วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

 
การประชุมวิชาการ : การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน
วันที่ 26 – 28 มีนาคม 2555
ณ ห้องประชุมรักตะกนิษฐ2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Dr.Barry Zuckerman, MD
Brain and Child Development : Basic for reading
พัฒนาการพื้นฐานของทักษะการอ่านในช่วงขวบปีแรก
- ระบบประสาทสัมผัส
- กล้ามเนื้อมัดใหญ่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- สติปัญญา
... - พัฒนาการทางภาษา
- สังคมและอารมณ์
เราต้องเข้าใจทิศทางพัฒนาการ เราต้องรู้อะไรว่าเกิดก่อน – หลัง เพราะพัฒนการของเด็กจะเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ
ลำดับพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก : การจับคว้าของ
- 6 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยไม่มีเป้าหมาย
- 8 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
- 9 เดือน สามารถจับสิ่งของชิ้นเล็กโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
พ่อแม่ควรดู / สังเกตวิธีการหยิบของลูกด้วยว่าเขามีวิธีการหยิบอย่างไร เพราะถ้าถึงวัยที่เด็กสามารถใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วได้แล้ว แต่เด็กยังเขี่ยๆ ของอยู่นั่นแสดงว่าอาจมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

ลำดับพัฒนาการของการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- 6 เดือน คว้าของโดยไม่มีจุดหมาย
- 7 – 8 เดือน เริ่มทำมือเพื่อจะหยิบของ เมื่อมือถึงของที่จะหยิบ
- 9 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของในระยะครึ่งทางก่อนที่จะหยิบ
- 12 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของก่อนที่จะหยิบ
ความสามารถของการใช้กล้ามเนื้อมือของเด็กจะมีพัฒนาการ / มีความสามารถในการใช้งานได้ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อมองลึกเข้าไปในสมอง การก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละขั้นจะมีการเกิด Myelination ในสมองที่ทำหน้าที่นั้นอย่างต่อเนื่อง
ลำดับพัฒนาการของการเล่น
- 6 เดือน เริ่มคว้าของ และจะทำในลักษณะ React
- 7 – 8 เอาของเล่นมาเคาะกัน / เขย่า และเอาเข้าปาก
- 9 เดือน เริ่มมีการสำรวจของเล่นโดยใช้ตาและมือประสานกัน
- 12 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม แต่ยังเป็นการเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นหลัก
- 18 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม และเริ่มเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นรอบตัว เช่น ตุ๊กตา
เมื่อเด็กๆ เล่น เขาจะ Explore สิ่งแวดล้อม โดยการเคาะ เขย่า ปา หมุนไป – มา เมื่อเขาได้สำรวจแล้ว การรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสของเขาจะก่อให้เกิดกระบวนการคิดขึ้นในสมอง เช่น เขาจะรู้ว่าอันนี้นุ่ม แข็ง หรือมีเสียง
* ในประเด็นการมัฒนาการถดถอย ถ้าเด็กป่วยหรือมีภาวะอะไรบางอย่างเขาจะแสดงพฤติกรรมถดถอย

ลำดับพัฒนาการทางสติปัญญา : Object permanence
ลำดับขั้นของ Piaget อายุ Object permanence
I แรกเกิด – 1 เดือน มองวัตถุเหมือนภาพที่เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
II 1 – 4 เดือน ถ้าไม่เห็นวัตถุอยู่ในสายตา คือไม่มีวัตถุนั้น
III 4 – 8 เดือน เริ่มมองตามของที่ตก
IV 9 – 12 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ช่วง 9 เดือน+ เมื่อไม่เห็นของเด็กจะเริ่มรู้ว่าเราซ่อนของไว้
V 12 – 18 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนให้เห็นหลายครั้ง
VI 18 เดือน – 2 ปี หาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนโดยไม่ให้เห็น และเข้าใจว่าของสิ่งนั้นยังอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็น
* ช่วง 9 เดือน เด็กเริ่มมีภาพอะไรๆ อยู่ในสมอง เมื่อเขามองไม่เห็นหรือภาพถึงดึงไปเขาจะเริ่มส่งสัญญาณ โดยการร้องออกมา

ความพร้อมของสมองทารก
1 ทารกจะจำเสียงมารดาได้
2 มารดาพูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
3 แยกแยะเสียงได้

ลำดับพัฒนาการทางภาษา
- แยกแยะเสียง
- เปล่งเสียงที่ไม่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “อ” ช่วง 4 – 8 เดือน
- เปล่งเสียงที่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “ป” ช่วง 9 เดือน
- พูดคำที่มีความหมายคำแรก ช่วง 13 เดือน ( -8 – 18 เดือน )
- ถ้าเสียงที่เด็กเปล่งออกไปมีการตอบสนอง มันจะมี Meaning กับเด็กมาก และจะเป็นผลต่อพัฒนการทางภาษาของเด็กในลำดับต่อไป
- เด็กจะมีความสามารถในการแยกแยะภาษาได้ดีเยี่ยม แต่ต้องในกรณีที่เขาต้องได้ยินเสียงนั้นซ้ำๆ และบ่อยๆ

สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอ่า



Trend in Cognitive Sciences
สมองและประสบการณ์แรกเริ่ม

พัฒนาการของสมอง

* พิจารณาจำนวนเซลล์ประสาทเมื่อแรกเกิด และช่วงอายุ 6 ปี จะพบว่า ความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทนั้นมีการเชื่อมโยงและหนามากขึ้น ทั้งนี้เกิดเนื่องจากอิทธิพลของการกระตุ้นและการจัดประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมในช่วงปฐมวัย
* เราจะช่วยให้เด็กมีทักษะในสมองเพื่อการอยู่รอดได้ (Survival brain) ถ้าเราใช้สมองส่วนไหนเยอะส่วนนั้นจะมีพัฒนาการขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
* ในช่วง 6 เดือนแรกควรใช้คนในการกระตุ้นพัฒนาการ เพราะคนสำคัญกว่าการเล่นทั้งหมด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ลำดับพัฒนาการของการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์และสังคม
1 ความผูกพันทางอารมณ์ (Attachment)
- 3 เดือน ผูกพันกับคนโดยเชื่อมกับหน้าที่ที่คนนั้นทำ เช่น ผูกพันกับแม่เพราะแม่ให้กินนม (Differential responsibility )
- 6 เดือน ผูกพันกับคนเชื่อมโยงจากปฏิกิริยารอบข้างที่คนนั้นแสดง เช่น สังเกตว่าแม่กลัว เด็กก็จะกลัวด้วย (Social referencing)
- 9 – 12 เดือน ไม่ชอบการพรากจากคนที่ใกล้ชิด (Separate protest)
- 12 – 24 เดือนจะคอยมองหาคนใกล้ชิดเวลาเล่นหรือเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว (Checking in when exploring)
2 ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)
อุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้
1. ความยากจน คนที่มีเศรษฐานะต่ำ หรือพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่ำ มักจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญ และไม่มีทุนพอที่จะซื้อหนังสือนิทาน หรือสื่ออื่นๆ ให้ลูก
2. วัฒนธรรมการเลี้ยงดู ในบางวัฒนธรรมพ่อแม่พูดคุยกับลูกตั้งแต่แรกเกิด แต่บางวัฒนธรรมมีความเชื่อว่าเด็กเล็กยังไม่รู้เรื่อง จึงยังไม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมกับเด็กมากนัก ซึ่งความเชื่อที่ขาดความรู้ ความเข้าใจบางอย่างอาจจะทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย
การส่งเสริมพัฒนาการในช่วงวัยเด็กเล็ก
1 พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่มารดาตั้งครรภ์
2 ความสามรถในการเข้าถึงหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพ การศึกษาและทางสังคม

