญชาได้ทำหน้า หน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ในหน้าที่การสอน หากไม่เป็นไปตามนั้น ตนมีหน้าที่ต้องใช้อำนาจหน้าที่ทุกประการเพื่อช่วยเหลือแก้ไข หากไม่สามารถกระทำการอย่างนั้นได้ ก็บกพร่องล้มเหลวเช่นกันนอกจากนั้น ครู (ทั้งผู้ทำหน้าที่สอนและผู้ทำหน้าที่บริหาร) จะต้องเชื่อมั่นในจิตสำนึกด้านดีของเด็ก เชื่อว่าเด็กๆทุกคนพร้อมจะเป็นคนดี ทั้งต้องเชื่อมั่นด้วยว่าเด็กๆทุกคนสามารถเข้าถึงศักยภาพของตนเองได้ทั้ง สิ้นไม่ว่าจะเกิดและเติบโตมาในสภาพการณ์อย่างไร พื้นฐานหรือที่มาใดๆไม่ใช่สิ่งที่ครูจะนำมาเป็นสมมุติฐานว่าเด็กจะเรียนได้ หรือไม่ ครูมีหน้าที่ทุกประการที่จะต้องทำให้เด็กๆเรียนได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น
ข้อเท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียน ส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้ บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด) กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
ใน โครงการทดลองแก้ไขปัญหาการอ่านที่สมาคมฯพยายามทำอยู่นั้น มีเหตุสร้างความสะเทือนใจต่อคณะทำงานและผู้เป็นพ่อแม่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลายเป็นเพียงอุดมคติและความคิดฝันอัน บรรเจิดที่แทบจะไม่มีโอกาสไปถึง ด้วยผู้เกี่ยวข้องที่โรงเรียนคาดหวังเพียงให้เด็กมีชั่วโมงเข้าชั้นเรียนครบ และสามารถ “สะสม” ชิ้นกระดาษที่ถูกเรียกว่า “งาน” เพื่อการประเมินผลงานสร้างความก้าวหน้าแก่ผู้สอน ในขณะที่เด็กๆชั้น ป.๓-ม.๑ เหล่านั้นไม่สามารถเขียนแม้คำง่ายๆ เช่น “คน” “ใจ” ไม่รู้จักสระ -ะ -า หรือ ฐ ฌ ไม่สามารถออกเสียงพยัญชนะ ท ให้แตกต่างจาก ต ฯลฯ จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมพวกเขาขึ้นถึงชั้นมัธยมได้ทั้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การ อ่าน ป.๑ ที่กำหนดให้เด็กๆต้องอ่านได้ ๖๐๐ คำเป็นอย่างน้อย เพราะผลงานของผู้สอนและภาพลักษณ์ของโรงเรียนสำคัญกว่าสิ่งที่เด็กๆจะได้รับ ดังนั้นตัวเลขเด็กจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออก จึงปรากฏดังยกมาข้างต้น แต่กระทรวงศึกษาธิการยังหาคำตอบไม่ได้ว่าผิดที่ใคร และทำการแก้ไขโดยเปลี่ยนหลักสูตรการสอนกันไม่เว้นแต่ละปี
