วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก

ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก

บทความโดย นายธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ ผู้อำนวยการสมาคมไทสร้างสรรค์ คัดจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับสมน้ำหน้าประเทศไทย
ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งที่ทำ งานการศึกษามากว่า ๒๕ ปี รู้สึกสะเทือนใจอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวในวันนี้ เพราะงานที่ทำต้องเกี่ยวข้องกับเด็กๆและโรงเรียนของรัฐ อันเป็นโรงเรียนที่ดำรงอยู่ด้วยภาษีของเรา ด้วยเงินของเรา แต่เราแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้กับความจริงที่ว่า เด็กๆของเราจำนวนมากที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกว่า ๓๕,๐๐๐ โรงนี้ อยู่ในภาวะอ่านหนังสือไม่ออก
สำนัก งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเคยออกมายอมรับเมื่อปีที่ แล้วว่า มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามอ่านหนังสือไม่ออกร้อยละ ๑๒ หรือประมาณ ๘๐,๐๐๐ คน ซึ่งนับเป็นความกล้าหาญอย่างมาก แต่ สพฐ. ก็ไม่กล้าหาญมากพอที่จะบอกความจริงทั้งหมด เพราะความจริงน่ากลัวกว่านั้นมาก และการยอมรับว่าเด็ก ป.๓ อ่านหนังสือไม่ออกนั้น ฟังดูก็เหมือนจะตั้งใจชี้ประเด็นปัญหาเพื่อให้เกิดการแก้ไข แต่วิธีการนำปัญหามาวางบนโต๊ะของเรานั้น มักจะทำเมื่อทุกอย่างสายเกือบเกินแก้แล้วในแทบทุกกรณี รวมทั้งในกรณีนี้ เพราะจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออกนั้นมีอยู่ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ ป.๓ ที่ท่านพูดเอาไว้ไปจนถึงมัธยมปลาย หากจะคิดคำนวนอย่างง่ายๆ จำนวนนักเรียนเฉลี่ยตามอัตราการเกิดของประชากร ตามข้อมูลด้านล่างนี้ เราก็จะเห็นว่ามีเด็กๆอ่านหนังสือไม่ออกอยู่นับแสนนับล้านคนในปัจจุบัน
นักเรียนสังกัดสพฐ*
อายุ๙-๑๕(ป.๓-ม.๓)
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๕
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๑๐
ถ้าอ่านหนังสือไม่ออก
ร้อยละ ๑๒
5,034,897 คน
251,744 คน
503,489 คน
604,187 คน
*ที่ มา กระทรวงศึกษาธิการ ตารางที่  25 อัตราการออกกลางคันระดับประถมศึกษา - มัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ปีการศึกษา 2550 ( เฉพาะนักเรียนในสังกัด สพฐ. ลบออกกลางคันจำนวน 85,803 คนแล้ว -ผู้เขียน)

ตัวเลขจากการคิดคำนวนอย่างง่ายๆตามตารางข้างบนนี้บอกอะไรแก่เรา ?

หาก นับรวมเด็กๆที่ออกจากระบบโรงเรียนไปโดยอ่านหนังสือไม่ออกในรอบ สิบปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าเป็นภาพอันน่าสยดสยองขนาดไหน (แค่ร้อยละ ๕ นั้นก็มากกว่าทหารไทยทั้งกองทัพแล้ว) คำถามที่ตามมาคือกระทรวงศึกษาธิการทำอะไรอยู่กับเรื่องนี้ เราอาจจะได้คำอธิบายมากมาย รวมทั้งคำตอบว่ากำลังพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรกันอยู่ ซึ่งก็เป็นคำตอบที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เปลี่ยนหลักสูตรและการสอน ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ ๒๕๒๑ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษาที่ใช้เวลาไปแล้วกว่า ๑๐ ปี ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการในทุกระดับเพื่อโดยหวังว่าการศึกษาของเราจะดี ขึ้น ฯลฯ
ผู้ เขียนในฐานะบุคคลหนึ่งที่ทำงานการศึกษาพื้นฐานและการอ่านออก เขียนได้ (literacy) มานานพอสมควร เห็นว่าโดยแท้จริงแล้ว สิ่งที่เป็นอยู่ในระบบโรงเรียนขณะนี้ไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้ ของเด็กๆแต่ประการใด หากแต่สิ่งที่ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของบุคลากรส่วนใหญ่ในกระทรวง ศึกษาธิการเป็นเพียงการรักษาตนให้ปลอดภัยจากการประเมินหรือจากระเบียบทาง ราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กๆและประเทศชาติเพียงน้อยนิด
ถามว่าทำไมผู้เขียนจึงมองอย่างนั้น คำตอบอยู่ในความจริงเพียงสองสามข้อ
๑. เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? แล้วโรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ของพวกเขาอย่างไร?
๒. หลายโรงเรียนบอกว่า นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกนั้นเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าเป็นเด็กพิเศษ แต่โรงเรียนไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งโง่ที่ไม่พูดว่าประชากรโลกที่ประสบภาวะ ความพิการนั้นมีประมาณร้อยละ ๑๐ และมีเพียงร้อยละ ๒๐ ของกลุ่มนี้ที่ต้องการการจัดการศึกษาแบบพิเศษ (ร้อยละ ๘๐ สามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ และในจำนวนนั้นยังสามารถแยกประเภทความพิการออกได้อีกหลายสาขาโดยส่วนใหญ่ไม่ เกี่ยวกับความบกพร่องทางการเรียนรู้) แต่ความจริงที่พบเห็นคือ มีเด็กกว่าร้อยละ ๑๐ ในโรงเรียนหลายแห่งที่ถูกตีตราว่า “พิการ” ดังนั้นการอ้างว่าเด็กอ่านหนังสือไม่ออกจำนวนมากเพราะประสบภาวะความพิการจึง ฟังไม่ขึ้น
เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมเด็กจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? โรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ขแงพวกเขาอย่างไร?