การให้การศึกษาที่มีประสิทธิภาพในเด็กเล็ก
1 ครูที่มีทักษะในการสอน
2 จำนวนผู้เรียนในชั้นเรียนน้อย
3 หลักสูตรที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนและสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้
4 สิ่งแวดล้อมที่มีการพูดคุยสื่อสาร
5 การตอบสนองต่อเด็กแบบนุ่มนวล
6 เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Promoting Early Literacy : Reach out and Read
หลักฐานสำหรับการอ่านหนังสือแบบออกเสียงให้เด็กฟัง
1 ความพร้อมของสมองทารก
- ทารกสามารถจำเสียงแม่ได้
- มารดาสื่อสารด้วยคำพูดง่ายๆเพื่อให้เด็กเข้าใจ
- การแยกแยะเสียง ภายใต้เงื่อนไขว่าเด็กต้องได้ยินซ้ำๆ
* หนังสือที่สอนหรือช่วยในการแยกแยะเสียง คือหนังสือประเภทคำกลอน หรือมีจังหวะในการอ่าน ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องจำนวนคำ เวลาที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟังเราควรให้น้ำเสียงหรือคำที่ไม่พูดหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราใช้ภาษาอ่านที่เป็นภาษาเฉพาะพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะดีกว่า
* ช่วงอายุประมาณ 18 เดือน เด็กจะสามารถเรียนรู้การถือหนังสือได้ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงสอนเพื่อให้เข้าใจโครงเรื่อง สอนการลำดับรื่องราวก่อน – หลัง
* ช่วงแรกเราควรให้คำสำคัญกับการรักการอ่าน ให้รักหนังสือมากกว่าการมุ่งเน้นให้ เด็กอ่านได้ พ่อแม่ควรใช้เวลาในการสอน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กจริงๆ ไม่มุ่งเน้นให้รู้หนังสือ แต่มุ่งสนใจที่ตัวเด็กเป็นหลัก ที่สำคัญคือเน้นย้ำเรื่องการทำการอ่านให้เป็นเรื่องสนุกและให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุด

ความสำคัญของการอ่านอ่านหนังสือแบบออกเสียง
1 เรียนรู้การถือหนังสือ การเปิดหน้าหนังสือ การเริ่มอ่านจากหน้าแรก
2 โครงสร้างของเรื่อง การเริ่มต้นเรื่อง ตอนกลางของเรื่อง และตอนท้ายของเรื่อง
3 เข้าใจพื้นฐานของเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำ
4 เข้าใจทักษะพื้นฐานในการอ่าน : รู้จักพยัญชนะ
5 เข้าใจว่าตัวหนังสือที่เห็นเป็นตัวแทนของเสียงพูด
6 เปอร์เซนต์ของจำนวนคำใหม่และคำที่ไม่คุ้นเคยสามารถทำนายพัฒนาการทางภาษาได้

7 พัฒนาการทางอารมณ์
- มีความสนใจร่วม
- ได้รับความสนใจจากพ่อ แม่
- สื่อสารอารมณ์ได้ เช่น เสียใจ อิจฉา ไม่เห็นด้วย ความตาย หนังสือที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
* การอ่านเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ 1 ต่อ 1 ที่สำคัญระหว่างแม่ – เด็ก และในบางครั้งหนังสือถูกใช้หรือเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก – ผู้ใหญ่ เช่น เด็กอาจถือหนังสือเพื่อเอาไปให้แม่อ่าน ในกรณีนี้ บางครั้งเด็กอาจไม่ได้ต้องการอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่เขาใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการที่จะได้ใกล้ชิดหรือได้สัมผัสกับแม่นั่นเอง
* ในกรณีเด็กออทิสติกเราสามารถใช้หนังสือทดสอบเพื่อดูว่า เด็กมีความสัมพันธ์ร่วมกับเรามากแค่ไหน
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 0 – 12 เดือน
- รูปภาพที่มีรูปเด็กอื่น
- สีสันสวยสดใส
- มีรูปภาพสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ลูกบอล
- ขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้เด็กถือได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 12 – 24 เดือน
- หนังสือนิทานที่เด็กสามารถถือไปมาได้
- หนังสือที่มีรูปภาพกิจกรรมที่เด็กคุ้นเคย เช่น การนอน การกิน การเล่น
- หนังสือนิทานก่อนเข้านอน
- หนังสือที่เกี่ยวกับการทักทาย การลา
- หนังสือที่มีตัวหนังสือน้อยๆ ในแต่ละหน้า
- หนังสือที่มีคำคล้องจองหรือมีคำที่เด็กเดาได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 24 – 36 เดือน
- หนังสือนิทานหรือหนังสือที่ทำด้วยกระดาษที่มีหลายหน้า
- หนังสือที่มีเสียงคล้องจอง มีจังหวะเวลาอ่าน หรือมีคำซ้ำๆ ที่เด็กสามารถจำได้ง่าย
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก ครอบครัว เพื่อน อาหารและสัตว์
- หนังสือที่สอนคำศัพท์

สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 2 – 5 ปี
- หนังสือที่มีการดำเนินเรื่อง
- หนังสือที่มีคำง่ายๆ ที่เด็กสามารถจำได้
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก
- หนังสือที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน การมีเพื่อน การไปหาหมอ
- หนังสือที่เกี่ยวกับการนับ ตัวอักษร คำศัพท์
* พัฒนาการนั้นมีลำดับขั้นตอนในตัวของมันเอง แม้ว่าเราพยายามจะผลักดันมากแค่ไหน (ในกรณีที่พ่อแม่เร่งเด็ก) เราก็จำเป็นต้องรอพัฒนาการแต่ละขั้นอยู่ดี เมื่อเด็กพร้อมแล้วเขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งเขาจะแสดงออกมาว่าเขา “สนใจ”
* การจะส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจนที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนั้น ในชุมชนนั้นจะต้องจัดหาสื่อที่เหมาะสมในชุมชนนั้นๆ หรือมีอาสาสมัครในการอ่านหนังสือ และคนที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยการอ่านกับเด็กโดยตรงนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพ่อแม่ แต่จะเป็นใครก็ได้ที่รักเด็ก สามารถทำให้เด็กสนุกกับการอ่านได้ แต่ถ้าเป็นพ่อหรือแม่ก็จะได้เรื่อง Attachment
* ในกรณีที่เจอเด็กที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ในช่วง 9 เดือนแรกจะสังเกตได้อย่างไร? กรณีเด็ก LD ( Learning Disability ) เขาจะไม่มีปัญหา Join Attention ให้วินิจฉัยจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ในกรณีการทำกิจกรรมการอ่านร่วมกันให้สังเกตปฏิสัมพันธ์กับแม่ต้องไปด้วยกัน เช่น มีความสนใจในหนังสือร่วมกัน
* บทบาทของพ่อในการเล่นกับลูก พ่อในสังคมไทยไม่รู้จะเล่นกับลูกอย่างไร.....เราจะใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงและเล่นกับลูก หรือเป็นการพูดคุยกับลูกผ่านหนังสือ วัฒนธรรมไทยโบราณ จะเอากระด้งมาให้ ในกระด้งจะมีหนังสือ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของหนังสือ และเราควรจะต้องชี้แจงว่า ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ ต้องเน้นเรื่อง Person to Person เป็น Social Interaction แล้วเรื่องภาษาจะตามมาทีหลัง
(พญ.นิตยา คชภักดี)
* Dr.Barry Zuckerman พูดถึงระบบการศึกษาของไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัย เริ่มจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ เหตุผล การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย และต้องเป็นอารมณ์เชิงบวก เพราะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัยไม่ได้เป็นการเรียนรู้เพียงแค่ตัวเลข สัญลักษณ์ แต่การเรียนรู้นั้นต้องมาพร้อมกับความสนุกสนานและความพึงพอใจร่วมด้วย
เราสามารถใช้หนังสือประเมินพัฒนาการเด็กได้หลายอย่าง การอ่านหนังสือเป็นความใกล้ชิดกันทางร่างกาย ช่วงที่ใกล้ชิดกันจะมีความสนใจร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นสภาพที่เด็กมีความพึงพอใจมาก และที่สำคัญเป็นการปูพื้นฐานในด้านต้นทุนความเข้มแข็งทางอารมณ์
* การทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจน กับเด็กด้อยโอกาส สิ่งนี้เป็นความหวังของพ่อแม่ที่ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เราทำให้เขามองเห็นอนาคตของลูก
การทำกิจกรรมการอ่าน ความเข้าใจภาษาของเด็กจะมาก่อนการพูดได้ พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจและมีความคาดหวังที่ถูกต้อง ซึ่งกรณีนี้จะมีความเชื่อมโยงกับ IQ กิจกรรมการอ่านจะทำใก้เกิดความสนใจ ร่วมกันระหว่างพ่อ – ลูก, แม่ – ลูก เด็กก่อน 6 เดือนเด็กจะเรียนรู้ภาษา (เข้าใจ) มาก่อนที่เขาจะพูดออกมา และอีก 6 เดือนต่อมา เด็กจึงจะพูดได้ (รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์)
* ความเครียดมีผลต่อสมองอย่างมาก ความเครียดที่ต่อเนื่องกันจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร Steriod hormone called Cortisol มีผลต่อระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สมองส่วนหน้า Frefrontal lobe , Hippocamps, Grey matter ถ้า Cortisol ในระดับที่สูงมาก (Toxic steroid) เนื้อสมองจะยิ่งลดน้อยลง เด็กยากจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องมาจากบริบทและบรรยากาศภายในครอบครัว การถูกทุบตี เด็กเหล่านี้จะมีการตื่นตัวเกินปกติ (Alert) สมอง (ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะสว่างวาบทันที)จะมีการปรับตัวเมื่อพบสภาพ ความรุนแรง การแสดงออกทางลบต่างๆ เช่น ใบหน้าที่โกรธ สมองก็จะมีการตอบสนอง ซึ่งจะตรงข้ามกับอารมณ์ทางบวก ที่จะช่วยให้เกิดการ Synape ได้ง่ายขึ้น และสัมผัส (Attachment) ส่งผลต่อการลดระดับ Cortisol
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สมองของเด็กจะรับรู้และเก็บไว้แล้ว ซึ่งบางครั้งเด็กอาจจะอาจจะไม่ตอบสนองออกมาก็ได้ การปฏิรูปการศึกษาจึงควรจะต้องหันกลับมามองที่วัยของเด็กด้วย สิ่งที่กระทบต่อการเรียนรู้ เช่น เด็กไม่มีหนังสือ หรือกระทั่งความรู้สึกไวต่อสิ่งอันตราย
* ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตัวเด็ก
- ความสามารถในการใช้ภาษาช้าลง ไม่มีการพัฒนาด้านภาษาขึ้นมาเลย พ่อแม่ควรจะตีกรอบหรือตั้งเงื่อนไขว่า จะให้ลูกทำอะไรเมื่อเขาเล่นกับเทคโนโลยี เช่น การให้รู้จักภาพ
จากการศึกษา ไม่พบนัยสำคัญทางบวกเกิดขึ้นทางด้านการเรียนรู้ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ( No Significant+ of Learning occurs < 3 months) เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรใช้เทคโนโลยีประเภทจอภาพ* สื่อโทรทัศน์ที่ส่งผลกระทบทางบวกกับเด็ก เช่น รายการเด็ก Sesami Street** (เหมาะสำหรับเด็ก 3 – 5 ปี : ออกอากาศทาง Thai PBS) รายการนี้ทำให้ความสามารถด้านภาษา คณิตศาสตร์ และทักษะทางสังคมของเด็กดีขึ้น
*โทรทัศน์เป็นสื่อเทคโนโลยีที่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เด็กอาจจะชอบ แต่เราจะพบว่า มันเป็นเพียงแค่สื่อที่ดึงให้สมองสนใจในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมองเลย เด็กที่ติดโทรทัศน์จึงเสี่ยงต่อการมีสมาธิสั้น เพราะสมองถูกกระตุ้นให้สนใจภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และนี่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่นำมาใช้ในการโฆษณา
Role of Medias พบว่า ไม่มีผลกระทบ (Impact) ต่อการเรียนรู้ในช่วง 2 ปีแรก มันมีอิทธิพลแค่การดึงสมาธิและความสนใจ แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมอง และเมื่อเขาพบเห็นภาพความรุนแรงซ้ำๆ ภาพนั้นจะเป็นตัวแบบ (Model)ให้เขา
พบว่าในเด็กอายุ > 2 ปี สื่อเทคโนโลยีจะมีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นการคัดเลือกให้เด็กดูสื่อที่เหมาะสม เช่น รายการ Sesami street จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กได้ ในขณะที่ช่วงอายุ 3 – 5 ปี การศึกษายังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหรือไม่ อย่างไร?
เกมส์ที่เราพบในสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวแทนของความท้าทายที่เด็กต้องการเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงไม่ได้มีพียงแค่การท้าทายเพียงอย่างเดียว ประเด็นคือว่าเราจะนำประสบการณ์จากที่เด็กเล่นเกมส์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือเราควรจะทำเกมส์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น เกมส์ที่ช่วยดึงเด็กที่มีอารมณ์ซึมเศร้ากลับมาสู่ภาวะปกติ เป็นต้น
* เด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor การอ่านจะช่วยพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร? ขณะที่ใช้หนังสือกับเด็กกลุ่มนี้ให้พ่อแม่ดูตรงความสนใจ ความสนุก ปฏิกิริยาที่เขามีต่อหนังสือ ถ้าเขาไม่สนุกก็ให้ทำอย่างอื่น
พญ.นิตยา คชภักดี เคยใช้หนังสือกับเด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor เวลาเราจะให้หนังสือเพื่อให้พ่อแม่นำไปใช้กับลูก ต้องให้เครื่องมือหรือวิธีการที่เขาจะนำไปปรับใช้ได้ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางหู ก็ให้ใช้ภาพช่วย เด็กที่มีปัญหาทางการมองเห็นก็จะใช้การออกเสียงช่วย และใช้มือสัมผัสหนังสือที่เป็นภาพเฉพาะ ใช้วิธีMultisensory ในการเรียนรู้ เช้น พอพูดถึงลูกบอลก็เอาลูกบอลมาให้จับ คือเราต้องหาสิ่งต่างๆมาช่วย Social Interaction ถ้าเป็นการบกพร่องทางหูจะใช้ภาพ บัตรคำ ตัวอักษร (ในเด็กแต่ละ Caseให้ดูที่ระดับ Threshold ของเด็กด้วย ) ในขณะที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เราไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเดียว แต่เรา “ต้องอ่านเด็กด้วย”
พ่อแม่ต้องเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณเจ แห่ง TK Park



Create Date : 08 สิงหาคม 2556

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เด็กยิ่งซนยิ่งเก่ง

เรียบเรียงขอมูลโดยกระปุกดอทคอม

เป็นคุณพอคุณแมมือใหมหากมีลูกนอยที่ ซุกซนคงทําเอาเหนื่อยอกเหนื่อยใจนาดู ก็เจาหนู ซนแตละอยางทั้งเลอะเทอะเละเทะแสนนาปวด หัวไหนจะตองเก็บลางทําความสะอาดไหนจะ ตองจับเจาตัวดีมาอาบนําใหมอีกโอยย..เทานี้ คุณพอคุณแมก็หมดแรงแตกอนจะนอนหมดแรง เรามีขาวดีมาบอกคะนักวิจัยเขาคนพบวาการที่ เด็กเล็กมีนิสัยเป็นเจาจอมจุนแสนซุกซนกลับ เป็นการดี เพราะยิ่งซนมากก็ยิ่งเรียนรูไดดีกวา

ผลการศึกษาของดอกเตอรลาริสซาซามู เอลสันและลินน เพอรรี่ สองผูเชี่ยวชาญดาน จิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยไอโอวาที่ไดรับการ เผยแพรในวารสาร Developmental Science ภายใตหัวขอ Highchair Philosophersหรือ นักปราชญบนเกาอี้เด็กเผยวาเด็กซุกซนกวามี การเรียนรูไดดีกวาจริงๆ