ใน โรงเรียนที่ไปทดลองช่วยเหลือเด็กๆนั้น พบว่าแม้จะมีเด็กๆประสบปัญหาเดียวกันอยู่กว่า ๔๐ คน(จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘๐ คน) แต่มีเด็กเข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องเพียง ๑๒ คน (เรียนชั้น ป.๓ ถึง ม.๑) และเหลือ ๗ คนเมื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ (ออกจากโรงเรียนหรือย้ายโรงเรียน) ในเบื้องต้นคณะทำงานตั้งสมมุติฐานว่า หากการอ่านสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ ทักษะการอ่านและความกระตือรือร้นในการอ่านจะเกิดขึ้นตามมา โดยมีเป้าหมายกระตุ้นแก้ไขการอ่านเป็นเวลา ๑๐๐ ชั่วโมง แต่เมื่อเริ่มกิจกรรมกลับพบว่า เด็กๆทุกคนแบกปัญหาหนักมาจากบ้านทั้งสิ้น ทั้งความแตกแยกของผู้ปกครอง ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ต้องหาเช้ากินค่ำ ขาดการดูแล ถูกทอดทิ้งทั้งทางกายภาพและจิตใจ อันเป็นปัญหาที่ไม่มีไครมองเห็น และดูเหมือนจะไม่มีใครตั้งใจจะมองให้เห็น ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงส่งเด็กๆไปสู่ความล้มเหลวในโรงเรียนตั้งแต่เริ่มต้น แล้วตามด้วยความล้มเหลวต่อๆมา ร่วมกันทำลายความสำนึกถึงคุณค่าของตนเองไปจากพวกเขา เป็นแรงเหวี่ยงส่งพวกเขาไปสู่การแสดงตัวตนอย่างก้าวร้าว รุนแรง เมินเฉย หยาบคาย อันเป็นพฤติกรรมที่เราเรียกว่า “การเรียกร้องขอความช่วยเหลือ” จนกระทั่งมีภาพลักษณ์เป็นตัวปัญหาและสร้างภาระแก่โรงเรียน(ในมุมมองของ บุคลากร) เด็กเหล่านี้จึงไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ
ความ เปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ๓๐ ชั่วโมง เด็กๆบางคนร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจที่อ่านหนังสือให้เพื่อนฟังไม่ได้ พ่อแม่ดีใจที่ลูกเริ่มอ่านหนังสือภาพให้ฟัง หลังจากทำงานร่วมกันประมาณ ๕๐ ชั่วโมง เด็กๆส่วนใหญ่เริ่มอ่านหนังสือออกและเริ่มหัดเขียนข้อความสั้นๆ พวกเขาเริ่มผ่อนคลาย สงบลง สุภาพขึ้น แสดงน้ำใจต่อผู้อื่น ชี้ให้เห็นว่าสำนึกแห่งคุณค่าในตนเองเริ่มกลับมา เริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ตนเองก็สามารถไปสู่ความสำเร็จได้เช่นเดียวกับผู้อื่น โลกใบนี้มีที่ให้เขายืน มีคนเห็นคุณค่าและได้รับความนับถือเช่นเดียวกับเด็กๆคนอื่น
แล้ว ปลายทางอยู่ที่ไหน ภายใต้บริบทที่ขัดแย้งระหว่างคณะทำงานกับวาระสำคัญอันหลากหลายของโรงเรียน ภายใต้บริบทของเด็ก ๗ คนกับเด็กๆอีกนับล้านคนทั่วประเทศ และภายใต้บริบทของคนทำงานการศึกษาอิสระกับโครงสร้างที่เต็มไปด้วยคำอธิบาย แต่ไม่เคยหาคำตอบอะไรได้ของกระทรวงศึกษาธิการ
เหล่า นั้นเป็นคำถามที่เราไม่รู้คำตอบ  เราตอบได้เพียงว่า หากสามารถพาเด็กๆทั้ง ๗ คนนี้ไปถึงโลกของหนังสือและการอ่านได้แล้ว ในวันที่เด็กๆเหล่านี้สามารถอ่านวรรณกรรมเยาวชนได้เองอย่างมีความสุข ก็ย่อมหมายความเราส่งพวกเขาถึงชายฝั่งแล้ว หนทางที่เหลืออยู่ก็ขึ้นอยู่กับสื่งที่พวกเขาค้นพบ และคำตอบที่พวกเขาค้นหาได้เองในโลกแห่งการเรียนรู้