๓. กรมการศึกษานอกโรงเรียน มีหลักสูตรการศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ตั้งแต่พ.ศ ๒๕๓๓ ถ้าจำไม่ผิด) สอนผู้ใหญ่ชาวเขาที่พูดภาษาไทยได้เล็กน้อยและอ่านหนังสือไม่ออก ให้อ่านออกเขียนได้ด้วยเวลาเรียนเพียง ๒๐๐ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทำไมเด็กที่เข้าชั้นเรียนกว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงเป็นเวลาต่อเนื่องถึง ๖ ปีจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก
ข้อ เท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้ บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด)กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
ดัง นั้น จึงไม่แปลกที่เด็กๆจำนวนมหาศาลไม่ได้อะไรเลยจากเวลากว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงที่อยู่ในชั้นเรียน ตรงนี้อาจจะมีเสียงโต้แย้งว่า เด็กๆได้เรียนรู้มากมายหลากหลายมิติแม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นอันดับแรกว่า การออกกฏหมายบังคับให้พ่อแม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกนั้นมี พื้นฐานสำคัญที่สุดอยู่ที่การทำให้เด็กๆ “อ่านออกเขียนได้” เพราะการอ่านออกเขียนได้เป็นกุญแจดอกแรกที่จะเปิดประตูไปสู่โลกของการเรียน รู้ และประตูบานแรกนี้คือโอกาสที่จะนำพวกเขาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคือการรังสรรสังคมที่ดีงาม ปลายทางของการอ่านออกเขียนได้จึงยาวไกลเกินกว่าเราจะจินตนาการไปถึง ตรงข้ามกับความมืดมนอับจนหนทางของการไม่รู้หนังสือทั้งในระดับปัจเจกและ สังคม
ผู้ เขียนมีความเชื่อมั่นอยู่สองสามประการเกี่ยวกับการทำหน้าที่ใน ฐานะนักการศึกษาว่า ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ครู” นั้นมีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวคือสอนหนังสือ และต้องสอนหนังสือให้ดี ภาระกิจประการแรกสุดของครูผู้สอนการศึกษาพื้นฐานคือ จะต้องกระทำทุกวิถีทางให้เด็กๆ “อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้” การสอนไปวันๆโดยไม่สามารถช่วยให้พวกเขาอ่านหนังสือออกจึงเป็นความบกพร่องและ ความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุดในฐานะนักวิชาชีพ ส่วนผู้บริหารโรงเรียนนั้นก็มีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวเช่นกัน คือการรับประกันต่อพ่อแม่และสังคมว่าครูทุกคนภายใต้การบังคับบัญชาได้ทำหน้า หน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ในหน้าที่การสอน หากไม่เป็นไปตามนั้น ตนมีหน้าที่ต้องใช้อำนาจหน้าที่ทุกประการเพื่อช่วยเหลือแก้ไข หากไม่สามารถกระทำการอย่างนั้นได้ ก็บกพร่องล้มเหลวเช่นกันนอกจากนั้น ครู (ทั้งผู้ทำหน้าที่สอนและผู้ทำหน้าที่บริหาร) จะต้องเชื่อมั่นในจิตสำนึกด้านดีของเด็ก เชื่อว่าเด็กๆทุกคนพร้อมจะเป็นคนดี ทั้งต้องเชื่อมั่นด้วยว่าเด็กๆทุกคนสามารถเข้าถึงศักยภาพของตนเองได้ทั้ง สิ้นไม่ว่าจะเกิดและเติบโตมาในสภาพการณ์อย่างไร พื้นฐานหรือที่มาใดๆไม่ใช่สิ่งที่ครูจะนำมาเป็นสมมุติฐานว่าเด็กจะเรียนได้ หรือไม่ ครูมีหน้าที่ทุกประการที่จะต้องทำให้เด็กๆเรียนได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น
ข้อเท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียน ส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้ บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด) กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