ทั้งคูไดทําการทดลองความฉลาดเฉลียว ของเด็กซุกซนจากเด็กวัย 16เดือนทั้งหมด 72 คนโดยเด็กๆเหลานี้ถูกแบงออกเป็น 2กลุมคือ กลุมที่นั่งบนเกาอี้สูงสําหรับเด็กและเด็กที่นั่งบน เกาอี้หันเขาโตะเด็กแบบธรรมดาเด็กแตละคนจะ ไดรับวัตถุที่ไมแข็ง (แนนอนวาไมอันตรายกับเด็ก ดวย)จํานวน 14รายการเชนแยมสตรอวเบอรรี ซอสบัตเตอรสก็อตซอสช็อกโกแลตชีสขาวโอต เป็นตนเด็กๆจะไดรับการบอกชื่อของของแตละ อยางโดยเป็นชื่อสมมุติที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใหเด็ก เรียกไดงายเชนแทนชื่อแยมสตรอวเบอรรีวา "อิ๊ก",แทนชื่อชีสวา "กา"เป็นตนจากนั้นจึงปลอย ใหเด็กๆทําอะไรกับวัตถุเหลานั้นก็ไดตามใจ ภายในเวลาที่กําหนดกอนที่เจาหนาที่จะกลับมา ใหมพรอมกับตัวอยาง 14รายการเหมือนขางตน แลวใหเด็กๆแตละคนบอกชื่อของที่พวกเขานํา มาวาคืออะไรบาง

ผลการทดลองปรากฏวาเด็กๆที่มี พฤติกรรมแบบฉบับเด็กซุกซนชางปวนที่จะทั้ง จิ้มบีบขยําละเลงเอามาชิมปาของลงกับพื้น หรืออื่นๆสามารถระบุชื่อของวัตถุตัวอยางไดถูก ตองถึง 70%เมื่อเทียบกับเด็กที่ทําแคเอานิ้วจิ้มๆ แลวก็เลิกสนใจที่ตอบไดถูกอยูที่ 50%เทานั้น

นอกจากนี้ยังพบอีกวาการไดนั่งอยูบนเกาอี้ สูงสําหรับเด็กมีสวนชวยใหเด็กๆตอบไดถูกตอง มากกวาเด็กที่นั่งบนชุดโตะเกาอี้ธรรมดาดวยเหตุ ที่เป็นเชนนี้ก็เพราะวาเกาอี้เด็กนั้นเป็นโตะอาหาร สําหรับเด็กเล็กไปในตัวและพฤติกรรมการเรียนรู ของเด็กวัยนี้บอยครั้งก็เกิดขึ้นยามรับประทาน อาหารที่เด็กๆชอบที่จะเลนกับอาหารในถาดตรง หนาพวกเขาดวยการจิ้มบีบคลํานําเขาปากหรือ วาเอาอาหารมาขวางปาเลอะเทอะซึ่งเป็น พฤติกรรมการเรียนรูนั่นเองเมื่อไดถูกนํามาวัด ความสามารถในการเรียนรูในสภาพแวดลอมที่ คุนเคยเชนนี้ เด็กกลุมนี้จึงมีแนวโนมทําไดดีกวา นั่นเอง

เห็นผลการวิจัยออกมาแบบนี้แลวคุณ พอคุณแมที่มีตัวนอยวัยเดียวกันและแสนจะแสบ ซนก็คงจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะความ แสบไซสจิ๋วแบบนี้ก็คือตัวบงบอกวาเขามีแนวโนม จะโตไปเป็นเด็กฉลาดเฉลียวดีทีเดียวละแตสวน ที่เหลือก็ขึ้นอยูกับการปลูกฝังเลี้ยงดู และสงเสริม ของคุณพอคุณแมดวยนะคะไหนๆลูกก็ชวยซน มาครึ่งทางแลวอยาลืมชวยเติมเต็มอีกครึ่งทางให เขาเป็นเด็กฉลาดเรียนรูที่สมบูรณดวยนะจะ :D

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บัญชีคำจัดเรียงเป็นลำดับกลุ่มคำ

บัญชีคำจัดเรียงเป็นลำดับกลุ่มคำ

สำหรับสอนเด็กเล็ก เป็นรายสัปดาห์ (หน่วย)

สัปดาห์ที่ 1 (แผนที่ 1–5) ชื่อหน่วย ปฐมนิเทศ

สัปดาห์ที่ 2 (แผนที่ 6 – 10) ชื่อหน่วย ครู – นักเรียน (25 คำ)

ครู นักเรียน ชื่อ ฉัน ผม เธอ สวัสดี เด็กหญิง เด็กชาย ครับ ค่ะ เป็น ยืน นั่ง นอน ไป มา หยุด วิ่ง กระโดด เดิน โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง อะไร

สัปดาห์ที่ 3 (แผนที่ 11 - 15) ชื่อหน่วย ตัวฉัน (25 คำ)
หัว ผม หู ตา จมูก มี ปาก ฟัน หน้า แก้ม คิ้ว มือ นิ้ว เล็บ แขน คอ ขา เท้า ซ้าย ขวา หนึ่ง สอง สี่ ห้า

สัปดาห์ที่ 4 (แผนที่ 16 - 20) ชื่อหน่วย ฉันแต่งตัว (25 คำ)

น้ำ ถังน้ำ บ่อน้ำ อาบน้ำ สบู่ เสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าโสร่ง นุ่ง รองเท้า ถุงเท้า เข็มขัด หมวก สวม ถอด ซัก เปียก ตาก แห้ง รีด สะอาด สกปรก ใส่ ล้าง

สัปดาห์ที่ 5 (แผนที่ 21 - 25) ชื่อหน่วย สะอาดกายเจริญวัย (25 คำ)

ขัน น้ำ ตักน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แปรงฟัน อ่างน้ำ ล้างมือ สระผม ขี้ไคล ผ้าเช็ดตัว ขยี้ ผงฟักฟอก คราบ เปื้อน แปรงถูผ้า แขวน ราวตากผ้า ไม้แขวนเสื้อ สั้น ยาว เตารีด ถ่าน เย็บ ใน นอก

สัปดาห์ที่ 6 (แผนที่ 26 - 30) ชื่อหน่วย ห้องเรียนของฉัน (26 คำ)

กระดาน แปรงลบกระดาน ชอล์ค โต๊ะ แจกัน ไม้กวาด ถังขยะ กวาด ขยะ ลบกระดาน ประตู หน้าต่าง ตู้ ปิด เปิด ขวดน้ำ แก้วน้ำ ดื่ม ใคร ที่ไหน ทำไม กระดาษ พื้น ฝา ถู เช็ด

สัปดาห์ที่ 7 (แผนที่ 31 - 35) ชื่อหน่วย เครื่องเรียนของฉัน (25 คำ)

สมุด ดินสอ ไม้บรรทัด หนังสือ ยางลบ กระเป๋า ของใคร ของฉัน ของเธอ ใช่ ไม่ใช่ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ มืด เขียน ไม่มี หมด สี ปากกา ขอบคุณ ขอโทษ ส่งคืน ขอยืม

สัปดาห์ที่ 8 (แผนที่ 36 - 40) ชื่อหน่วย เด็กดีมีมารยาท (25 คำ)

คำนับ ไหว้ ตรง ผู้ใหญ่ ก้ม เด็ก แต่งกาย เรียบร้อย ทิ้ง ตบมือ ยิ้ม แพ้ ชนะ จับ ให้ เข้าแถว เสียงดัง แข่ง ผลักล้ม ครูใหญ่ รับ ส่ง ผ้าเช็ดหน้า หัวหน้า

สัปดาห์ที่ 9 (แผนที่ 41 - 45) ชื่อหน่วย กีฬาที่ฉันชอบ (25 คำ)

ลูก บอล ห่วงยาง ตะกร้อ นกหวีด ตาข่าย ระหว่าง ขวาหัน ซ้ายหัน ข้างหน้า ข้างหลัง วงกลม สนาม หัวแถว ท้ายแถว เขย่ง ย้าย เลิกแถว หมากเก็บ โยน โยก เหนื่อย นาฬิกา เวลา ชั่วโมง วัน

สัปดาห์ที่ 10 (แผนที่ 46-50) ชื่อหน่วย ในโรงเรียน (23 คำ)

อ้วน ผอม สูง ต่ำ สนุก ร้องเพลง หัวเราะ ร้องไห้ เล่น โรงเรียน รั้ว สนาม เสาธง ส้วม อุจจาระ ปัสสาวะ เข้า ออก ใกล้ ไกล ขาว ดำ

สัปดาห์ที่ 11 (แผนที่ 51- 55) ชื่อหน่วย บ้านของฉัน (27 คำ)

