อยากให้ลูกเป็นคนฉลาดไหม
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียนเก่งก็ได้
ขอแค่เอาตัวรอด และเป็นคนดีก็พอ"
แต่หวังลึกๆว่า"ถ้าฉลาดด้วยก็ดี"
แล้วจะทำอย่างไรถึงจะฉลาดปราดเปรื่องได้
ก่อนอื่นท่านเชื่อหรือไม่ว่าเด็กทุกคน(ปฐมวัย)เก่งกว่าผู้ใหญ่มาก
ลองมาดูความสามารถในการซึมซับข้อมูลของเด็กดูเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์รับข้อมูลได้มหาศาล
รวดเร็วและง่ายดาย
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์แยกหมวดหมู่และจัดเก็บข้อมูลมหาศาลได้
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์จัดวางข้อมูลมหาศาลไว้ในหน่วยความจำถาวรหรือชั่วคราวก็ได้
เด็กเล็กก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลทั้งหมดที่คุณใส่เข้าไปไม่ว่าข้อมูลจะถูกต้องหรือไม่
เด็กเล็กก็เช่นกัน
เมื่อมีฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์มากพอคุณจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน
รวมทั้งวินิจฉัยจากเครื่องอีกด้วย
เด็กเล็กก็เช่นกัน
สรุปแล้วสมองของเด็กเล็ก
สามารถดูดซับข้อมูลได้รวดเร็ว
สามารถดูดซับข้อมูลได้ปริมาณมหาศาล
ในกรณีของคอมพิวเตอร์เราสามารถลบและป้อนข้อมูลเข้าไปใหม่ได้แต่สำหรับเด็กมีข้อจำกัด
ถ้า ใส่ข้อมูลเข้าไปแล้วจะลบยากมากในช่วงวัย 6 ปีแรก แต่เมื่อพ้นจากนั้นเด็กจะซึมซับข้อมูลใหม่ๆได้ช้าลงและลำบากขึ้น
ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งจำอะไรได้ยากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่แบบเราๆ
ความเป็นเลิศของเด็กเล็กยังมีอีกมากมาย
ท่านเคยเจอสิ่งเหล่านี้ไหม
เด็กที่ยังพูดไม่ได้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อได้ยินเพลงที่ได้ฟัง
เด็กสามารถร้องเพลงบางเพลงได้จนจบ(พร้อมโยก)
เด็กพูดคำพูดแปลกๆขึ้นมาโดยเราเองยังสงสัยว่าเอามาจากไหน(บางคำเป็นคำด่าอีกต่างหาก)
เด็กสามารถพูดตามบทพูดในการ์ตูนที่ชอบดู
หรือนิทานที่ พ่อแม่เล่าให้ฟัง (ถ้าเล่าผิดจะมีการท้วงทันที)
กรณี เด็กคนหนึ่งประมาณ 2-3 ขวบถูกส่งมาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่หนึ่งในจังหวัดน่าน
เด็กพูดไม่ได้และส่งเสียงกรีดร้องอยู่ตลอด สื่อสารด้วยการกรีดร้อง
ในที่สุดครูต้องส่งไปให้หมอตรวจ ผลก็คือพัฒนาการทุกด้านของเด็กเป็นปรกติ
ยกเว้นการพูด ต่อมาครูมีโอกาสไปเยี่ยมที่บ้านพบว่า
เด็กถูกเลี้ยงด้วยสารคดีสัตว์โลก พ่อแม่ไม่ว่างที่จะดูแล ทิ้งให้ยายดูแล
ยายเห็นว่าเด็กชอบดูสารคดีสัตว์ เสียงที่เด็กสื่อสารมาตลอดเวลาจะคล้ายเสียงสัตว์

ดังนั้นข้อมูลที่ควรใส่เข้าไปในสมองจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่
อยู่รอบตัวเด็ก ทีวี คอมพิวเตอร์ เพื่อนบ้านโรงเรียน
ครู รวมถึงผู้ปกครองด้วย ที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการไหนที่จะนำข้อมูลเข้าสู่
สมองของเด็กได้ มีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือ
การอ่านหนังสือของเด็ก (ไม่ ใช่อ่านให้เด็กฟัง)
ไม่ว่าเป็นวัยไหนเราต่างยอมรับว่าการอ่านหนังสือคือวิธีการหาความรู้ที่
สะดวกและง่ายที่สุดในการค้นคว้าหาความรู้ เด็กเล็กๆก็เช่นกัน สำหรับเด็กเล็กแล้ว
เมื่อเด็กมองเห็นดีขึ้น พวกเขาก็จะอ่านหนังสือได้ดีขึ้น
และเมื่อเด็กรับฟังดีขึ้นพวกเขาก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
และเมื่อความสามารถในการรับรู้ของเด็กดีขึ้น พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นด้วย
พูดง่ายๆคือ เมื่อเด็กอ่านหนังสือ พูด
และเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นทั้งยังรับข้อมูลในปริมาณมากขึ้น พวกเขาจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น
และไอคิวก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนี้เป็นความจริงสำหรับเด็กทุกคนทั้งที่อยู่ใน
เกณฑ์และอยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย
อาจเป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่าเด็ก
เล็กๆจะอ่านหนังสือได้จริง ตัวอย่างง่ายๆลองหันไปเด็กคนอื่นบางคนในระดับช่วงชั้นเดียวกัน
จะเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กบางคนจะอ่านหนังสือได้บ้างแล้ว(แท้จริงแล้วเด็กเก่งกว่านั้น)
และวิธีสอนเด็กให้อ่านหนังสือเป็น อ่านหนังสือเก่ง ก็มีหลายวิธีเช่นกัน สำคัญ
ที่สุดคือต้องอ่าน เพื่อนำข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าสู้สมองที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง
ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นผู้เสนอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" (The Theory of Multiple Intelligences) ได้เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ ได้เสนอว่าปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านการเข้าใจตนเอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมเป็นทั้งหมด 8 ด้าน แต่ละด้านก็มีความอิสระในการพัฒนาตัวของมันเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มีการรวมเข้าด้วยกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษย์แต่ละคน คนหนึ่งอาจเก่งเพียงด้านเดียว หรือเก่งหลายด้าน หรืออาจไม่เก่งเลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่ช่วยจุดประกายความหวัง เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ในหลักทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences) เชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความฉลาดแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูจึงควรพยายามค้นหาจุดเด่นของเด็กว่ามีความฉลาดทางด้านใดบ้าง และมีรูปแบบอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและสามารถช่วยส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการตามแบบฉบับของเขา เองได้อย่างเหมาะสม
08 มีนาคม 2558 เวลา 13:02:11 น.