ใน โครงการทดลองแก้ไขปัญหาการอ่านที่สมาคมฯพยายามทำอยู่นั้น มีเหตุสร้างความสะเทือนใจต่อคณะทำงานและผู้เป็นพ่อแม่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลายเป็นเพียงอุดมคติและความคิดฝันอัน บรรเจิดที่แทบจะไม่มีโอกาสไปถึง ด้วยผู้เกี่ยวข้องที่โรงเรียนคาดหวังเพียงให้เด็กมีชั่วโมงเข้าชั้นเรียนครบ และสามารถ “สะสม” ชิ้นกระดาษที่ถูกเรียกว่า “งาน” เพื่อการประเมินผลงานสร้างความก้าวหน้าแก่ผู้สอน ในขณะที่เด็กๆชั้น ป.๓-ม.๑ เหล่านั้นไม่สามารถเขียนแม้คำง่ายๆ เช่น “คน” “ใจ” ไม่รู้จักสระ -ะ -า หรือ ฐ ฌ ไม่สามารถออกเสียงพยัญชนะ ท ให้แตกต่างจาก ต ฯลฯ จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมพวกเขาขึ้นถึงชั้นมัธยมได้ทั้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การ อ่าน ป.๑ ที่กำหนดให้เด็กๆต้องอ่านได้ ๖๐๐ คำเป็นอย่างน้อย เพราะผลงานของผู้สอนและภาพลักษณ์ของโรงเรียนสำคัญกว่าสิ่งที่เด็กๆจะได้รับ ดังนั้นตัวเลขเด็กจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออก จึงปรากฏดังยกมาข้างต้น แต่กระทรวงศึกษาธิการยังหาคำตอบไม่ได้ว่าผิดที่ใคร และทำการแก้ไขโดยเปลี่ยนหลักสูตรการสอนกันไม่เว้นแต่ละปี
ใน โรงเรียนที่ไปทดลองช่วยเหลือเด็กๆนั้น พบว่าแม้จะมีเด็กๆประสบปัญหาเดียวกันอยู่กว่า ๔๐ คน(จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘๐ คน) แต่มีเด็กเข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องเพียง ๑๒ คน (เรียนชั้น ป.๓ ถึง ม.๑) และเหลือ ๗ คนเมื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ (ออกจากโรงเรียนหรือย้ายโรงเรียน) ในเบื้องต้นคณะทำงานตั้งสมมุติฐานว่า หากการอ่านสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ ทักษะการอ่านและความกระตือรือร้นในการอ่านจะเกิดขึ้นตามมา โดยมีเป้าหมายกระตุ้นแก้ไขการอ่านเป็นเวลา ๑๐๐ ชั่วโมง แต่เมื่อเริ่มกิจกรรมกลับพบว่า เด็กๆทุกคนแบกปัญหาหนักมาจากบ้านทั้งสิ้น ทั้งความแตกแยกของผู้ปกครอง ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ต้องหาเช้ากินค่ำ ขาดการดูแล ถูกทอดทิ้งทั้งทางกายภาพและจิตใจ อันเป็นปัญหาที่ไม่มีไครมองเห็น และดูเหมือนจะไม่มีใครตั้งใจจะมองให้เห็น ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงส่งเด็กๆไปสู่ความล้มเหลวในโรงเรียนตั้งแต่เริ่มต้น แล้วตามด้วยความล้มเหลวต่อๆมา ร่วมกันทำลายความสำนึกถึงคุณค่าของตนเองไปจากพวกเขา เป็นแรงเหวี่ยงส่งพวกเขาไปสู่การแสดงตัวตนอย่างก้าวร้าว รุนแรง เมินเฉย หยาบคาย อันเป็นพฤติกรรมที่เราเรียกว่า “การเรียกร้องขอความช่วยเหลือ” จนกระทั่งมีภาพลักษณ์เป็นตัวปัญหาและสร้างภาระแก่โรงเรียน(ในมุมมองของ บุคลากร) เด็กเหล่านี้จึงไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ
ความ เปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ๓๐ ชั่วโมง เด็กๆบางคนร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจที่อ่านหนังสือให้เพื่อนฟังไม่ได้ พ่อแม่ดีใจที่ลูกเริ่มอ่านหนังสือภาพให้ฟัง หลังจากทำงานร่วมกันประมาณ ๕๐ ชั่วโมง เด็กๆส่วนใหญ่เริ่มอ่านหนังสือออกและเริ่มหัดเขียนข้อความสั้นๆ พวกเขาเริ่มผ่อนคลาย สงบลง สุภาพขึ้น แสดงน้ำใจต่อผู้อื่น ชี้ให้เห็นว่าสำนึกแห่งคุณค่าในตนเองเริ่มกลับมา เริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ตนเองก็สามารถไปสู่ความสำเร็จได้เช่นเดียวกับผู้อื่น โลกใบนี้มีที่ให้เขายืน มีคนเห็นคุณค่าและได้รับความนับถือเช่นเดียวกับเด็กๆคนอื่น
แล้ว ปลายทางอยู่ที่ไหน ภายใต้บริบทที่ขัดแย้งระหว่างคณะทำงานกับวาระสำคัญอันหลากหลายของโรงเรียน ภายใต้บริบทของเด็ก ๗ คนกับเด็กๆอีกนับล้านคนทั่วประเทศ และภายใต้บริบทของคนทำงานการศึกษาอิสระกับโครงสร้างที่เต็มไปด้วยคำอธิบาย แต่ไม่เคยหาคำตอบอะไรได้ของกระทรวงศึกษาธิการ
เหล่า นั้นเป็นคำถามที่เราไม่รู้คำตอบ  เราตอบได้เพียงว่า หากสามารถพาเด็กๆทั้ง ๗ คนนี้ไปถึงโลกของหนังสือและการอ่านได้แล้ว ในวันที่เด็กๆเหล่านี้สามารถอ่านวรรณกรรมเยาวชนได้เองอย่างมีความสุข ก็ย่อมหมายความเราส่งพวกเขาถึงชายฝั่งแล้ว หนทางที่เหลืออยู่ก็ขึ้นอยู่กับสื่งที่พวกเขาค้นพบ และคำตอบที่พวกเขาค้นหาได้เองในโลกแห่งการเรียนรู้