บ้าน พ่อ แม่ พี่ น้อง มุ้ง ผ้าห่ม เสื่อ หมอน ที่นอน ใหญ่ เตียง แมว หนู เป็ด ไก่ กิน วัว ควาย แพะ แกะ เล็ก ใต้ บน บันได ครัว

สัปดาห์ที่ 12 (แผนที่ 56 - 60) ชื่อหน่วย เรารักดอกไม้ (25 คำ)

ผีเสื้อ ดอกชบา ดอกบัว ดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ ดอกบานชื่น สีแดง สีเหลือง สีเขียว หอม เหม็น ดอกมะลิ ดอกจำปา ดอกจำปี ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ปลูก รดน้ำ สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม สิบสี่ สิบห้า

สัปดาห์ที่ 13 (แผนที่ 61 - 65) ชื่อหน่วย ดวงอาทิตย์ – ดวงจันทร์ (27 คำ)

ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว กลางวัน กลางคืน มืด สว่าง ตะเกียง แสงแดด จุด ดัด เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้

สัปดาห์ที่ 14 (แผนที่ 66 - 70) ชื่อหน่วย ผลไม้ในบ้านเรา (25 คำ)

แตง โม ทุเรียน มะม่วง เปรี้ยว หวาน มะมุด มะปราง รางสาด ส้มโอ ละมุด มังคุด กระท้อน พุทรา สุก ไม่สุก มะพร้าว มะละกอ น้อยหน่า ชอบ ไม่ชอบ ขนุน สัปปะรด เงาะ อร่อย ผลไม้

สัปดาห์ที่ 15 (แผนที่ 71 – 75) ชื่อหน่วย ทำสวนครัวดีกว่า (25 คำ)

พริก หัวหอม กระเทียม ตะไคร้ ฟักทอง แตงกวา ถั่ว บวบ มะระ มะเขือ ผักบุ้ง ผักกาด ตะกร้า เก็บ หญ้า ปุ๋ย พรวน ถอน ขุด หลุม พร้า เสียม จอบ คราด แปลง

สัปดาห์ที่ 16 (แผนที่ 76 - 80) ชื่อหน่วย อาหารที่ฉันชอบ (28 คำ)

ข้าว แกง ข้าวยำ ข้าวแกง ขนม อาหาร น้ำปลา น้ำตาล เค็ม เผ็ด จืด เกลือ หม้อ กระทะ จาน ช้อน เตา ไฟ หุง ต้ม ไข่ ดิบ ปู ปลา กุ้ง หอย เนื้อ ปิ้ง


http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=go-jazz&date=18-04-2007&group=3&gblog=3

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พัฒนาการด้านการอ่านตามวัยของเด็ก ๆ (Pregnancy& Baby)

พัฒนาการด้านการอ่านตามวัยของเด็ก ๆ (Pregnancy& Baby)
เรื่อง : Aunty Wee

        หลังกลับจากโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ เห็นเด็ก ๆ ที่บ้านอ่านหนังสือกันได้เจื้อยแจ้ว เสียงใส เป็นอะไรที่น่าประทับใจจริง ๆ นะคะ... แต่เคยสงสัยไหมเอ่ยว่า พัฒนาการด้านนี้ของเด็ก ๆ นั้น จะเริ่มต้นตอนไหนและเมื่อไหร่ ลูกจะอ่านหนังสือได้ชัดเจนแจ่มแจ๋ว

เด็กเริ่มเรียนรู้การอ่านได้เมื่อไหร่

        การ อ่านของเด็กเริ่มตั้งแต่วัยทารก โดยในช่วงวัย 6-8 เดือนแรก เด็กทุกคนเริ่มสามารถรับรู้ความแตกต่างของหน่วยเสียงที่มีอยู่ในทุกภาษาทั่ว โลกได้ และก่อนอายุ 10 เดือนเด็กจะเริ่มปรับความสามารถให้เข้ากับหน่วยเสียงและไวยากรณ์ของภาษาของ ผู้เลี้ยงดู หลังจากอายุ 10 เดือนความสามารถดังกล่าวจะจำกัดเฉพาะอยู่ในภาษาของผู้เลี้ยงดู เช่น เด็กทารกชาวญี่ปุ่นจะมีความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างเสียง /r/ และ /l/ ได้ ซึ่งความสามารถดังกล่าจะจำกัดและยากมากขึ้นในผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่น หลังจากนั้นทักษะทางการอ่านจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

วัยไหนเรียนรู้อะไรบ้างเรื่องการอ่าน

        จาก การศึกษาของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนเรื่องการแยกแยะเสียงของคำพูด อันเป็นปัจจัยหลักขั้นพื้นฐานสำหรับการอ่าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะมีการเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร และการอ่านสะกดคำต่อไป ซึ่งต่างจากระบบการเรียนการสอนอ่านภาษาไทยในปัจจุบันที่ไม่ได้เน้นเรื่องของ ทักษะการแยกแยะเสียงตั้งแต่ช่วงชั้นปฐมวัย แต่จะเน้นเรื่องของการสอนพยัญชนะ แม้การเชื่อมโยงเสียงต้นกับตัวพยัญชนะ ซึ่งควรพิจารณาปรับใช้และสังเกตการณ์ให้เหมาะสม

วัยทารก (infant) : 1 ขวบปีแรก

        6-8 เดือนแรกเด็กทุกคนเริ่มสามารถรับรู้ความแตกต่างของหน่วยเสียงที่มีอยู่ในทุกภาษาทั่วโลกได้

        ก่อนอายุ 10 เดือนเด็กจะเริ่มปรับความสามารถให้เข้ากับหน่วยเสียงและไวยากรณ์ของภาษาแม่หรือผู้เลี้ยงดู

        หลังจากอายุ 10 เดือนความสามารถดังกล่าวเริ่มจำกัดการพัฒนาอยู่เฉพาะในภาษาแม่

วัยเตาะแตะ (toddler) : 1-3 ปี

        เด็กให้ความสนใจเสียงที่เด็กไม่สามารถพูดได้

        แสดงความสนใจเสียงหรือกลุ่มเสียงที่เหมือนกันเมื่อมีการอ่านกลอน หรือเล่าเรื่องนิทานที่มีคำคล้องจอง

        เริ่ม มีการเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร เช่น เมื่อเด็กอ่านหนังสือกับผู้เลี้ยงดู เด็กจะชี้และพยายามออกเสียงตามตัวอักษร หรือใช้คำจากภาษาพูดเพื่อเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร เช่น /d/daddy, /b/bee, /ก/ไก่, /จ/จาน

วัยก่อนเรียนระยะต้น

(early preschool) : อายุ 3-4 ปี

        มีความสนใจเสียงต่าง ๆ ของภาษา โดยเฉพาะ "คำคล้องจอง" (rhyme) ที่มีในเพลง

        บอกตัวอักษรได้ 10 ตัว โดยเฉพาะตัวอักษรที่อยู่ในชื่อของเด็ก

วัยก่อนเรียนระยะปลาย

(late preschool) : อายุ 4-5 ปี

        สามารถ แยกพยางค์ในคำที่ฟังได้ (ร้อยละ 50 เด็กสามารถบอกจำนวนพยางค์ในคำที่ฟังได้) wa แก้ว-น้ำ, water (เช่น แก้วน้ำ-ter เป็นคำที่มีสองพยางค์ เป็นต้น)

        เริ่มแยกหน่วยเสียงย่อย ในคำที่ฟังได้ (ร้อยละ 20 เด็กสามารถบอกจำนวนหน่วยเสียงย่อยในคำที่ฟังได้)

วัยอนุบาลตอนต้น

(beginning kindergarten) : อายุ 5-5 ½ ปี

        สามารถเปรียบเทียบคำสองคำที่ฟังว่าคล้องจองกันหรือไม่ (เช่น กา-ขา, cat-bat)

        สามารถบอกคำที่มีเสียงคล้องจองกับคำที่ฟังได้

        สามารถบอกตัวอักษรได้เกือบทุกตัว



ที่มา.http://baby.kapook.com

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียนเริ่มตั้งแต่แรกเกิด ตอนที่ 1: ทักษะพื้นฐานที่สำคัญ

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียนเริ่มตั้งแต่แรกเกิด ตอนที่ 1: ทักษะพื้นฐานที่สำคัญ