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

 
การประชุมวิชาการ : การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน
วันที่ 26 – 28 มีนาคม 2555
ณ ห้องประชุมรักตะกนิษฐ2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Dr.Barry Zuckerman, MD
Brain and Child Development : Basic for reading
พัฒนาการพื้นฐานของทักษะการอ่านในช่วงขวบปีแรก
- ระบบประสาทสัมผัส
- กล้ามเนื้อมัดใหญ่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- สติปัญญา
... - พัฒนาการทางภาษา
- สังคมและอารมณ์
เราต้องเข้าใจทิศทางพัฒนาการ เราต้องรู้อะไรว่าเกิดก่อน – หลัง เพราะพัฒนการของเด็กจะเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ
ลำดับพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก : การจับคว้าของ
- 6 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยไม่มีเป้าหมาย
- 8 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
- 9 เดือน สามารถจับสิ่งของชิ้นเล็กโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
พ่อแม่ควรดู / สังเกตวิธีการหยิบของลูกด้วยว่าเขามีวิธีการหยิบอย่างไร เพราะถ้าถึงวัยที่เด็กสามารถใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วได้แล้ว แต่เด็กยังเขี่ยๆ ของอยู่นั่นแสดงว่าอาจมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

ลำดับพัฒนาการของการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- 6 เดือน คว้าของโดยไม่มีจุดหมาย
- 7 – 8 เดือน เริ่มทำมือเพื่อจะหยิบของ เมื่อมือถึงของที่จะหยิบ
- 9 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของในระยะครึ่งทางก่อนที่จะหยิบ
- 12 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของก่อนที่จะหยิบ
ความสามารถของการใช้กล้ามเนื้อมือของเด็กจะมีพัฒนาการ / มีความสามารถในการใช้งานได้ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อมองลึกเข้าไปในสมอง การก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละขั้นจะมีการเกิด Myelination ในสมองที่ทำหน้าที่นั้นอย่างต่อเนื่อง
ลำดับพัฒนาการของการเล่น
- 6 เดือน เริ่มคว้าของ และจะทำในลักษณะ React
- 7 – 8 เอาของเล่นมาเคาะกัน / เขย่า และเอาเข้าปาก
- 9 เดือน เริ่มมีการสำรวจของเล่นโดยใช้ตาและมือประสานกัน
- 12 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม แต่ยังเป็นการเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นหลัก
- 18 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม และเริ่มเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นรอบตัว เช่น ตุ๊กตา
เมื่อเด็กๆ เล่น เขาจะ Explore สิ่งแวดล้อม โดยการเคาะ เขย่า ปา หมุนไป – มา เมื่อเขาได้สำรวจแล้ว การรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสของเขาจะก่อให้เกิดกระบวนการคิดขึ้นในสมอง เช่น เขาจะรู้ว่าอันนี้นุ่ม แข็ง หรือมีเสียง
* ในประเด็นการมัฒนาการถดถอย ถ้าเด็กป่วยหรือมีภาวะอะไรบางอย่างเขาจะแสดงพฤติกรรมถดถอย

ลำดับพัฒนาการทางสติปัญญา : Object permanence
ลำดับขั้นของ Piaget อายุ Object permanence
I แรกเกิด – 1 เดือน มองวัตถุเหมือนภาพที่เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
II 1 – 4 เดือน ถ้าไม่เห็นวัตถุอยู่ในสายตา คือไม่มีวัตถุนั้น
III 4 – 8 เดือน เริ่มมองตามของที่ตก
IV 9 – 12 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ช่วง 9 เดือน+ เมื่อไม่เห็นของเด็กจะเริ่มรู้ว่าเราซ่อนของไว้
V 12 – 18 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนให้เห็นหลายครั้ง
VI 18 เดือน – 2 ปี หาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนโดยไม่ให้เห็น และเข้าใจว่าของสิ่งนั้นยังอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็น
* ช่วง 9 เดือน เด็กเริ่มมีภาพอะไรๆ อยู่ในสมอง เมื่อเขามองไม่เห็นหรือภาพถึงดึงไปเขาจะเริ่มส่งสัญญาณ โดยการร้องออกมา

ความพร้อมของสมองทารก
1 ทารกจะจำเสียงมารดาได้
2 มารดาพูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
3 แยกแยะเสียงได้

ลำดับพัฒนาการทางภาษา
- แยกแยะเสียง
- เปล่งเสียงที่ไม่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “อ” ช่วง 4 – 8 เดือน
- เปล่งเสียงที่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “ป” ช่วง 9 เดือน
- พูดคำที่มีความหมายคำแรก ช่วง 13 เดือน ( -8 – 18 เดือน )
- ถ้าเสียงที่เด็กเปล่งออกไปมีการตอบสนอง มันจะมี Meaning กับเด็กมาก และจะเป็นผลต่อพัฒนการทางภาษาของเด็กในลำดับต่อไป
- เด็กจะมีความสามารถในการแยกแยะภาษาได้ดีเยี่ยม แต่ต้องในกรณีที่เขาต้องได้ยินเสียงนั้นซ้ำๆ และบ่อยๆ

สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอ่า



Trend in Cognitive Sciences
สมองและประสบการณ์แรกเริ่ม

พัฒนาการของสมอง

* พิจารณาจำนวนเซลล์ประสาทเมื่อแรกเกิด และช่วงอายุ 6 ปี จะพบว่า ความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทนั้นมีการเชื่อมโยงและหนามากขึ้น ทั้งนี้เกิดเนื่องจากอิทธิพลของการกระตุ้นและการจัดประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมในช่วงปฐมวัย
* เราจะช่วยให้เด็กมีทักษะในสมองเพื่อการอยู่รอดได้ (Survival brain) ถ้าเราใช้สมองส่วนไหนเยอะส่วนนั้นจะมีพัฒนาการขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
* ในช่วง 6 เดือนแรกควรใช้คนในการกระตุ้นพัฒนาการ เพราะคนสำคัญกว่าการเล่นทั้งหมด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ลำดับพัฒนาการของการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์และสังคม
1 ความผูกพันทางอารมณ์ (Attachment)
- 3 เดือน ผูกพันกับคนโดยเชื่อมกับหน้าที่ที่คนนั้นทำ เช่น ผูกพันกับแม่เพราะแม่ให้กินนม (Differential responsibility )
- 6 เดือน ผูกพันกับคนเชื่อมโยงจากปฏิกิริยารอบข้างที่คนนั้นแสดง เช่น สังเกตว่าแม่กลัว เด็กก็จะกลัวด้วย (Social referencing)
- 9 – 12 เดือน ไม่ชอบการพรากจากคนที่ใกล้ชิด (Separate protest)
- 12 – 24 เดือนจะคอยมองหาคนใกล้ชิดเวลาเล่นหรือเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว (Checking in when exploring)
2 ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)
อุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้
1. ความยากจน คนที่มีเศรษฐานะต่ำ หรือพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่ำ มักจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญ และไม่มีทุนพอที่จะซื้อหนังสือนิทาน หรือสื่ออื่นๆ ให้ลูก
2. วัฒนธรรมการเลี้ยงดู ในบางวัฒนธรรมพ่อแม่พูดคุยกับลูกตั้งแต่แรกเกิด แต่บางวัฒนธรรมมีความเชื่อว่าเด็กเล็กยังไม่รู้เรื่อง จึงยังไม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมกับเด็กมากนัก ซึ่งความเชื่อที่ขาดความรู้ ความเข้าใจบางอย่างอาจจะทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย
การส่งเสริมพัฒนาการในช่วงวัยเด็กเล็ก
1 พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่มารดาตั้งครรภ์
2 ความสามรถในการเข้าถึงหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพ การศึกษาและทางสังคม

การให้การศึกษาที่มีประสิทธิภาพในเด็กเล็ก
1 ครูที่มีทักษะในการสอน
2 จำนวนผู้เรียนในชั้นเรียนน้อย
3 หลักสูตรที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนและสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้
4 สิ่งแวดล้อมที่มีการพูดคุยสื่อสาร
5 การตอบสนองต่อเด็กแบบนุ่มนวล
6 เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Promoting Early Literacy : Reach out and Read
หลักฐานสำหรับการอ่านหนังสือแบบออกเสียงให้เด็กฟัง
1 ความพร้อมของสมองทารก
- ทารกสามารถจำเสียงแม่ได้
- มารดาสื่อสารด้วยคำพูดง่ายๆเพื่อให้เด็กเข้าใจ
- การแยกแยะเสียง ภายใต้เงื่อนไขว่าเด็กต้องได้ยินซ้ำๆ
* หนังสือที่สอนหรือช่วยในการแยกแยะเสียง คือหนังสือประเภทคำกลอน หรือมีจังหวะในการอ่าน ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องจำนวนคำ เวลาที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟังเราควรให้น้ำเสียงหรือคำที่ไม่พูดหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราใช้ภาษาอ่านที่เป็นภาษาเฉพาะพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะดีกว่า
* ช่วงอายุประมาณ 18 เดือน เด็กจะสามารถเรียนรู้การถือหนังสือได้ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงสอนเพื่อให้เข้าใจโครงเรื่อง สอนการลำดับรื่องราวก่อน – หลัง
* ช่วงแรกเราควรให้คำสำคัญกับการรักการอ่าน ให้รักหนังสือมากกว่าการมุ่งเน้นให้ เด็กอ่านได้ พ่อแม่ควรใช้เวลาในการสอน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กจริงๆ ไม่มุ่งเน้นให้รู้หนังสือ แต่มุ่งสนใจที่ตัวเด็กเป็นหลัก ที่สำคัญคือเน้นย้ำเรื่องการทำการอ่านให้เป็นเรื่องสนุกและให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุด

ความสำคัญของการอ่านอ่านหนังสือแบบออกเสียง
1 เรียนรู้การถือหนังสือ การเปิดหน้าหนังสือ การเริ่มอ่านจากหน้าแรก
2 โครงสร้างของเรื่อง การเริ่มต้นเรื่อง ตอนกลางของเรื่อง และตอนท้ายของเรื่อง
3 เข้าใจพื้นฐานของเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำ
4 เข้าใจทักษะพื้นฐานในการอ่าน : รู้จักพยัญชนะ
5 เข้าใจว่าตัวหนังสือที่เห็นเป็นตัวแทนของเสียงพูด
6 เปอร์เซนต์ของจำนวนคำใหม่และคำที่ไม่คุ้นเคยสามารถทำนายพัฒนาการทางภาษาได้