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

การประชุมวิชาการ การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน

 
การประชุมวิชาการ : การพัฒนาศักยภาพสมองเด็กปฐมวัยผ่านการอ่าน
วันที่ 26 – 28 มีนาคม 2555
ณ ห้องประชุมรักตะกนิษฐ2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Dr.Barry Zuckerman, MD
Brain and Child Development : Basic for reading
พัฒนาการพื้นฐานของทักษะการอ่านในช่วงขวบปีแรก
- ระบบประสาทสัมผัส
- กล้ามเนื้อมัดใหญ่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- สติปัญญา
... - พัฒนาการทางภาษา
- สังคมและอารมณ์
เราต้องเข้าใจทิศทางพัฒนาการ เราต้องรู้อะไรว่าเกิดก่อน – หลัง เพราะพัฒนการของเด็กจะเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ
ลำดับพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก : การจับคว้าของ
- 6 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยไม่มีเป้าหมาย
- 8 เดือน เขี่ยสิ่งของโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
- 9 เดือน สามารถจับสิ่งของชิ้นเล็กโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
พ่อแม่ควรดู / สังเกตวิธีการหยิบของลูกด้วยว่าเขามีวิธีการหยิบอย่างไร เพราะถ้าถึงวัยที่เด็กสามารถใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วได้แล้ว แต่เด็กยังเขี่ยๆ ของอยู่นั่นแสดงว่าอาจมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

ลำดับพัฒนาการของการใช้ตาและมือประสานงานกัน
- 6 เดือน คว้าของโดยไม่มีจุดหมาย
- 7 – 8 เดือน เริ่มทำมือเพื่อจะหยิบของ เมื่อมือถึงของที่จะหยิบ
- 9 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของในระยะครึ่งทางก่อนที่จะหยิบ
- 12 เดือน เริ่มทำมือเมื่อพร้อมจะหยิบของก่อนที่จะหยิบ
ความสามารถของการใช้กล้ามเนื้อมือของเด็กจะมีพัฒนาการ / มีความสามารถในการใช้งานได้ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อมองลึกเข้าไปในสมอง การก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละขั้นจะมีการเกิด Myelination ในสมองที่ทำหน้าที่นั้นอย่างต่อเนื่อง
ลำดับพัฒนาการของการเล่น
- 6 เดือน เริ่มคว้าของ และจะทำในลักษณะ React
- 7 – 8 เอาของเล่นมาเคาะกัน / เขย่า และเอาเข้าปาก
- 9 เดือน เริ่มมีการสำรวจของเล่นโดยใช้ตาและมือประสานกัน
- 12 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม แต่ยังเป็นการเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นหลัก
- 18 เดือน เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม และเริ่มเล่นแบบสมมติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นรอบตัว เช่น ตุ๊กตา
เมื่อเด็กๆ เล่น เขาจะ Explore สิ่งแวดล้อม โดยการเคาะ เขย่า ปา หมุนไป – มา เมื่อเขาได้สำรวจแล้ว การรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสของเขาจะก่อให้เกิดกระบวนการคิดขึ้นในสมอง เช่น เขาจะรู้ว่าอันนี้นุ่ม แข็ง หรือมีเสียง
* ในประเด็นการมัฒนาการถดถอย ถ้าเด็กป่วยหรือมีภาวะอะไรบางอย่างเขาจะแสดงพฤติกรรมถดถอย