พัฒนาทักษะพื้นฐานช่วยสร้างเด็กให้รักเรียน
หลาย คนคงกังวลใจเรื่องการเรียนและโรงเรียนของลูก และได้พยายามเตรียมตัวให้ลูกพร้อมรับมือกับชีวิตในรั้วโรงเรียน เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านกิจกรรมและชีวิตประจำวัน ดังนั้นคนที่จะสอนลูกและช่วยให้ลูก
ปรับตัวได้ดีที่สุดคือพ่อแม่และคนในครอบครัว เพราะพวกเราคือคนที่ลูกรัก เชื่อใจ และไว้ใจที่สุด อย่าลืมว่าประสบการณ์บรรยากาศการสอนต้องเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะตระหนักถึงอยู่เสมอคือเด็กแต่ละคนเรียน ช้าเร็วต่างกัน หลักการวิธีการสอนต่างๆที่เราหาข้อมูลมานั้น เป็นหลักการที่เสนอแนะการสอนเด็กโดยทั่วไป หากลูกเราช้ากว่าเด็กปกติ เราก็ปรับการเรียนการสอนหรือกิจกรรมให้เหมาะกับลูกของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นกฎเหล็ก เราต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว และปรับการสอนลูกให้เข้ากับสถาวะของครอบครัว
ทักษะพื้นฐานที่พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด
1) ทักษะทางภาษาและการอ่านเขียน ภาษาคือพื้นฐานหลักที่สำคัญในการพัฒนาทักษะการอ่านเขียน การช่วยให้ลูกรู้จักการสื่อสารด้วยการใช้ท่าทาง เสียง และคำพูดจะช่วยทำให้เด็กสนใจการอ่านและรักการอ่านหนังสือ การพูดคุยกับลูก อ่านหนังสือให้ลูกฟัง และการร้องเพลง จะช่วยกระตุ้นความสนใจและทำให้เด็กรู้จักการใช้ภาษาและช่วยให้เด็กพูดจาชัดเจน สื่อสารได้ดี และเป็นนักอ่านตัวยง
2) ทักษะทางความคิด เด็กเกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น และความต้องการที่จะเรียนรู้โลกรอบๆตัวของพวกเขา ช่วงแรกของชีวิตนั้นเด็กเรียนรู้ว่า หากเขาร้อง พ่อแม่ก็จะมาหา เมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ เด็กก็จะเริ่มพัฒนาวิธีการคิดที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เด็กใช้ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันในการทำความเข้าใจกับแนวคิดทางคณิตศาสตร์ เช่น การนับ การแยกประเภท และการแก้ไขปัญหา ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็นเมื่อเด็กเข้าโรงเรียน เช่น เด็ก 2 ขวบเรียนรู้ว่า แม่ต้องเอาคุ๊กกี้มาเพิ่มอีก 1 ชิ้น เพราะมีเพื่อนมาเล่นด้วย จะได้กินขนมคนละชิ้นโดยไม่แย่งกัน
3) ทักษะการควบคุมตนเอง การ ควบคุมตนเองคือความสามารถในการแสดงออกและจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกได้อย่าง ถูกต้องถูกวิธี ซึ่งทักษะนี้เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเรียนและการมีพัฒนาการที่ดี การควบคุมตนเองจะช่วยให้เด็กรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้จักควบคุมอารมณ์ และความโกรธ และรู้จักแก้ไขและรับมือกับความขัดแย้งหรือเวลามีปัญหากับเพื่อนร่วมห้อง เด็กเล็กๆเรียนรู้ทักษะนี้ได้ผ่านการเล่นหรือเข้าสังคมกับผู้อื่นและการได้ รับคำแนะนำและสั่งสอนจากพ่อแม่
4) ความมั่นใจในตนเอง เมื่อ เด็กรู้สึกว่าเขามีความสามารถและเชื่อมั่นในตนเอง เด็กจะพร้อมและเต็มใจที่จะรับมือต่อความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งนี่ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จอย่างหนึ่ง ความเชื่อมั่นในตนเองยังถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมและเข้ากับคน อื่นด้วย และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนเเปลงทางสังคม เช่น การแบ่งปัน การแข่งขี้น และการหาเพื่อนใหม่ ที่เด็กๆจะได้พบเจอเมื่อเข้าโรงเรียน เด็กที่มีความมั่นใจในตนเองจะคิดว่าคนอื่นๆชอบเขาและคิดว่าการมีเพื่อนเป็น สิ่งที่ดี สนุก และน่าประทับใจ
ฉบับหน้า - ส่งเสริมทักษะให้ลูกวัยแรกเกิดถึง 1 ขวบ
ที่มา: www.zerotothree.org

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียน ตอนที่ 3 : วัย 12-24 เดือน

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียน ตอนที่ 3 : วัย 12-24 เดือน

ลูกจะประสบความสำเร็จในโรงเรียนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ ของพ่อแม่ คุณสามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกก่อนเข้าโรงเรียนได้ การเตรียมความพร้อมสามารถทำได้ตั้งแต่แรกเกิด และเราขอแนะนำให้คุณอ่านบทความ ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ก่อนที่จะเริ่มอ่านบทความนี้

1) ทักษะทางภาษาและการอ่านเขียน

เด็กในวัยสองขวบจะเริ่มรู้จักสื่อสารและบอกความต้องการของตัวเองได้ดี ขึ้น เด็กในวัยนี้จะใช้ทั้งท่าทางและเสียงหรือคำพูดในการบอกความต้องการ ความรู้สึก และความนึกคิดให้พ่อแม่ได้รับรู้ เช่น ลูกอาจจะจูงมือคุณไปที่ตู้เย็นหรือกระติกน้ำเพื่อบอกให้คุณทราบว่าลูกหิวและ ต้องการดื่มน้ำ เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มหัดพูดและสามารถพูดคำใหม่ๆได้เมื่ออายุประมาณ 18 เดือน และเริ่มรู้จักนำคำใหม่ๆมาผสมกัน เช่น หิวข้าว กินน้ำ เอาอีก เป็นต้น พอถึงช่วงอายุสองขวบ เด็กส่วนใหญ่จะพูดและออกเสียงคำศัพท์ได้ประมาณ 200 คำ คุณสามารถช่วยเสริมทักษะด้านภาษาและการอ่านเขียนให้ลูกได้โดย
การพูดคุยกับลูก ชี้ ชวนให้ลูกดูของรอบๆตัว ลองถามลูกว่าของเหล่านั้นเรียกว่าอะไร ให้คุณรอคำตอบจากลูกประมาณ 2- 3 วินาที และหากลูกไม่ทราบหรือไม่ตอบคำถาม คุณก็บอกลูกว่าของสิ่งนั้นคืออะไร วิธีนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดหาคำตอบและแสดงให้คุณเห็นว่าลูกรู้จัก สิ่งของนั้นหรือไม่ งานวิจัยหลายๆงานแสดงให้เห็นว่ายิ่งพ่อแม่พูดคุยกับลูกมากเท่าไหร่ คลังคำศัพท์ของลูกก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
การอ่านหนังสือด้วยกัน ให้ ลูกเป็นคนถือหนังสือเวลาที่คุณอ่านหนังสือด้วยกันกับลูก ชี้ดูรูปในหนังสือด้วยกัน บอกให้ลูกลองชี้รูปภาพในหนังสือ เช่นรูปหมา เด็ก บ้าน เป็นต้น นอกจากนี้คุณยังสามารถหาหนังสือที่สอนเกี่ยวกับ ขึ้น ลง ใหญ่ เล็ก สี และตัวเลขมาให้ลูกอ่าน เด็กส่วนใหญ่ในวัยนี้จะเริ่มร้องเพลงเป็น ดังนั้นหนังสืออีกประเภทที่คุณควรนำมาอ่านด้วยกันกับลูกควรเป็นหนังสือเพลง เช่น Wheels on the Bus เป็นต้น  หากคุณทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ลูกจะเป็นคนอ่านและเล่าเรื่องในหนังสือให้คุณฟัง