7 พัฒนาการทางอารมณ์
- มีความสนใจร่วม
- ได้รับความสนใจจากพ่อ แม่
- สื่อสารอารมณ์ได้ เช่น เสียใจ อิจฉา ไม่เห็นด้วย ความตาย หนังสือที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
* การอ่านเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ 1 ต่อ 1 ที่สำคัญระหว่างแม่ – เด็ก และในบางครั้งหนังสือถูกใช้หรือเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก – ผู้ใหญ่ เช่น เด็กอาจถือหนังสือเพื่อเอาไปให้แม่อ่าน ในกรณีนี้ บางครั้งเด็กอาจไม่ได้ต้องการอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่เขาใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการที่จะได้ใกล้ชิดหรือได้สัมผัสกับแม่นั่นเอง
* ในกรณีเด็กออทิสติกเราสามารถใช้หนังสือทดสอบเพื่อดูว่า เด็กมีความสัมพันธ์ร่วมกับเรามากแค่ไหน
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 0 – 12 เดือน
- รูปภาพที่มีรูปเด็กอื่น
- สีสันสวยสดใส
- มีรูปภาพสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ลูกบอล
- ขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้เด็กถือได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 12 – 24 เดือน
- หนังสือนิทานที่เด็กสามารถถือไปมาได้
- หนังสือที่มีรูปภาพกิจกรรมที่เด็กคุ้นเคย เช่น การนอน การกิน การเล่น
- หนังสือนิทานก่อนเข้านอน
- หนังสือที่เกี่ยวกับการทักทาย การลา
- หนังสือที่มีตัวหนังสือน้อยๆ ในแต่ละหน้า
- หนังสือที่มีคำคล้องจองหรือมีคำที่เด็กเดาได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 24 – 36 เดือน
- หนังสือนิทานหรือหนังสือที่ทำด้วยกระดาษที่มีหลายหน้า
- หนังสือที่มีเสียงคล้องจอง มีจังหวะเวลาอ่าน หรือมีคำซ้ำๆ ที่เด็กสามารถจำได้ง่าย
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก ครอบครัว เพื่อน อาหารและสัตว์
- หนังสือที่สอนคำศัพท์

สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 2 – 5 ปี
- หนังสือที่มีการดำเนินเรื่อง
- หนังสือที่มีคำง่ายๆ ที่เด็กสามารถจำได้
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก
- หนังสือที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน การมีเพื่อน การไปหาหมอ
- หนังสือที่เกี่ยวกับการนับ ตัวอักษร คำศัพท์
* พัฒนาการนั้นมีลำดับขั้นตอนในตัวของมันเอง แม้ว่าเราพยายามจะผลักดันมากแค่ไหน (ในกรณีที่พ่อแม่เร่งเด็ก) เราก็จำเป็นต้องรอพัฒนาการแต่ละขั้นอยู่ดี เมื่อเด็กพร้อมแล้วเขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งเขาจะแสดงออกมาว่าเขา “สนใจ”
* การจะส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจนที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนั้น ในชุมชนนั้นจะต้องจัดหาสื่อที่เหมาะสมในชุมชนนั้นๆ หรือมีอาสาสมัครในการอ่านหนังสือ และคนที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยการอ่านกับเด็กโดยตรงนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพ่อแม่ แต่จะเป็นใครก็ได้ที่รักเด็ก สามารถทำให้เด็กสนุกกับการอ่านได้ แต่ถ้าเป็นพ่อหรือแม่ก็จะได้เรื่อง Attachment
* ในกรณีที่เจอเด็กที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ในช่วง 9 เดือนแรกจะสังเกตได้อย่างไร? กรณีเด็ก LD ( Learning Disability ) เขาจะไม่มีปัญหา Join Attention ให้วินิจฉัยจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ในกรณีการทำกิจกรรมการอ่านร่วมกันให้สังเกตปฏิสัมพันธ์กับแม่ต้องไปด้วยกัน เช่น มีความสนใจในหนังสือร่วมกัน
* บทบาทของพ่อในการเล่นกับลูก พ่อในสังคมไทยไม่รู้จะเล่นกับลูกอย่างไร.....เราจะใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงและเล่นกับลูก หรือเป็นการพูดคุยกับลูกผ่านหนังสือ วัฒนธรรมไทยโบราณ จะเอากระด้งมาให้ ในกระด้งจะมีหนังสือ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของหนังสือ และเราควรจะต้องชี้แจงว่า ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ ต้องเน้นเรื่อง Person to Person เป็น Social Interaction แล้วเรื่องภาษาจะตามมาทีหลัง
(พญ.นิตยา คชภักดี)
* Dr.Barry Zuckerman พูดถึงระบบการศึกษาของไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัย เริ่มจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ เหตุผล การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย และต้องเป็นอารมณ์เชิงบวก เพราะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัยไม่ได้เป็นการเรียนรู้เพียงแค่ตัวเลข สัญลักษณ์ แต่การเรียนรู้นั้นต้องมาพร้อมกับความสนุกสนานและความพึงพอใจร่วมด้วย
เราสามารถใช้หนังสือประเมินพัฒนาการเด็กได้หลายอย่าง การอ่านหนังสือเป็นความใกล้ชิดกันทางร่างกาย ช่วงที่ใกล้ชิดกันจะมีความสนใจร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นสภาพที่เด็กมีความพึงพอใจมาก และที่สำคัญเป็นการปูพื้นฐานในด้านต้นทุนความเข้มแข็งทางอารมณ์
* การทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจน กับเด็กด้อยโอกาส สิ่งนี้เป็นความหวังของพ่อแม่ที่ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เราทำให้เขามองเห็นอนาคตของลูก
การทำกิจกรรมการอ่าน ความเข้าใจภาษาของเด็กจะมาก่อนการพูดได้ พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจและมีความคาดหวังที่ถูกต้อง ซึ่งกรณีนี้จะมีความเชื่อมโยงกับ IQ กิจกรรมการอ่านจะทำใก้เกิดความสนใจ ร่วมกันระหว่างพ่อ – ลูก, แม่ – ลูก เด็กก่อน 6 เดือนเด็กจะเรียนรู้ภาษา (เข้าใจ) มาก่อนที่เขาจะพูดออกมา และอีก 6 เดือนต่อมา เด็กจึงจะพูดได้ (รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์)
* ความเครียดมีผลต่อสมองอย่างมาก ความเครียดที่ต่อเนื่องกันจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร Steriod hormone called Cortisol มีผลต่อระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สมองส่วนหน้า Frefrontal lobe , Hippocamps, Grey matter ถ้า Cortisol ในระดับที่สูงมาก (Toxic steroid) เนื้อสมองจะยิ่งลดน้อยลง เด็กยากจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องมาจากบริบทและบรรยากาศภายในครอบครัว การถูกทุบตี เด็กเหล่านี้จะมีการตื่นตัวเกินปกติ (Alert) สมอง (ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะสว่างวาบทันที)จะมีการปรับตัวเมื่อพบสภาพ ความรุนแรง การแสดงออกทางลบต่างๆ เช่น ใบหน้าที่โกรธ สมองก็จะมีการตอบสนอง ซึ่งจะตรงข้ามกับอารมณ์ทางบวก ที่จะช่วยให้เกิดการ Synape ได้ง่ายขึ้น และสัมผัส (Attachment) ส่งผลต่อการลดระดับ Cortisol