ลำดับพัฒนาการทางสติปัญญา : Object permanence
ลำดับขั้นของ Piaget อายุ Object permanence
I แรกเกิด – 1 เดือน มองวัตถุเหมือนภาพที่เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
II 1 – 4 เดือน ถ้าไม่เห็นวัตถุอยู่ในสายตา คือไม่มีวัตถุนั้น
III 4 – 8 เดือน เริ่มมองตามของที่ตก
IV 9 – 12 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ช่วง 9 เดือน+ เมื่อไม่เห็นของเด็กจะเริ่มรู้ว่าเราซ่อนของไว้
V 12 – 18 เดือน เริ่มหาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนให้เห็นหลายครั้ง
VI 18 เดือน – 2 ปี หาของที่ถูกซ่อนไว้ ถึงแม้จะเปลี่ยนที่ซ่อนโดยไม่ให้เห็น และเข้าใจว่าของสิ่งนั้นยังอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็น
* ช่วง 9 เดือน เด็กเริ่มมีภาพอะไรๆ อยู่ในสมอง เมื่อเขามองไม่เห็นหรือภาพถึงดึงไปเขาจะเริ่มส่งสัญญาณ โดยการร้องออกมา

ความพร้อมของสมองทารก
1 ทารกจะจำเสียงมารดาได้
2 มารดาพูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
3 แยกแยะเสียงได้

ลำดับพัฒนาการทางภาษา
- แยกแยะเสียง
- เปล่งเสียงที่ไม่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “อ” ช่วง 4 – 8 เดือน
- เปล่งเสียงที่ต้องใช้ริมฝีปาก เช่น เสียง “ป” ช่วง 9 เดือน
- พูดคำที่มีความหมายคำแรก ช่วง 13 เดือน ( -8 – 18 เดือน )
- ถ้าเสียงที่เด็กเปล่งออกไปมีการตอบสนอง มันจะมี Meaning กับเด็กมาก และจะเป็นผลต่อพัฒนการทางภาษาของเด็กในลำดับต่อไป
- เด็กจะมีความสามารถในการแยกแยะภาษาได้ดีเยี่ยม แต่ต้องในกรณีที่เขาต้องได้ยินเสียงนั้นซ้ำๆ และบ่อยๆ

สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอ่า



Trend in Cognitive Sciences
สมองและประสบการณ์แรกเริ่ม

พัฒนาการของสมอง

* พิจารณาจำนวนเซลล์ประสาทเมื่อแรกเกิด และช่วงอายุ 6 ปี จะพบว่า ความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทนั้นมีการเชื่อมโยงและหนามากขึ้น ทั้งนี้เกิดเนื่องจากอิทธิพลของการกระตุ้นและการจัดประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมในช่วงปฐมวัย
* เราจะช่วยให้เด็กมีทักษะในสมองเพื่อการอยู่รอดได้ (Survival brain) ถ้าเราใช้สมองส่วนไหนเยอะส่วนนั้นจะมีพัฒนาการขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
* ในช่วง 6 เดือนแรกควรใช้คนในการกระตุ้นพัฒนาการ เพราะคนสำคัญกว่าการเล่นทั้งหมด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ลำดับพัฒนาการของการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์และสังคม
1 ความผูกพันทางอารมณ์ (Attachment)
- 3 เดือน ผูกพันกับคนโดยเชื่อมกับหน้าที่ที่คนนั้นทำ เช่น ผูกพันกับแม่เพราะแม่ให้กินนม (Differential responsibility )
- 6 เดือน ผูกพันกับคนเชื่อมโยงจากปฏิกิริยารอบข้างที่คนนั้นแสดง เช่น สังเกตว่าแม่กลัว เด็กก็จะกลัวด้วย (Social referencing)
- 9 – 12 เดือน ไม่ชอบการพรากจากคนที่ใกล้ชิด (Separate protest)
- 12 – 24 เดือนจะคอยมองหาคนใกล้ชิดเวลาเล่นหรือเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว (Checking in when exploring)
2 ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)
อุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้
1. ความยากจน คนที่มีเศรษฐานะต่ำ หรือพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่ำ มักจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญ และไม่มีทุนพอที่จะซื้อหนังสือนิทาน หรือสื่ออื่นๆ ให้ลูก
2. วัฒนธรรมการเลี้ยงดู ในบางวัฒนธรรมพ่อแม่พูดคุยกับลูกตั้งแต่แรกเกิด แต่บางวัฒนธรรมมีความเชื่อว่าเด็กเล็กยังไม่รู้เรื่อง จึงยังไม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมกับเด็กมากนัก ซึ่งความเชื่อที่ขาดความรู้ ความเข้าใจบางอย่างอาจจะทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย
การส่งเสริมพัฒนาการในช่วงวัยเด็กเล็ก
1 พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่มารดาตั้งครรภ์
2 ความสามรถในการเข้าถึงหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพ การศึกษาและทางสังคม