2) ทักษะการคิดวิเคราะห์

เด็กวัยเตาะแตะนั้นเปรียบเสมือนนักวิทยาศาสตร์ พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นและช่างสงสัย อยากรู้ว่าสิ่งของต่างๆทำงานและใช้ได้อย่างไรบ้าง เช่น ลูกอาจจะโยนลูกบอลลงพื้นเพราะอยากรู้ว่าลูกบอลจะเด้งหรือไม่ หรือโยนตุ๊กตาเพราะอยากรู้ว่าถ้าโยนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้เด็กวัยนี้ยังเริ่มเรียนรู้วิธีการใช้สิ่งของและเครื่องมือ เช่น ใช้ไม้เขี่ยเอาของเล่นที่เอื้อมไม่ถึง
ความจำที่พัฒนาขึ้นยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ ด้วย เช่น การเลียนแบบสิ่งที่เห็นคนอื่นทำ อย่างไรก็ดี ลูกอาจจะไม่ทำสิ่งที่คุณสอนในทันที เรและคุณไม่ต้องกังวลใจ ให้ใจเย็นๆเพราะต่อมาลูกจะทำสิ่งนั้นได้แน่ๆ เพราะความทรงจำที่เริ่มพัฒนาและดีขึ้นนั่นเอง
ให้ลูกเป็นผู้นำ เด็ก เล็กสามารถเรียนรู้แนวคิดต่างๆได้ผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน  หากลูกเป็นเด็กที่ไม่อยู่นิ่ง หรือแอคทีฟ เมื่อคุณพาลูกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ลูกจะรู้จัก ช้า เร็ว ขึ้น ลง บน และ ล่าง หากลูกเป็นเด็กที่ชอบใช้มือ ลูกก็จะเรียนแนวคิดเดียวกันนี้ผ่านการต่อบล็อก
การทำซ้ำ เด็ก นี้ชอบทำกิจกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงของสมองเพื่อให้ เด็กมีความชำนาญในทักษะใหม่  คุณควรจะหาของเล่นที่ช่วยให้ลูกได้ค้นหาคำตอบ และมีความท้ายทาย เช่น บล็อก และ พัสเซิ่ล

3) การควบคุมตนเอง

เด็กวัยเตาะแตะเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และไม่เกรงกลัวที่จะแสดงความรู้สึกให้คุณรู้ “ไม่” หรือ “ไม่เอา” กลายเป็นคำศัพท์โปรดที่ลูกชอบใช้ และเป็นวิธีที่ได้ผลดีในการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ในขณะเดียวกัน เด็กเล็กวัยนี้ยังหุนหันและโมโหง่ายเพราะพวกเขาอยากทำอะไรหลายๆอย่างแต่ยัง ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง การจัดกิจวัติและตารางที่แน่นอนจะช่วยได้เพราะเด็กจะรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และรู้สึกว่าพวกเขาคือผู้ที่ควบคุมสถานการณ์  คุณสามารถช่วยลูกฝึกการควบคุมอารมณ์ได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้
สอนให้ลูกรู้จักขอบเขต การ ตั้งขอบเขตที่แน่นอนและมีความสม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยเพราะขอบเขต จะช่วยให้ลูกรู้ว่าเราคาดหวังอะไรและจะเกิดอะไรขึ้นหากลูกทำตัวนอกขอบแขตที่ กำหนดไว้ เช่นการเก็บดินสอสีหรือสีเทียนทันทีที่ลูกขีดเขียนผนังบ้าน ลูกจะเรียนรู้ว่าลูกควรระบายสีในกระดาษหรือสมุดระบายสีไม่ใช่บนผนัง
บอกให้ลูกรู้จักกับความรู้สึกของตนเอง การ ที่ลูกรู้ว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขาจะช่วยให้ลูกสงบลงเวลาที่ลูกโกรธ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเรายอมตามใจลูกทุกครั้งที่ลูกร้องขอ การให้ตัวเลือกเป็นเทคนิคที่ดีอย่างหนึ่ง เช่น “แม่รู้ว่าลูกโกรธที่เราต้องเลิกเล่นในสนามเด็กเล่นและกลับบ้าน แต่ลูกไม่ควรตีแม่นะคะ ถ้าอยากตีก็ตีหมอนใบนี้แทนก็แล้วกันค่ะ” นอกจากนี้การให้ลูกได้เลือกของที่อยากกิน หรือเสื้อผ้าที่อยากใส่ก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่อย่างไรก็ดี ทุกอย่างต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม

4)  ความมั่นใจในตนเอง

เด็กวัยสองขวบอยากที่จะเป็นตัวของตัวเองเป็นที่สุด แต่พวกเขาก็ยังต้องการพ่อแม่หรือคนที่เขารักอยู่ เพราะบุคคลเหล่าคือความอบอุ่นและความปลอดภัย การที่ลูกรู้ว่าคุณอยู่เคียงข้างลูกเสมอจะช่วยให้ลูกค้นหาและเรียนรู้ได้ ด้วยความสบายใจ การทำทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมดถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและประสบความสำเร็จในการเรียน คุณสามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกได้โดยเทคนิคง่ายๆดังต่อไปนี้
ปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตนเอง  คุณ ควรจะเป็นโค๊ชให้ลูก สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ แต่อย่าแก้ปัญหาให้ลูก เช่นเวลาลูกต่อจิ๊กซอว์ หากลูกต่อไม่ถูกต้อง คุณควรแนะนำให้ลูกลองใส่ช่องอื่น และไม่ควรจะเป็นคนต่อจิ๊กซอว์ช่วยลูก การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจเวลาที่ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ
จัดหากิจกรรมที่ท้าทายให้ลูกได้ทำ จับ ตามองว่าลูกทำอะไรได้บ้าง และให้หากิจกรรมใหม่ที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นมาให้ลูกได้ทำ เช่น หากลูกต่อจิ๊กซอว์ 8 ชิ้นได้ คุณก็หาแบบใหม่ที่มีจำนวน 12 ชิ้นมาให้ลูกได้ลองต่อดู  และหากลูกต่อบล็อกเป็นตึกได้ คุณก็อาจจะบอกลูกให้ลองต่อบล็อกเป็นรูปบ้านให้ตุ๊กตาตัวโปรด วิธีนี้ยังช่วยให้ลูกรู้จักการเล่นบทบาทสมมติอีกด้วย
ที่มา : zerotothree.org

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียน ตอนที่ 2 : แรกเกิด – 12 เดือน

เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียน ตอนที่ 2 : แรกเกิด – 12 เดือน