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สมองของเด็กจะรับรู้และเก็บไว้แล้ว ซึ่งบางครั้งเด็กอาจจะอาจจะไม่ตอบสนองออกมาก็ได้ การปฏิรูปการศึกษาจึงควรจะต้องหันกลับมามองที่วัยของเด็กด้วย สิ่งที่กระทบต่อการเรียนรู้ เช่น เด็กไม่มีหนังสือ หรือกระทั่งความรู้สึกไวต่อสิ่งอันตราย
* ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตัวเด็ก
- ความสามารถในการใช้ภาษาช้าลง ไม่มีการพัฒนาด้านภาษาขึ้นมาเลย พ่อแม่ควรจะตีกรอบหรือตั้งเงื่อนไขว่า จะให้ลูกทำอะไรเมื่อเขาเล่นกับเทคโนโลยี เช่น การให้รู้จักภาพ
จากการศึกษา ไม่พบนัยสำคัญทางบวกเกิดขึ้นทางด้านการเรียนรู้ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ( No Significant+ of Learning occurs < 3 months) เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรใช้เทคโนโลยีประเภทจอภาพ* สื่อโทรทัศน์ที่ส่งผลกระทบทางบวกกับเด็ก เช่น รายการเด็ก Sesami Street** (เหมาะสำหรับเด็ก 3 – 5 ปี : ออกอากาศทาง Thai PBS) รายการนี้ทำให้ความสามารถด้านภาษา คณิตศาสตร์ และทักษะทางสังคมของเด็กดีขึ้น
*โทรทัศน์เป็นสื่อเทคโนโลยีที่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เด็กอาจจะชอบ แต่เราจะพบว่า มันเป็นเพียงแค่สื่อที่ดึงให้สมองสนใจในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมองเลย เด็กที่ติดโทรทัศน์จึงเสี่ยงต่อการมีสมาธิสั้น เพราะสมองถูกกระตุ้นให้สนใจภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และนี่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่นำมาใช้ในการโฆษณา
Role of Medias พบว่า ไม่มีผลกระทบ (Impact) ต่อการเรียนรู้ในช่วง 2 ปีแรก มันมีอิทธิพลแค่การดึงสมาธิและความสนใจ แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมอง และเมื่อเขาพบเห็นภาพความรุนแรงซ้ำๆ ภาพนั้นจะเป็นตัวแบบ (Model)ให้เขา
พบว่าในเด็กอายุ > 2 ปี สื่อเทคโนโลยีจะมีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นการคัดเลือกให้เด็กดูสื่อที่เหมาะสม เช่น รายการ Sesami street จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กได้ ในขณะที่ช่วงอายุ 3 – 5 ปี การศึกษายังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหรือไม่ อย่างไร?
เกมส์ที่เราพบในสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวแทนของความท้าทายที่เด็กต้องการเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงไม่ได้มีพียงแค่การท้าทายเพียงอย่างเดียว ประเด็นคือว่าเราจะนำประสบการณ์จากที่เด็กเล่นเกมส์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือเราควรจะทำเกมส์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น เกมส์ที่ช่วยดึงเด็กที่มีอารมณ์ซึมเศร้ากลับมาสู่ภาวะปกติ เป็นต้น
* เด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor การอ่านจะช่วยพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร? ขณะที่ใช้หนังสือกับเด็กกลุ่มนี้ให้พ่อแม่ดูตรงความสนใจ ความสนุก ปฏิกิริยาที่เขามีต่อหนังสือ ถ้าเขาไม่สนุกก็ให้ทำอย่างอื่น
พญ.นิตยา คชภักดี เคยใช้หนังสือกับเด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor เวลาเราจะให้หนังสือเพื่อให้พ่อแม่นำไปใช้กับลูก ต้องให้เครื่องมือหรือวิธีการที่เขาจะนำไปปรับใช้ได้ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางหู ก็ให้ใช้ภาพช่วย เด็กที่มีปัญหาทางการมองเห็นก็จะใช้การออกเสียงช่วย และใช้มือสัมผัสหนังสือที่เป็นภาพเฉพาะ ใช้วิธีMultisensory ในการเรียนรู้ เช้น พอพูดถึงลูกบอลก็เอาลูกบอลมาให้จับ คือเราต้องหาสิ่งต่างๆมาช่วย Social Interaction ถ้าเป็นการบกพร่องทางหูจะใช้ภาพ บัตรคำ ตัวอักษร (ในเด็กแต่ละ Caseให้ดูที่ระดับ Threshold ของเด็กด้วย ) ในขณะที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เราไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเดียว แต่เรา “ต้องอ่านเด็กด้วย”
พ่อแม่ต้องเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณเจ แห่ง TK Park