การให้การศึกษาที่มีประสิทธิภาพในเด็กเล็ก
1 ครูที่มีทักษะในการสอน
2 จำนวนผู้เรียนในชั้นเรียนน้อย
3 หลักสูตรที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนและสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้
4 สิ่งแวดล้อมที่มีการพูดคุยสื่อสาร
5 การตอบสนองต่อเด็กแบบนุ่มนวล
6 เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Promoting Early Literacy : Reach out and Read
หลักฐานสำหรับการอ่านหนังสือแบบออกเสียงให้เด็กฟัง
1 ความพร้อมของสมองทารก
- ทารกสามารถจำเสียงแม่ได้
- มารดาสื่อสารด้วยคำพูดง่ายๆเพื่อให้เด็กเข้าใจ
- การแยกแยะเสียง ภายใต้เงื่อนไขว่าเด็กต้องได้ยินซ้ำๆ
* หนังสือที่สอนหรือช่วยในการแยกแยะเสียง คือหนังสือประเภทคำกลอน หรือมีจังหวะในการอ่าน ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาในเรื่องจำนวนคำ เวลาที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟังเราควรให้น้ำเสียงหรือคำที่ไม่พูดหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราใช้ภาษาอ่านที่เป็นภาษาเฉพาะพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะดีกว่า
* ช่วงอายุประมาณ 18 เดือน เด็กจะสามารถเรียนรู้การถือหนังสือได้ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงสอนเพื่อให้เข้าใจโครงเรื่อง สอนการลำดับรื่องราวก่อน – หลัง
* ช่วงแรกเราควรให้คำสำคัญกับการรักการอ่าน ให้รักหนังสือมากกว่าการมุ่งเน้นให้ เด็กอ่านได้ พ่อแม่ควรใช้เวลาในการสอน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กจริงๆ ไม่มุ่งเน้นให้รู้หนังสือ แต่มุ่งสนใจที่ตัวเด็กเป็นหลัก ที่สำคัญคือเน้นย้ำเรื่องการทำการอ่านให้เป็นเรื่องสนุกและให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุด

ความสำคัญของการอ่านอ่านหนังสือแบบออกเสียง
1 เรียนรู้การถือหนังสือ การเปิดหน้าหนังสือ การเริ่มอ่านจากหน้าแรก
2 โครงสร้างของเรื่อง การเริ่มต้นเรื่อง ตอนกลางของเรื่อง และตอนท้ายของเรื่อง
3 เข้าใจพื้นฐานของเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำ
4 เข้าใจทักษะพื้นฐานในการอ่าน : รู้จักพยัญชนะ
5 เข้าใจว่าตัวหนังสือที่เห็นเป็นตัวแทนของเสียงพูด
6 เปอร์เซนต์ของจำนวนคำใหม่และคำที่ไม่คุ้นเคยสามารถทำนายพัฒนาการทางภาษาได้

7 พัฒนาการทางอารมณ์
- มีความสนใจร่วม
- ได้รับความสนใจจากพ่อ แม่
- สื่อสารอารมณ์ได้ เช่น เสียใจ อิจฉา ไม่เห็นด้วย ความตาย หนังสือที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
* การอ่านเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ 1 ต่อ 1 ที่สำคัญระหว่างแม่ – เด็ก และในบางครั้งหนังสือถูกใช้หรือเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก – ผู้ใหญ่ เช่น เด็กอาจถือหนังสือเพื่อเอาไปให้แม่อ่าน ในกรณีนี้ บางครั้งเด็กอาจไม่ได้ต้องการอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่เขาใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการที่จะได้ใกล้ชิดหรือได้สัมผัสกับแม่นั่นเอง
* ในกรณีเด็กออทิสติกเราสามารถใช้หนังสือทดสอบเพื่อดูว่า เด็กมีความสัมพันธ์ร่วมกับเรามากแค่ไหน
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 0 – 12 เดือน
- รูปภาพที่มีรูปเด็กอื่น
- สีสันสวยสดใส
- มีรูปภาพสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ลูกบอล
- ขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้เด็กถือได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 12 – 24 เดือน
- หนังสือนิทานที่เด็กสามารถถือไปมาได้
- หนังสือที่มีรูปภาพกิจกรรมที่เด็กคุ้นเคย เช่น การนอน การกิน การเล่น
- หนังสือนิทานก่อนเข้านอน
- หนังสือที่เกี่ยวกับการทักทาย การลา
- หนังสือที่มีตัวหนังสือน้อยๆ ในแต่ละหน้า
- หนังสือที่มีคำคล้องจองหรือมีคำที่เด็กเดาได้
สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 24 – 36 เดือน
- หนังสือนิทานหรือหนังสือที่ทำด้วยกระดาษที่มีหลายหน้า
- หนังสือที่มีเสียงคล้องจอง มีจังหวะเวลาอ่าน หรือมีคำซ้ำๆ ที่เด็กสามารถจำได้ง่าย
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก ครอบครัว เพื่อน อาหารและสัตว์
- หนังสือที่สอนคำศัพท์