บทความต่อ“เตรียมลูกสู่รั้วโรงเรียน ตอนที่ 1 “ ซึ่ง จะนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะพื้นฐานที่สำคัญเพื่อช่วยให้ลูกได้เรียนรู้และ เตรียมความพร้อมก่อนลูกเข้าโรงเรียนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ขวบ
1) ทักษะทางภาษาและการอ่านเขียน
เด็กแรกเกิดใช้ภาษาทางร่างกาย เสียง และสีหน้าท่าทางในการสื่อสารและแสดงความรู้สึก ความต้องการ เช่น หิว เหนื่อย ง่วง มีความสุข หรือเพื่อสื่อสารให้พ่อแม่รู้ว่าวันนี้เล่นเหนื่อยแล้วและต้องการพักผ่อน ช่วงแรกของชึวิตนั้น เด็กเริ่มสร้างและมีส่วนร่วมในบทสนทนากับพ่อแม่ผ่านการทำเสียงอ้อเเอ้ การยิ้ม และการหัวเราะ ต่อมาเด็กจะใช้การเคลื่อนไหว การใช้มือ และการใช้เสียงในการแสดงความรู้สึกและสื่อความต้องการของตนเองให้พ่อแม่รับ รู้
การพูดคุยกับลูกช่วยพัฒนาทักษะทางภาษา คุณ ควรจะเลียนแบบเสียงของลูก และชักชวนให้ลูกทำตามหรือเลียนแบบเสียงของคุณ ลูกจะเริ่มทำเสียง “อ้อ” หรือ “แอ้” ก่อน และต่อมาจะค่อยๆทำเสียง “พุ๊”  ”บุ๊” “ดา” และ “มา”  ต่อมาเด็กจะเริ่มนำเสียงเหล่านั้นมาใช้ร่วมกันเมื่ออายุได้ประมาณ 6-9 เดือน เช่น ‘ดาดา’ ปาปา มามา บาบา คุณสามารถช่วยทำให้เสียงเหล่านี้มีความหมายมากยิ่งขึ้นด้วยการพูดตามลูกและ สร้างประโยคจากเสียงเหล่านี้ เช่น ” มามาขอกอดลูกหน่อยนะคะ” เป็นต้น
การแบ่งปันหนังสือ การอ่านหนังสือด้วยกันกับลูกเริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิด ปล่อยให้ลูกได้ค้นพบหรือเล่นกับหนังสือได้ตามต้องการ หาหนังสือบอร์ดบุค หนังสือผ้า หรือหนังสือที่ลูกสามารถกัดหรือเคี้ยวได้มาให้ลูกได้เล่น หนังสือที่ดีและเหมาะสมสำหรับเด็กเล็กนั้นสีสันต้องสดและตัดกัน รูปภาพควรเป็นภาพของสิ่งของใกล้ตัวหรือสิ่งที่ลูกคุ้นเคย นอกจากนี้เด็กๆยังชอบหนังสือประเถทที่มีเเผ่นปิดเปิดเพื่อดูรูปภาพที่ซ่อน อยู่ด้านหลัง คุณควรสังเกตุอาการของลูกเป็นหลัก บางทีลูกอาจจะชอบดูหนังสือหน้าเดียวกันซ้ำๆ หรือดูหนังสือกลับหัว คุณไม่ต้องกังวลหรือพยายามเปลี่ยนเเปลงลูก ให้ปล่อยให้ลูกทำตามความชอบ ปล่อยให้ได้ค้นหา ได้เล่นกับหนังสือตามใจชอบ
2) ทักษะการคิดวิเคาะห์
ช่วงขวบปีแรกของชีวิต เด็กๆจะเริ่มเรียนรู้แนวคิดความเป็นเหตุเป็นผลและหลักการทางคณิตศาสตร์ เด็ก ยังเรียนรู้ สาเหตุ (cause) และผลกระทบ (effect)ได้ด้วย เช่น เมื่อลูกผลักรถ รถก็จะเลื่อนไปข้างหน้า หรือกดปุ่มของเล่นแล้วจะมีเสียงหรือมีไฟกระพริบ เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง รูปร่าง และเริ่มรู้ว่าหากใส่รูปทรงนี้ในช่องที่รูปร่างเหมือนกัน ก็จะใส่ได้ ถ้าใส่ของที่ใหญ่เกินไป ก็จะไม่สามารถใส่ของเล่นชิ้นนั้นลงช่องได้
เด็กเริ่มสนใจ ‘แรงโน้มถ่วง” เมื่อเด็กปล่อยช้อนและมองดูมันตกลงพื้น และเด็กเรียนรู้เรื่องความคงอยู่ของสิ่งของผ่านการเล่นซ่อนหา และรู้ว่าถึงเขาจะมองไม่เห็นของชิ้นนั้น แต่ของชิ้นนั้นก็ยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน เป็นต้น
สนับสนุนให้ลูกได้ค้นหาสิ่งของ หรือของเล่นผ่านการเล่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การสัมผส การเคาะ เขย่า และการ
กลิ้ง ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยให้เด็กรู้เกี่ยวกับการทำงานของสิ่งของ คุยกับลูกเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกทำ เช่น ” ลูกทำให้รถบรรทุกวิ่งได้ด้วยการลากเชื่อกที่ผูกรถนะคะ”
สอนลูกผ่านกิจกรรมประจำวัน เช่นเวลาอาบน้ำก็เป็นเวลาที่เรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน
การใช้ขันน้ำตักแล้วเท จะช่วยให้ลูกรู้จักกับ “เต็ม” (full) และ ว่างเปล่า (empty) และ การเอาเข้า และเอาออก
และเมื่อลูกเล่นของเล่นหรือเอามือสาดน้ำไปมา ลูกก็จะะเรียนรู้ถึงการกระทำ (cause) และผลกระทบ (effect) และหากลูกมีของเล่นที่ลอยน้ำได้ ลูกก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับ จม ลอย และความแตกต่างระหว่างของเเข็งและของเหลว
3) การควบคุมตนเอง
เด็กทารกควบคุมอารมณ์หรือความรู้สึกได้น้อยมาก และมักจะแสดงอารมณ์ความรู้สึก ความนึกคิดตามธรรมชาติ
โดยไม่สามารถหยุดยั้งหรือระงับอารมณ์ความรู้สึกของตนได้ หากเด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่และสั่งสอนเรื่องการควบคุมอารมณ์อย่างใกล้ชิด จากพ่อแม่ เด็กก็จะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
ช่วยสอนให้ลูกรู้จักปลอบโยนตนเอง ยิ่ง ลูกรู้สึกสงบและมีสมาธิเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งควบคุมตนเองได้ดีเท่านั้น เด็กแต่ละคนก็มีวิธีควบคุมอารม์หรือสร้างความสงบแตกต่างกันออกไป เด็กบางคนต้องการการสัมผัสทางร่างกาย เช่นการกล่อม การกอด และการอุ้ม แต่เด็กบางคนก็ชอบที่จะให้ห่อตัว หรือชอบอยู่คนเดียวเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ
คุณสามารถสอนให้ลูกรู้จักสงบอารมณ์ได้ด้วยการทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี หากคุณอยากให้ลูกควบคุมอารมณ์ได้ คุณก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้เห็น โดยเฉพาะเวลาที่ลูกร้องให้โยเย คุณต้องควบคุมอารมณ์ของคุณให้ได้
ปลูกฝังและสั่งสอนนิสัยที่ดี  บอกกล่าว สั่งสอน และ ทำให้ลูกได้เห็นว่าการกระทำไหนทำได้ และอันไหนบ้างที่ไม่ควรทำ หากลูกโยนบอลไปทั่วบ้าน คุณก็ควรจะหาถังขยะว่างๆมาให้ลูกเพื่อที่ลูกจะได้โยนลูกบอลใส่ถัง หรือพาลูกออกไปนอกบ้าน และชี้ให้ลูกดูว่าที่ไหนบ้างที่ลูกสามารถเล่นลูกบอลได้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักผิดถูก และจะช่วยปลูกฝังนิสัยที่ดูให้ลูกเมื่อลูกโตขึ้น ซึ่งการมีนิสัยดีนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกประสบความ สำเร็จในการเรียน
4. ความมั่นใจในตนเอง
ความรู้สึกมั่งคงปลอดภัยและความรักคือสาเหตุสำคัญในการสร้างความมั่นใจ ให้ลูก การปลอบลูก ตอบสนองต่อเสียงร้องและความต้องการของลูก การพูดคุย การเล่นกับลูก การให้ความรัก และให้ความสำคัญกับลูกจะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจ และรู้สึกถึงความปลอดภัยและความมั่นคง
เด็กที่มีความมั่นคงและรู้สึกปลอดภัยจะมีความพร้อมในการเข้าโรงเรียนเพราะเขารู้ว่าพ่อแม่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
วิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ลูกได้นั้นคือการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้ลูกทำงานหรือกิจกรรม
ให้สำเร็จด้วยตนเอง พ่อแม่ไม่ควรทำแทนลูกหรือช่วยลูกทำ
การสร้างกิจวัติประจำวัน ช่วย ให้เด็กรู้สึกถึงความแน่นอนและความมั่นคง เชื่อมั่น และควบคุมสิ่งต่างรอบตัวตนเองได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นประจำและในเวลาเดียวกันทุกๆวัน การไปโรงเรียนก็เหมือนกับกิจวัติประจำวันอย่างหนึ่งเพราะลูกต้องไปโรงเรียน เกือบทุกวัน
การทำซ้ำบ่อยๆครั้ง จะ ช่วยให้เด็กได้ฝึกฝน ฝึกทักษะ และสามารถทำกิจกรรมใหม่ได้ด้วยความมั่นใจ ลองนึกดูว่าลูกเราจะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองแค่ไหนที่สามารถคว้าจับและเขย่า ของเล่น พร้อมกับเอาของเล่นเข้าปากได้ด้วยตนเอง
ฉบับหน้า – ส่งเสริมทักษะให้ลูกวัย 12-24 เดือน
ที่มา: www.zerotothree.org