Create Date : 08 สิงหาคม 2556

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เด็กยิ่งซนยิ่งเก่ง

เรียบเรียงขอมูลโดยกระปุกดอทคอม

เป็นคุณพอคุณแมมือใหมหากมีลูกนอยที่ ซุกซนคงทําเอาเหนื่อยอกเหนื่อยใจนาดู ก็เจาหนู ซนแตละอยางทั้งเลอะเทอะเละเทะแสนนาปวด หัวไหนจะตองเก็บลางทําความสะอาดไหนจะ ตองจับเจาตัวดีมาอาบนําใหมอีกโอยย..เทานี้ คุณพอคุณแมก็หมดแรงแตกอนจะนอนหมดแรง เรามีขาวดีมาบอกคะนักวิจัยเขาคนพบวาการที่ เด็กเล็กมีนิสัยเป็นเจาจอมจุนแสนซุกซนกลับ เป็นการดี เพราะยิ่งซนมากก็ยิ่งเรียนรูไดดีกวา

ผลการศึกษาของดอกเตอรลาริสซาซามู เอลสันและลินน เพอรรี่ สองผูเชี่ยวชาญดาน จิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยไอโอวาที่ไดรับการ เผยแพรในวารสาร Developmental Science ภายใตหัวขอ Highchair Philosophersหรือ นักปราชญบนเกาอี้เด็กเผยวาเด็กซุกซนกวามี การเรียนรูไดดีกวาจริงๆ

ทั้งคูไดทําการทดลองความฉลาดเฉลียว ของเด็กซุกซนจากเด็กวัย 16เดือนทั้งหมด 72 คนโดยเด็กๆเหลานี้ถูกแบงออกเป็น 2กลุมคือ กลุมที่นั่งบนเกาอี้สูงสําหรับเด็กและเด็กที่นั่งบน เกาอี้หันเขาโตะเด็กแบบธรรมดาเด็กแตละคนจะ ไดรับวัตถุที่ไมแข็ง (แนนอนวาไมอันตรายกับเด็ก ดวย)จํานวน 14รายการเชนแยมสตรอวเบอรรี ซอสบัตเตอรสก็อตซอสช็อกโกแลตชีสขาวโอต เป็นตนเด็กๆจะไดรับการบอกชื่อของของแตละ อยางโดยเป็นชื่อสมมุติที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใหเด็ก เรียกไดงายเชนแทนชื่อแยมสตรอวเบอรรีวา "อิ๊ก",แทนชื่อชีสวา "กา"เป็นตนจากนั้นจึงปลอย ใหเด็กๆทําอะไรกับวัตถุเหลานั้นก็ไดตามใจ ภายในเวลาที่กําหนดกอนที่เจาหนาที่จะกลับมา ใหมพรอมกับตัวอยาง 14รายการเหมือนขางตน แลวใหเด็กๆแตละคนบอกชื่อของที่พวกเขานํา มาวาคืออะไรบาง

ผลการทดลองปรากฏวาเด็กๆที่มี พฤติกรรมแบบฉบับเด็กซุกซนชางปวนที่จะทั้ง จิ้มบีบขยําละเลงเอามาชิมปาของลงกับพื้น หรืออื่นๆสามารถระบุชื่อของวัตถุตัวอยางไดถูก ตองถึง 70%เมื่อเทียบกับเด็กที่ทําแคเอานิ้วจิ้มๆ แลวก็เลิกสนใจที่ตอบไดถูกอยูที่ 50%เทานั้น

นอกจากนี้ยังพบอีกวาการไดนั่งอยูบนเกาอี้ สูงสําหรับเด็กมีสวนชวยใหเด็กๆตอบไดถูกตอง มากกวาเด็กที่นั่งบนชุดโตะเกาอี้ธรรมดาดวยเหตุ ที่เป็นเชนนี้ก็เพราะวาเกาอี้เด็กนั้นเป็นโตะอาหาร สําหรับเด็กเล็กไปในตัวและพฤติกรรมการเรียนรู ของเด็กวัยนี้บอยครั้งก็เกิดขึ้นยามรับประทาน อาหารที่เด็กๆชอบที่จะเลนกับอาหารในถาดตรง หนาพวกเขาดวยการจิ้มบีบคลํานําเขาปากหรือ วาเอาอาหารมาขวางปาเลอะเทอะซึ่งเป็น พฤติกรรมการเรียนรูนั่นเองเมื่อไดถูกนํามาวัด ความสามารถในการเรียนรูในสภาพแวดลอมที่ คุนเคยเชนนี้ เด็กกลุมนี้จึงมีแนวโนมทําไดดีกวา นั่นเอง

เห็นผลการวิจัยออกมาแบบนี้แลวคุณ พอคุณแมที่มีตัวนอยวัยเดียวกันและแสนจะแสบ ซนก็คงจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะความ แสบไซสจิ๋วแบบนี้ก็คือตัวบงบอกวาเขามีแนวโนม จะโตไปเป็นเด็กฉลาดเฉลียวดีทีเดียวละแตสวน ที่เหลือก็ขึ้นอยูกับการปลูกฝังเลี้ยงดู และสงเสริม ของคุณพอคุณแมดวยนะคะไหนๆลูกก็ชวยซน มาครึ่งทางแลวอยาลืมชวยเติมเต็มอีกครึ่งทางให เขาเป็นเด็กฉลาดเรียนรูที่สมบูรณดวยนะจะ :D