สิ่งที่เด็กชอบในหนังสือ : ช่วงอายุ 2 – 5 ปี
- หนังสือที่มีการดำเนินเรื่อง
- หนังสือที่มีคำง่ายๆ ที่เด็กสามารถจำได้
- หนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก
- หนังสือที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน การมีเพื่อน การไปหาหมอ
- หนังสือที่เกี่ยวกับการนับ ตัวอักษร คำศัพท์
* พัฒนาการนั้นมีลำดับขั้นตอนในตัวของมันเอง แม้ว่าเราพยายามจะผลักดันมากแค่ไหน (ในกรณีที่พ่อแม่เร่งเด็ก) เราก็จำเป็นต้องรอพัฒนาการแต่ละขั้นอยู่ดี เมื่อเด็กพร้อมแล้วเขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งเขาจะแสดงออกมาว่าเขา “สนใจ”
* การจะส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจนที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนั้น ในชุมชนนั้นจะต้องจัดหาสื่อที่เหมาะสมในชุมชนนั้นๆ หรือมีอาสาสมัครในการอ่านหนังสือ และคนที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยการอ่านกับเด็กโดยตรงนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพ่อแม่ แต่จะเป็นใครก็ได้ที่รักเด็ก สามารถทำให้เด็กสนุกกับการอ่านได้ แต่ถ้าเป็นพ่อหรือแม่ก็จะได้เรื่อง Attachment
* ในกรณีที่เจอเด็กที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ในช่วง 9 เดือนแรกจะสังเกตได้อย่างไร? กรณีเด็ก LD ( Learning Disability ) เขาจะไม่มีปัญหา Join Attention ให้วินิจฉัยจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ในกรณีการทำกิจกรรมการอ่านร่วมกันให้สังเกตปฏิสัมพันธ์กับแม่ต้องไปด้วยกัน เช่น มีความสนใจในหนังสือร่วมกัน
* บทบาทของพ่อในการเล่นกับลูก พ่อในสังคมไทยไม่รู้จะเล่นกับลูกอย่างไร.....เราจะใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงและเล่นกับลูก หรือเป็นการพูดคุยกับลูกผ่านหนังสือ วัฒนธรรมไทยโบราณ จะเอากระด้งมาให้ ในกระด้งจะมีหนังสือ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของหนังสือ และเราควรจะต้องชี้แจงว่า ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ ต้องเน้นเรื่อง Person to Person เป็น Social Interaction แล้วเรื่องภาษาจะตามมาทีหลัง
(พญ.นิตยา คชภักดี)
* Dr.Barry Zuckerman พูดถึงระบบการศึกษาของไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาปฐมวัย เริ่มจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ เหตุผล การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย และต้องเป็นอารมณ์เชิงบวก เพราะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัยไม่ได้เป็นการเรียนรู้เพียงแค่ตัวเลข สัญลักษณ์ แต่การเรียนรู้นั้นต้องมาพร้อมกับความสนุกสนานและความพึงพอใจร่วมด้วย
เราสามารถใช้หนังสือประเมินพัฒนาการเด็กได้หลายอย่าง การอ่านหนังสือเป็นความใกล้ชิดกันทางร่างกาย ช่วงที่ใกล้ชิดกันจะมีความสนใจร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นสภาพที่เด็กมีความพึงพอใจมาก และที่สำคัญเป็นการปูพื้นฐานในด้านต้นทุนความเข้มแข็งทางอารมณ์
* การทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในครอบครัวที่ยากจน กับเด็กด้อยโอกาส สิ่งนี้เป็นความหวังของพ่อแม่ที่ลูกจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เราทำให้เขามองเห็นอนาคตของลูก
การทำกิจกรรมการอ่าน ความเข้าใจภาษาของเด็กจะมาก่อนการพูดได้ พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจและมีความคาดหวังที่ถูกต้อง ซึ่งกรณีนี้จะมีความเชื่อมโยงกับ IQ กิจกรรมการอ่านจะทำใก้เกิดความสนใจ ร่วมกันระหว่างพ่อ – ลูก, แม่ – ลูก เด็กก่อน 6 เดือนเด็กจะเรียนรู้ภาษา (เข้าใจ) มาก่อนที่เขาจะพูดออกมา และอีก 6 เดือนต่อมา เด็กจึงจะพูดได้ (รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์)
* ความเครียดมีผลต่อสมองอย่างมาก ความเครียดที่ต่อเนื่องกันจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร Steriod hormone called Cortisol มีผลต่อระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สมองส่วนหน้า Frefrontal lobe , Hippocamps, Grey matter ถ้า Cortisol ในระดับที่สูงมาก (Toxic steroid) เนื้อสมองจะยิ่งลดน้อยลง เด็กยากจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องมาจากบริบทและบรรยากาศภายในครอบครัว การถูกทุบตี เด็กเหล่านี้จะมีการตื่นตัวเกินปกติ (Alert) สมอง (ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะสว่างวาบทันที)จะมีการปรับตัวเมื่อพบสภาพ ความรุนแรง การแสดงออกทางลบต่างๆ เช่น ใบหน้าที่โกรธ สมองก็จะมีการตอบสนอง ซึ่งจะตรงข้ามกับอารมณ์ทางบวก ที่จะช่วยให้เกิดการ Synape ได้ง่ายขึ้น และสัมผัส (Attachment) ส่งผลต่อการลดระดับ Cortisol
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สมองของเด็กจะรับรู้และเก็บไว้แล้ว ซึ่งบางครั้งเด็กอาจจะอาจจะไม่ตอบสนองออกมาก็ได้ การปฏิรูปการศึกษาจึงควรจะต้องหันกลับมามองที่วัยของเด็กด้วย สิ่งที่กระทบต่อการเรียนรู้ เช่น เด็กไม่มีหนังสือ หรือกระทั่งความรู้สึกไวต่อสิ่งอันตราย
* ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตัวเด็ก
- ความสามารถในการใช้ภาษาช้าลง ไม่มีการพัฒนาด้านภาษาขึ้นมาเลย พ่อแม่ควรจะตีกรอบหรือตั้งเงื่อนไขว่า จะให้ลูกทำอะไรเมื่อเขาเล่นกับเทคโนโลยี เช่น การให้รู้จักภาพ
จากการศึกษา ไม่พบนัยสำคัญทางบวกเกิดขึ้นทางด้านการเรียนรู้ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ( No Significant+ of Learning occurs < 3 months) เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรใช้เทคโนโลยีประเภทจอภาพ* สื่อโทรทัศน์ที่ส่งผลกระทบทางบวกกับเด็ก เช่น รายการเด็ก Sesami Street** (เหมาะสำหรับเด็ก 3 – 5 ปี : ออกอากาศทาง Thai PBS) รายการนี้ทำให้ความสามารถด้านภาษา คณิตศาสตร์ และทักษะทางสังคมของเด็กดีขึ้น
*โทรทัศน์เป็นสื่อเทคโนโลยีที่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เด็กอาจจะชอบ แต่เราจะพบว่า มันเป็นเพียงแค่สื่อที่ดึงให้สมองสนใจในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมองเลย เด็กที่ติดโทรทัศน์จึงเสี่ยงต่อการมีสมาธิสั้น เพราะสมองถูกกระตุ้นให้สนใจภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และนี่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่นำมาใช้ในการโฆษณา
Role of Medias พบว่า ไม่มีผลกระทบ (Impact) ต่อการเรียนรู้ในช่วง 2 ปีแรก มันมีอิทธิพลแค่การดึงสมาธิและความสนใจ แต่ไม่มีการประมวลผลข้อมูลในสมอง และเมื่อเขาพบเห็นภาพความรุนแรงซ้ำๆ ภาพนั้นจะเป็นตัวแบบ (Model)ให้เขา
พบว่าในเด็กอายุ > 2 ปี สื่อเทคโนโลยีจะมีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นการคัดเลือกให้เด็กดูสื่อที่เหมาะสม เช่น รายการ Sesami street จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กได้ ในขณะที่ช่วงอายุ 3 – 5 ปี การศึกษายังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหรือไม่ อย่างไร?
เกมส์ที่เราพบในสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวแทนของความท้าทายที่เด็กต้องการเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงไม่ได้มีพียงแค่การท้าทายเพียงอย่างเดียว ประเด็นคือว่าเราจะนำประสบการณ์จากที่เด็กเล่นเกมส์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือเราควรจะทำเกมส์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น เกมส์ที่ช่วยดึงเด็กที่มีอารมณ์ซึมเศร้ากลับมาสู่ภาวะปกติ เป็นต้น
* เด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor การอ่านจะช่วยพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร? ขณะที่ใช้หนังสือกับเด็กกลุ่มนี้ให้พ่อแม่ดูตรงความสนใจ ความสนุก ปฏิกิริยาที่เขามีต่อหนังสือ ถ้าเขาไม่สนุกก็ให้ทำอย่างอื่น
พญ.นิตยา คชภักดี เคยใช้หนังสือกับเด็กที่มีปัญหาด้าน Sensory motor เวลาเราจะให้หนังสือเพื่อให้พ่อแม่นำไปใช้กับลูก ต้องให้เครื่องมือหรือวิธีการที่เขาจะนำไปปรับใช้ได้ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางหู ก็ให้ใช้ภาพช่วย เด็กที่มีปัญหาทางการมองเห็นก็จะใช้การออกเสียงช่วย และใช้มือสัมผัสหนังสือที่เป็นภาพเฉพาะ ใช้วิธีMultisensory ในการเรียนรู้ เช้น พอพูดถึงลูกบอลก็เอาลูกบอลมาให้จับ คือเราต้องหาสิ่งต่างๆมาช่วย Social Interaction ถ้าเป็นการบกพร่องทางหูจะใช้ภาพ บัตรคำ ตัวอักษร (ในเด็กแต่ละ Caseให้ดูที่ระดับ Threshold ของเด็กด้วย ) ในขณะที่เราอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เราไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเดียว แต่เรา “ต้องอ่านเด็กด้วย”
พ่อแม่ต้องเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณเจ แห่ง TK Park



Create Date : 08 สิงหาคม 2556